15 ก.ย. 2558 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนวิจารณ์การจัดตั้งเรือนจำชั่วคราวแขวงนครไชยศรีและการย้ายผู้ต้องหาคดีระเบิดราชประสงค์มาควบคุมที่เรือนจำชั่วคราวฯ ทำให้เรือนจำขาดการตรวจสอบและผู้ต้องหาขาดหลักประกันสิทธิฯ
จากกรณีกระทรวงยุติธรรมได้ออกคำสั่งกระทรวงยุติธรรมที่ 314/2558 เมื่อวันที่ 11 ก.ย. เรื่องอาณาเขตเรือนจำชั่วคราวแขวงนครไชยศรี กำหนดให้มีเรือนจำชั่วคราวขึ้นในพื้นที่ กองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 (พัน.ร.มทบ.11) ถนนพระรามที่ 5 แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นค่ายทหารเพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัย และความเหมาะสมในการคุมขังและการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังในคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ และคดีอื่นที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งเป็นผู้ต้องขังประเภทมีเหตุพิเศษ ที่ไม่ควรจะรวมคุมขังอยู่กับผู้ต้องขังอื่น โดยมีพลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้ลงนามในคำสั่ง
ต่อมาวันที่ 12 ก.ย.58 นายวิทยา สุริยะวงค์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงการดำเนินการภายหลังราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่คําสั่งดังกล่าวว่าพื้นที่ดังกล่าวยังต้องการปรับปรุงเพิ่มเติมการรองรับการควบคุมตัวผู้ต้องขังจากเหตุการณ์ระเบิดราชประสงค์ โดยมีผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเป็นผู้รับผิดชอบในฐานต้นสังกัดของเรือนจำชั่วคราว โดยจะมีคำสั่งแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทหารเป็นผู้คุมพิเศษเพื่อให้ทหารมีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2479
วันที่ 14 ก.ย. 58 อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้ลงนามคำสั่งอนุมัติย้าย นายอาเดม คาราดัก และนายไมไรลี ยูซูฟู ผู้ต้องขังคดีระเบิดแยกราชประสงค์ ให้ไปคุมขังที่เรือนจำชั่วคราวแขวงนครไชยศรี และได้นำผู้ต้องขังทั้งสองจากเรือนจำมีนบุรีมายังเรือนจำชั่วคราวแขวงนครไชยศรีแล้วในวันดังกล่าว
วันที่ 14 ก.ย. 58 อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้ลงนามคำสั่งอนุมัติย้าย นายอาเดม คาราดัก และนายไมไรลี ยูซูฟู ผู้ต้องขังคดีระเบิดแยกราชประสงค์ ให้ไปคุมขังที่เรือนจำชั่วคราวแขวงนครไชยศรี และได้นำผู้ต้องขังทั้งสองจากเรือนจำมีนบุรีมายังเรือนจำชั่วคราวแขวงนครไชยศรีแล้วในวันดังกล่าว
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า การจัดตั้งเรือนจำชั่วคราวภายในค่ายทหารและแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทหารให้เป็นเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ อาจทำให้เรือนจำดังกล่าวขาดการตรวจสอบโดยบุคคลภายนอก และอาจทำให้ผู้ต้องขังขาดหลักประกันสิทธิในการเยี่ยมญาติ ในการพบทนายความไปจนถึงเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ ซึ่งองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ รวมทั้งสื่อมวลชนและสาธารณชนต้องติดตามการบังคับใช้คำสั่งฉบับนี้ต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น