วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ทนายแจ้งความ พนง.สอบสวน โต้ผู้ต้องหาอยู่เรือนจำไม่เกี่ยวคดีขอนแก่นโมเดล


ทนายผู้ถูกกล่าวหาคดีขอนแก่นโมเดล เข้าแจ้งความเอาผิดคณะพนักงานสอบสวน ฐานละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ ตาม ป.อาญา ม. 157 แจ้งความเท็จและหมิ่นประมาท หลังพบว่ามีการออกหมายจับที่ไม่ชอบด้วยกฏหมาย ระบุผู้ถูกกล่าวหาอยู่ในเรือนจำไม่สามารถพบปะหรือวางแผนร่วมกับบุคคลภายนอกได้

 
เบญจรัตน์ มีเทียน ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายธนกฤต ทองเงินเพิ่ม 1 ใน 9 ผู้ต้องหาคดีขอนแก่นโมเดล เข้าแจ้งความความเอาผิดคณะพนักงานสอบสวนคดีขอนแก่นโมเดล (ที่มาภาพ: สำนักข่าวไทย)
 
29 พ.ย. 2558 สำนักข่าวไทยรายงานว่า นางเบญจรัตน์ มีเทียน ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายธนกฤต ทองเงินเพิ่ม 1 ใน 9 ผู้ต้องหาคดีขอนแก่นโมเดล ที่ตำรวจออกหมายจับล่าสุด เนื่องจากพบหลักฐานเตรียมก่อเหตุความวุ่นวายช่วงกิจกรรมสำคัญ และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นำพยานหลักฐานซึ่งเป็นภาพถ่ายและเอกสารรับรองจากเรือนจำจังหวัดขอนแก่น เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อเอาผิดกับพลตรีวิจารณ์ จดแตง ฝ่ายกฎหมาย คสช. และพลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะพนักงานสอบสวนคดีนี้ทั้งหมด ในความผิดฐานละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ความผิดฐานแจ้งความเท็จ และข้อหาหมิ่นประมาท
 
นางเบญจรัตน์ ยืนยันว่านายธนกฤต รับโทษอยู่ในเรือนจำจังหวัดขอนแก่น ตั้งแต่ปี 2557 ในความผิดเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2557 และขณะนี้รับโทษในความผิดฐานปลอมแปลงเอกสาร จึงเป็นไปไม่ได้ที่นายธนกฤตจะกระทำผิด ตามที่ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาและยืนยันว่า การควบคุมตัวนายธนกฤตภายในเรือนจำจังหวัดขอนแก่น มีความเข้มงวด ไม่สามารถพบปะหรือวางแผนร่วมกับบุคคลภายนอกได้ โดยหลังจากที่นายธนกฤตทราบข่าว ว่าถูกออกหมายจับเพิ่มเติม จึงมอบหมายให้มาแจ้งความเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
 
ด้านพนักงานสอบสวน ได้รับเรื่องไว้ก่อนเสนอผู้บังคับบัญชาดำเนินการต่อไป

ตำรวจเตรียมเปิดตัวคนโพสต์ป่วนบ้านเมืองพรุ่งนี้ ชี้คนละกลุ่มกับขอนแก่นโมเดล

เปิดตัวละครลับกลุ่มใหม่ เมื่อตำรวจเตรียมนำตัวคนโพสต์ข้อความ ยุยง ปลุกปั่นสร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองแถลงข่าวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติพรุ่งนี้ (30 พ.ย.) ระบุกลุ่มบุคคลนี้เป็นคนละกลุ่มกับผู้ต้องหาคดีขอนแก่นโมเดล
 
30 พ.ย. 2558 สำนักข่าวไทยรายงานว่าพลตำรวจเอกเดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งให้พลตำรวจตรีอัคราเดช พิมลศรี ผู้บังคับการกองปราบปรามไปช่วยราชการศูนย์ปฎิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปก.ตร. นั้น ส่วนตัวเชื่อว่า พลตำรวจตรีอัคราเดช เป็นคนมีความรู้ความสามารถจึงทำให้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต้องการมอบหมายภารกิจที่เหมาะสมให้ แต่ไม่ขอแสดงความเห็นถูกโยกย้ายเพราะปล่อยปละละเลยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าไปเกี่ยวข้อง กับขบวนนการแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงหาผลประโยชน์หรือไม่
 
ส่วนกรณีที่กระทรวงหลาโหม ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงการทุจริตก่อสร้างโครงการอุทยานราชภักดิ์ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยินดีที่จะให้ข้อมูลหากประสานงานผ่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพราะเชื่อว่าพนักงานสอบสวนมีข้อมูลบางส่วน
 
โฆษกสำนักงานตำรวจยังกล่าวถึง การออกหมายจับ นายธนกฤต ทองเงินเพิ่ม 1 ใน 9 ผู้ต้องหา คดีขอนแก่นโมเดล ล่าสุด ว่าเป็นไปตามพยานหลักฐานที่ศาลทหารกรุงเทพ ออกหมายจับ ส่วนรายละเอียดทางคดี ต้องพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบเป็นคนชี้แจงเท่านั้น ส่วนการที่ทนายความของนายธนกฤต เข้าแจ้งความเอาผิด กับคณะพนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบคดีทุกนาย ก็เป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่สามารถทำได้  ซึ่งต้องนำข้อมูลกลับไปตรวจสอบรายละเอียดตามคำฟ้องว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไร
 
โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังเปิดเผยว่าวันพรุ่งนี้ จะควบคุมตัวบุคคลที่โพสต์ข้อความ ยุยง ปลุกปั่น สร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองมาแถลงข่าว โดยกลุ่มบุคคลนี้เป็นคนละกลุ่มกับผู้ต้องหาคดีขอนแก่นโมเดล

คุก 2 ปีไม่รอลงอาญา คุณหญิงจารุวรรณจัดสัมมนาแฝงไปงานกฐิน ประกันตัว 2 แสน สู้อุทธรณ์ต่อ


ศาลอาญา พิพากษา จำคุก 2 ปี คุณหญิงจารุวรรณ-คัมภีร์ ฐานผิด ม.157 และ ม. 83 กรณีจัดสัมมนาเท็จ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว วางเงินคนละ 2 แสน
30 พ.ย. 2558 ที่ห้องพิจารณา 908 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.3597/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อายุ 69 ปี อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และนายคัมภีร์ สมใจ อายุ 69 ปี อดีต ผอ.สำนักงานบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าทีโดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 83
ตามฟ้องโจทก์ เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 57 บรรยายพฤติการณ์ความผิดจำเลย สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 ส.ค. - 31 ต.ค. 46 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันสมรู้ร่วมคิดปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และทุจริตด้วยการให้นายคัมภีร์ จำเลยที่ 2 ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานกรรมการ และคณะอนุกรรมการดำเนินการถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน พ.ศ. 2546 ตามคำสั่งของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ที่ 102/46 ลงวันที่ 1 ส.ค. 46 รวมทั้งทำเรื่องเสนอคุณหญิงจารุวรรณ จำเลยที่ 1 เพื่ออนุมัติโครงการสัมมนาเรื่อง “สตง.ในความคิดเห็นของสมาชิกวุฒิสภา” วันที่ 31 ต.ค. 46 ที่โรงแรมซิตี้ ปาร์ค อ.เมือง จ.น่าน ทั้งที่จำเลยทั้งสองทราบดีว่าวันดังกล่าว สตง.มีการจัดถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดพญาภู และวัดพระธาตุช้างดำวรวิหาร อ.เมือง จ.น่าน แต่จำเลยทั้งสองกลับจัดสัมมนาในช่วงวันดังกล่าว และให้บุคคลที่จะถวายผ้าพระกฐิน รวมทั้งวางแผนนำรายชื่อเจ้าหน้าที่ สตง.ที่เข้าร่วมถวายผ้าพระกฐินมีรายชื่อเป็นผู้เข้าร่วมสัมมนารวมอยู่ด้วย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายการเดินทาง และค่าที่พักในการถวายผ้าพระกฐิน อันเป็นการใช้จ่ายเงินงบประมาณโดยไม่มีสิทธิเบิกจ่ายโดยชอบด้วยกฎหมาย ในส่วนของการจัดสัมมนาก็ไม่มีการจัดสัมมนาอย่างแท้จริง ทั้งนี้เพื่อเป็นการอำพรางนำเงินงบประมาณจำนวน 294,440 บาท มาเพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่นโดยทุจริตเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ ต่อมาปี 2547 นายพีรไสว รัตนเอกวาปี รองผู้ว่าฯ น่าน ได้มีหนังสือกล่าวโทษจำเลยทั้งสองต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งทำการไต่สวน และแจ้งข้อกล่าวหา จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลพิจารณาจากคำไต่สวนแล้ว คำให้การของรองอธิบดีกรมบัญชีกลางแล้ว เห็นว่า ความหมายของการสัมมนา ตามระเบียบ ข้อบังคับของกระทรวงการคลังในการเบิกจ่ายเงินของส่วนราชการ ระบุไว้ว่า การสัมมนา ต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ วัน-เวลา สถานที่แน่นอนในการจัดสัมมนา, บุคลากรที่เข้าร่วม และต้องเป็นการระดมความเห็น หรือการแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อเพิ่มประสิทธิในการพัฒนางาน แต่จากการคำให้การของพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ สตง.หลายปากในชั้นอนุฯ ไต่สวนของ ป.ป.ช. ที่เข้าร่วมสัมมนาให้การสอดคล้องกันรับฟังได้ว่า ในช่วงของการสัมมนาไม่ได้จัดที่โรงแรมซิตี้ปาร์ค และไม่มีหัวข้อการสัมมนา รวมทั้งไม่มีการแจกเอกสารประกอบการสัมมนา ขณะที่การมาบรรยายของ ส.ว.น่าน ขณะนั้นไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตามหัวข้อที่จัดไว้ ซึ่งโต๊ะที่จัดไว้ก็เป็นโต๊ะกลมเก้าอี้หันหน้าเข้าหากันมีลักษณะคล้ายโต๊ะจีน และระหว่างงานมีการรับประทาน อาหารส่งเสียงดัง ไม่อาจจับใจความที่มีการบรรยายได้ ซึ่งข้อเท็จจริงก็พบว่า ก่อนถึงวันจัดสัมมนาในวันที่ 31 ต.ค.46 ได้มีการเปลี่ยนสถานที่จัดสัมมนาไปเป็นที่ สโมสรสันติภาพ 2 ที่อยู่ในหมู่บ้านจัดสรร เป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นบนสำหรับผู้บริหาร ชั้นล่างสำหรับผู้ร่วมสัมมนา โดยมีเพียงป้ายข้อความต้อนรับจำเลยที่ 1 แต่ไม่มีข้อความระบุหัวข้อหลักสูตร ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การของเจ้าหน้าที่โรงแรมซิติปาร์ค ที่ยืนยันว่า ก่อนถึงวันสัมมนา 3 วัน มีเจ้าหน้าที่ สตง.แต่ไม่ทราบว่าเป็นใคร ได้โทรศัพท์มายกเลิกกี่จัดงาน ขณะนั้นโรงแรมยังไม่ได้จัดเตรียมเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม จึงได้คิดค่าใช้จ่ายเฉพาะป้ายที่ทำไว้แล้ว 300 บาท
ขณะที่เดือน พ.ย. 46 ก็พบว่าจำเลยที่ 2 ได้มีการเสนอโครงการสัมมนาลักษณะเดียวกันกับที่จัดไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ต.ค. 46 จึงเชื่อได้ว่า จำเลยไม่ได้มีเจตนาจัดสัมมนาตั้งแต่ต้น แต่เกิดจากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่จำเลยทั้งสองกลัวว่าจะมีผู้เข้าร่วมน้อย จึงได้จัดสัมมนาวันเดียวกัน ส่วนการที่ ส.ว.น่าน มาร่วมงานสัมมนาก็เป็นการบรรยายพิเศษเพียงคนเดียว ไม่ใช่การระดมความเห็นตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ซึ่งหากจะเป็นการบรรยายลักษณะดังกล่าวก็ไม่จำต้องนำคนจำนวนมากเดินทางมา และเวลาการสัมมนา ยังคลาดเคลื่อนจากที่ระบุไว้กำหนดการจากเวลา 08.30-16.30 น. เป็นช่วงเวลา 15.45-19.00 น. ส่วนที่จำเลยต่อสู้ว่า การเปลี่ยนสถานที่เป็นการแก้ไขเฉพาะหน้า ซึ่ง ส.ว.น่าน เดินทางมาร่วมถวายกฐินล่าช้า และมีการแจกทุนการศึกษา โดยสถานที่ที่จัดเป็นความมีน้ำใจของ ส.ว.น่าน ช่วยจัดหา
ศาลเห็นว่า ในการเปลี่ยนแปลงสถานที่นั้น มีการแจ้งยกเลิกกับทางโรงแรมล่วงหน้าก่อนแล้ว 3 วัน และตามขั้นตอนในการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์และสถานที่การจัดสัมมนาก็จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้มีอำนาจ ดังนั้นจึงฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองย่อมเล็งเห็นตั้งแต่ต้นว่าไม่สามารถจัดงานถวายผ้ากฐิน ในวัน-เวลาเดียวกันได้ และจากคำให้การพยานบางปากทราบว่า ผู้ร่วมสัมมนาได้มีการจัดเตรียมชุดขาวไปร่วมงานถวายผ้ากฐินด้วย จึงเห็นได้ว่า การจัดสัมมนานั้นเป็นเท็จ เพราะมีวัตถุประสงค์ให้เดินทางไปร่วมงานถวายผ้ากฐินเป็นหลัก ทำให้ผู้ที่ร่วมงานกฐินบางส่วนที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง ได้สิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปร่วม เพราะมีชื่อเป็นผู้ร่วมงานสัมมนาด้วย ทั้งที่ไม่มีสิทธิเบิกจ่ายแต่ต้น ทำให้ สตง.เสียหายเป็นเงิน 294,440 บาท การกระทำของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 จึงพิพากษาให้จำคุก คุณหญิงจารุวรรณ จำเลยที่ 1 และนายคัมภีร์ จำเลยที่ 2 คนละ 2 ปี
ภายหลัง คุณหญิงจารุวรรณ และนายคัมภีร์ ได้ยื่นสมุดบัญชีเงินฝากคนละ 2 แสน ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี ซึ่งอยู่ระหว่างศาลพิจารณาว่าจะให้ประกันหรือไม่ ขณะที่คุณหญิงจารุวรรณกล่าวว่า ตนได้ตั้งข้อสังเกตว่าที่มีการมาร้องตนในคดีนี้ เพราะมีใครบางคนถูกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเข้าไปตรวจสอบจึงเป็นที่มาการร้องคดีนี้ เรื่องนี้ตนยังไม่อยากพูดมากในตอนนี้ ที่ผ่านมาตนหาเงินให้ประเทศเป็นแสนล้านบาท คิดว่าเงินแค่ 2 แสนกว่าบาทตนจะโกงหรือไม่ ทั้งนี้ ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวเพื่อต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ ส่วนจะยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีประเด็นไหนนั้นขอปรึกษาทางทนายความ
ล่าสุดมีรายงานว่าคุณหญิงจารุวรรณได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างสู้คดีในชั้นอุทธรณ์แล้ว โดยใช้หลักทรัพย์มูลค่า 2 แสนบาทในการประกันตัว

ประวิตรติงทูตสหรัฐฯคิดให้ดีก่อนพูด ม.112 ยันดำเนินการทุกอย่างโดยเคารพสิทธิมนุษยชน


30 พ.ย. 2558 จากกรณีเมื่อวันที่ 26 พ.ย. ที่ผ่านมา นายกลิน ที. เดวีส์  ได้แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ ณ เวทีเสวนาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในกรุงเทพฯ ขณะที่การดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพุ่งสูงขึ้น ภายใต้ปกครองของคณะรัฐประหาร โดยนายกลิน ที. เดวีส์  เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้ราวๆ 9 สัปดาห์ ย้ำว่ารัฐบาลสหรัฐฯ มีความเคารพอย่างยิ่งและรู้สึกชื่นชมพระมหากษัตริย์ไทย แต่ก็อ้างถึงสิทธิการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสรเสรี “เราเชื่อว่าไม่ควรมีใครควรถูกจำคุกต่อการแสดงมุมมองอย่างสันติ และเราสนับสนุนอย่างหนักแน่นต่อความสามารถของบุคคลหรือองค์กรอิสระใดๆ ในการค้นคว้าวิจัยและรายงานประเด็นสำคัญๆ โดยปราศจากความกลัวว่าจะถูกแก้แค้น” (อ่านรายละเอียด)
ล่าสุดวันนี้ (30 พ.ย.58) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง กรณีดังกล่าวว่า นายกลินก็ต้องคิดเวลาพูดอะไรออกมา เพราะทางไทยก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่ารัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พยายามดำเนินการทุกอย่างโดยเคารพสิทธิมนุษยชน ตนคิดว่าคงไม่มีรัฐบาลใดที่ยึดอำนาจมาแล้วจะให้เรื่องสิทธิมนุษยชนได้ถึงขนาดนี้ เราก็ปล่อยทุกอย่าง
“ไม่มีรัฐบาลไหน ที่ยึดอำนาจมา แล้วปล่อยให้มีการแสดงความเห็นอย่างเสรี เช่นปัจจุบัน ขณะนี้ รัฐบาลพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด และพยายามทำให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่ถาวร แต่ขอให้รอ เพราะตอนนี้ต้องแก้ปัญหาหลายด้าน  เพื่อวางรากฐานให้ประเทศ  ทุกอย่างยังเดินตามโรดแมป และจะมีการเลือกตั้งอย่างแน่นอน” พล.อ.ประวิตร กล่าว
“ผมยืนยันว่าประเทศในอาเซียน ไทยไม่ด้อยไปกว่าใคร เพราะคนไทย 60-70 ล้านคน มันใช้ได้เลย รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติที่มี และคนที่มีอยู่ในขณะนี้เก่งมาก เพียงแต่อย่ามีเรื่องมารบกวนและอย่าไปเล่นการเมืองกันมาก อย่างไรก็ตามยืนยันว่ามีเลือกตั้งเกิดขึ้นแน่นอน เพราะเราเดินตามโรดแมป แต่ถ้าไปไม่ได้จริงๆ จะทำอย่างไร หากสถานการณ์เป็นแบบนี้พอไปได้ก็ไป” พล.อ.ประวิตร กล่าว

(คลิป) ทหารรวบ ‘จตุพร-ณัฐวุฒิ’ ก่อนเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์


30 พ.ย. 2558 เมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. จตุพร พรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ถุกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัว กลางตลาดมหาชัย จ.สมุทรสาคร ท่ามกลางสื่อมวลชนที่รอทำข่าว และประชาชน ระหว่างแถลงข่าวก่อนเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์
คลิปจากเพจ Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์
โดยตั้งแต่ช่วงสายที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจ ตรึงกำลังบริเวณโดยรอบตลาดมหาชัย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นขบวนของ จตุพรและณัฐวุฒิ  ที่จะเดินทางเข้าไปตรวจสอบการทุจริตก่อสร้างโครงการอุทยานราชภักดิ์
ทั้งนี้ตั้งแต่มีการประกาศของทั้ง 2 แกนนำ นปช. ที่จะไปอุทยานราชภักดิ์ ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารมาอยู่บริเวณบ้านพักของณัฐวุฒิ
“รถทหาร 4 คันมาที่บ้าน ตอนนี้ก็ยังวางกำลังอยู่ ริมถนนหน้าหมู่บ้าน 4 คน ป้อมยาม 8 คน ศาลพระภูมิ 6 คน จอดรถหน้าบ้าน 1 คัน ทำไมท่านใช้อำนาจกันแบบนี้ ให้รู้กันไปว่าการถามหาความจริงต้องมีอันตราย ผมยืนยันนะครับ จะเอายังไงกับผมก็เอา แต่ผมจะไปอุทยานราชภักดิ์” ณัฐวุฒิ กล่าว วานนี้(29 พ.ย.58)

โตๆ กันแล้ว ‘ประวิตร’ บอก นปช. ไม่ควรไปราชภักดิ์ โยน อุดมเดช คิดเองลาออกหรือไม่

30 พ.ย.2558 ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ประกาศรวมพล เดินทางไปชมอุทยานราชภักดิ์ ว่า บอกคำเดียวว่าไม่ควรไป เพราะ ทั้งสองคนก็คงคิดได้ เรื่องนี้กระทรวงกลาโหมได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนชุดใหม่เข้ามาสอบสวนแล้ว
ส่วนกระแสกดดัน ให้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รับผิดชอบความเสียหาย จากการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ ด้วยการลาออก ว่า ต้องให้ พล.อ.อุดมเดช คิดเองว่าควรลาออกหรือไม่ เพราะเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ต้องส่งสัญญาณใดๆ ขณะที่การพูดคุยกันก่อนหน้านี้ มีแต่เรื่องงานเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. ที่ผ่านมา จตุพร และ ณัฐวุฒิ แกนนำ นปช. ถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัว กลางตลาดมหาชัย จ.สมุทรสาคร ท่ามกลางสื่อมวลชนที่รอทำข่าว และประชาชน ระหว่างแถลงข่าวก่อนเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

แถลงข่าวจับผู้ต้องหาหมิ่นสถาบัน-เตรียมก่อเหตุร้าย ตร.ปัดไม่ได้จัดฉากยัน 'ขอนแก่นโมเดล' มีจริง


ตำรวจแถลงข่าวหลังรับมอบตัว 2 ผู้ต้องหา 'หมิ่นเบื้องสูง-พ.ร.บ. คอม' ขณะที่อีก 7 คนยังหลบหนี ระบุมีพฤติการณ์ก่อการร้าย ซ่องสุมกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวาย หมิ่นสถาบันแต่ ยังไม่ชัดว่ามีกลุ่มการเมืองขั้วเก่าอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ปัดไม่ได้จัดฉากขึ้นมา ยืนยันว่าขอนแก่นโมเดลเป็นขบวนการที่มีอยู่จริง 
 
 
 
26 พ.ย. 2558 สำนักข่าวไทยรายงานว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะ แถลงหลังรับมอบตัว จ.ส.ต.ประทิน จันทร์เกศ และนายณัฐพล ณวรรณ์เล 2 ผู้ต้องหาในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง และนำเข้าสู่คอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ ขณะที่ผู้ร่วมขบวนการอีก 7 คนยังหลบหนี ทั้งหมดมีพฤติการณ์ก่อการร้าย ซ่องสุมกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวาย หมิ่นสถาบัน
 
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ทหารคุมตัวจ่าสิบตำรวจประทิน จันทร์เกศ อายุ 60 ปี และนายณัฐพล ณ .วรรณ์เล  ส่งมอบให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อสอบสวนดำเนินคดีในข้อหา หมิ่นสถาบันเบื้องสูง แลนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ หลังจากเจ้าหน้าที่ทหารจับกุมตัวทั้ง 2 ได้ที่ จ.ขอนแก่น พร้อมอาวุธจำนวนมาก จากการสืบสวนพบว่าจ่าสิบตำรวจประทิน เป็นคนวางแผนในนาม “ขอนแก่นโมเดล” ส่วนนายณัฐพล ทำหน้าที่จัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อใช้ก่อเหตุ โดยพฤติการณ์มีแนวคิดก่อการร้าย ซ่องสุมกำลังพล อาวุธ เพื่อก่อความวุ่นวาย นอกจากนี้ยังหมิ่นสถาบันเบื้องสูงด้วยการส่งข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย
 
พล.ต.อ.จักรทิพย์ และคณะแถลงยืนยันว่าขอนแก่นโมเดลเป็นขบวนการที่มีอยู่จริง เจ้าหน้าที่ไม่ได้จัดฉากขึ้นมา โดยมีการจับกุมตรวจยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ผู้ต้องหาเตรียมไว้ก่อเหตุ
 
ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ระบุว่า คสช.ได้สืบสวนหาข่าวจนทราบว่าอาจมีการก่อเหตุจึงตรวจสอบข้อมูลหลักฐานจากทางไลน์ จนพบว่าจ่าสิบตำรวจประทินและพวกมีการวางแผนจึงเข้าค้นบ้านพักพบอาวุธที่เตรียมการไว้ ซึ่งทั้ง 2เป็นการ์ดของกลุ่มชุมนุมทางการเมืองที่ถนนอักษระ จ.นครปฐม ก่อนขยายไปสร้างเครือข่ายโมเดล ส่วนจะมีกลุ่มการเมืองขั่วเก่าสนับสนุนอยู่เบื้องหลังหรือไม่ เป็นความลับที่ต้องขยายผล ซึ่งการรวมตัวครั้งนี้ ต้องการที่จะก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง
 
นอกจากนี้ศาลทหารกรุงเทพยังอนุมัติออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการ คือนายพิษณุ พรหมสร, นายวัลลภ บุญจันทร์, นายฉัตรไชย ศรีวงษา, นายมีชัย ม่วงมนตรี, นายธนกฤต ทองเงินเพิ่ม , นายวีรชัย ชาบุญมี, และนายพาหิรัณ กองคำ ซึ่งทั้งหมดอยู่ระหว่างหลบหนี เจ้าหน้าที่มั่นใจจับกุมดำเนินคดีได้
 
อย่างไรก็ตาม สำหรับจ่าสิบตำรวจประทิน และนายณัฐพล เคยต้องคดีความมั่นคง เมื่อปี 2557 เนื่องจากมีแนวคิดต่อต้านรัฐประหาร จึงส่องสุมกำลังพล อาวุธเพื่อยึดค่ายทหาร ค่ายตำรวจ และสถานที่ราชการทันทีที่มีการปฏิวัติเกิดขึ้น จึงร่วมกันวางแผนจัดแบ่งกำลัง และถูกจับกุมได้เมื่อ วันที่ 23 พ.ค .57 และคดีอยู่ระหว่างการประกันตัว ก่อนจะมาวางแผนก่อเหตุซ้ำและมาถูกจับกุมได้ในวันนี้
 

ทูตสหรัฐฯ กังวลกฎหมายหมิ่นเบื้องสูงไทย ชี้ไม่ควรถูกจำคุกฐานแสดงความเห็นอย่างสันติ


'กลิน เดวีส์' ทูตสหรัฐประจำประเทศไทยแสดงความกังวลต่อบทระวางโทษจำคุกหนักหน่วงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ที่พิพากษาภายใต้กฎหมายหมิ่นสถาบันฯ ของประเทศ ระบุไม่มีใครควรถูกจำคุกฐานแสดงความคิดเห็นอย่างสันติ
       
เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2558 ASTV ผู้จัดการออนไลน์ อ้างรายงานตามสำนักข่าวเอเอฟพีว่า นายกลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ ณ เวทีเสวนาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในกรุงเทพฯ ขณะที่การดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพุ่งสูงขึ้น ภายใต้ปกครองของคณะรัฐประหาร
       
“เรายังกังวลต่อบทระวางโทษที่ยาวนานอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ที่ศาลทหารไทยพิพากษาต่อพลเมืองฐานละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” เดวีส์ บอกกับผู้ที่ร่วมเสวนา หลังจากแสดงความกังวลว่ากฎหมายหมิ่นประมาททางอาญานี้ถูกใช้สำหรับสกัดกั้นการโต้เถียงของสาธารณะกว้างขวางมากขึ้น
       
นายเดวีส์ ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้ราวๆ 9 สัปดาห์ ย้ำว่ารัฐบาลสหรัฐฯ มีความเคารพอย่างยิ่งและรู้สึกชื่นชมพระมหากษัตริย์ไทย แต่ก็อ้างถึงสิทธิการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสรเสรี “เราเชื่อว่าไม่ควรมีใครควรถูกจำคุกต่อการแสดงมุมมองอย่างสันติ และเราสนับสนุนอย่างหนักแน่นต่อความสามารถของบุคคลหรือองค์กรอิสระใดๆ ในการค้นคว้าวิจัยและรายงานประเด็นสำคัญๆ โดยปราศจากความกลัวว่าจะถูกแก้แค้น”
       
ภายใต้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ใครก็ตามที่ถูกพิพากษาว่ามีความผิดฐานดูหมิ่น ดูถูก กล่าวหา ใส่ร้าย และทำให้พระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์เสื่อมเสีย มีสิทธิต้องโทษจำคุกสูงสุด 15 ปี
       
นับตั้งแต่ก่อรัฐประการเมื่อปีที่แล้ว กองทัพได้ยกระดับการตรวจตราคำกล่าวหาละเมิดสถาบันฯ มากขึ้น โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์
       
ในเดือนสิงหาคม สหประชาชาติบอกว่ารู้สึกตกใจต่อโทษจำคุก 30 ปี และ 28 ปีต่อคนไทย 2 คน ในความผิดหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ฐานดูหมิ่นกล่าวหาสถาบันฯ บนเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นโทษสูงสุดเท่าที่เคยมีมา
       
ไทยเป็นพันธมิตรที่ยาวนานของสหรัฐฯ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติตกอยู่ในความตึงเครียดนับตั้งแต่เหตุรัฐประหารเมื่อปีที่แล้วที่สหรัฐฯ ออกมาประณามอย่างหนักหน่วง
       
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์อันตึงเครียดเช่นนี้ก่อความเสี่ยงต่อดุลอำนาจของสหัฐฯ ทำให้อเมริกาลังเลที่จะโดดเดี่ยวไทยซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าแก่ในภูมิภาค และในวันพุธ (25 พ.ย.) นายเดวีส์ แม้ย้ำถึงเสียงเรียกร้องของวอชิงตันที่ขอให้ไทยคืนสู่ประชาธิปไตย แต่เน้นว่าเขาไม่อยากให้มันเป็นไปในลักษณะของการชี้นิ้วต่อว่า “ไทยจำเป็นต้องทำมันด้วยตนเอง” เขากล่าว

สตง. ยืนยัน 'อุทยานราชภักดิ์' มีการใช้งบกลาง 'ประวิตร' ตั้ง 'พล.อ.ชาญชัย' เป็น ปธ.สอบ


ผู้ว่า สตง. ยืนยันว่า การจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ มีการใช้งบกลางราว 63 ล้านบาท พร้อมย้ำว่า สตง. มีอำนาจสอบสวน ด้าน 'ประวิตร' ลงนามตั้ง 'พล.อ.ชาญชัย' รองปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นประธานตรวจสอบบุคคลเกี่ยวข้อง ระบุหากผิดจริงส่ง ปปช. 'พรรคเพื่อไทย' ออกแถลงการณ์เรียกร้อง 'อุดมเดช-ประยุทธ์' รับผิดชอบ
 
27 พ.ย. 2558 Nation TV รายงานว่านายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ยืนยันว่า เงินจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ เป็นการใช้งบกลางของรัฐบาลประจำปีงบประมาณปี 2558 จำนวนราว 63 ล้านบาท และกำลังตรวจสอบว่า การใช้เงินนี้ซ้ำซ้อนกับเงินส่วนอื่นหรือไม่ พร้อมย้ำว่า เงินที่ใช้ในหน่วยงานราชการ หรือทรัพย์สินของส่วนราชการ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินสามารถเข้าตรวจสอบได้ทั้งหมด ไม่ยกเว้นเงินค่าบริจาคก่อนหน้านี้ มีความเห็นมาจากประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ คตง. ชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ที่บอกว่า ผู้เกี่ยวข้องกับการสั่งจ่ายงบกลางจำนวนนี้ คือ แผนกสั่งจ่ายงบประมาณ สำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก โดยสั่งจ่ายให้กรมยุทธโยธาทหารบก เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง และพบด้วยว่า มีการเบิกจ่ายเงินจากงบกลางไปแล้วกว่า 80% ส่วนที่เหลือเป็นเงินที่รับบริจาคมาจากประชาชนทั่วไปความเห็นจาก หน่วยงานตรวจสอบทั้งสองหน่วยงาน แตกต่างไปจาก คำยืนยันของฝ่ายกองทัพ ที่ย้ำว่า โครงการอุทยานราชภักดิ์ไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดิน แต่ทั้งหมดมาจากเงินบริจาค จึงไม่จำเป็นต้องให้ ป.ป.ช. หรือ สตง. มาร่วมตรวจสอบ
 
'ประวิตร' ลงนามตั้ง 'พล.อ.ชาญชัย' รองปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นประธานตรวจสอบ
 
เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ได้ลงนามเซ็นแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์ ไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ โดยมอบให้พล.อ.ชาญชัย ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ซึ่งไม่ได้ตั้งกรอบเวลาในการทำงาน ให้คณะกรรมการดำเนินการไป ตรงไหนเป็นประเด็น ก็ตรวจสอบ ความจริงเรื่องอุทยานราชภักดิ์ มีการตรวจสอบสวนอยู่แล้ว ทั้งสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)คณะกรรมก่รป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช. )ดำเนินการอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา
 
"คณะกรรมการตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์ ที่กระทรวงกลาโหมตั้งขึ้นมา เพื่อไปดำเนินการ ดูว่า ตรงไหนมีปัญหาและ สืบหาข้อเท็จจริง และอะไรที่ทางคณะกรรมการตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์ ของกองทัพบก ตรวจสอบแล้วมีประเด็น ก็จะดำเนินการสืบต่อ แต่เน้นเป็นบุคคล เพราะโครงการราชภักดิ์เคลียร์แล้ว ไม่มีอะไรแล้ว แต่ ตรงไหนเกี่ยวกับบุคคลจะไปดู"พล.อ.ประวิตร กล่าว 
 
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ สตง.ออกมาระบุว่า การจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ มีการใช้งบกลาง 63 ล้านบาท พล.อ.ประวิตร กล่าวว่างบกลางมีไว้สนับสนุนทุกหน่วยงาน ตรงไหนมีปัญหาก็เอางบกลางไปใช้ได้ แต่งบกลางตรงนี้ไม่ได้เข้าอยู่ในโครงการอุทยานราชภักดิ์ หรืออาจเกี่ยวกับพื้นที่ที่จัดสร้างซึ่งเป็นพื้นที่ของกองทัพบก ทางกองทัพบกก็ดำเนินการไป ยืนยันว่าทางรัฐบาลให้งบกลางกับทุกหน่วยงาน ไม่ว่าใครจะขออะไร ไม่ใช่เฉพาะโครงการราชภักดิ์ 
 
เมื่อถามว่า จะตรวจสอบบุคคลถึงระดับใด พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตรงไหนที่ปัญหายังไม่รู้ ซึ่งคณะกรรมการที่ตนตั้งขึ้นมา ไม่ได้มาตรวจสอบเพื่อจะลงโทษใคร เพราะมีคณะกรรมการข้างนอกตรวจสอบอยู่แล้ว แต่คณะกรรมการชุดของกระทรวงกลาโหม ตรวจสอบเพื่อหาข้อเท็จจริงในการดำเนินการในโครงการนี้ของแต่ละบุคคล หากพบมีความผิดก็ส่งให้เจ้าหน้าที่ ปปช สตง. ดำเนินการต่อไป ส่วนจะตรวจสอบถึงใครบ้างยังไม่รู้ รอให้คณะกรรมการตรวจสอบได้ทำงานก่อน ขอให้ใจเย็นๆ ไม่ต้องเร่งรีบ และตนคิดว่าโครงการอุทธยานราชภักดิ์ ควรจะจบได้แล้ว และตนจะตอบวันนี้เป็นวันสุดท้าย ต่อไปจะไม่ตอบแล้ว 
 
เมื่อถามว่า พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ต้องมาให้ข้อมูลหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ทราบ เดี๋ยวให้เค้าว่าไป ซึ่งยืนยันคณะกรรมการชุดของกระทรวงกลาโหม ไม่เกี่ยวกับชุดที่กองทัพบกตั้งขึ้น เป็นการตรวจสอบคนละเรื่องกัน
 
'พรรคเพื่อไทย' ออกแถลงการณ์เรียกร้อง 'อุดมเดช-ประยุทธ์' รับผิดชอบ
 
ด้านพรรคเพื่อไทย ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง โครงการอุทยานราชภักดิ์ โดยเรียกร้องให้ พลเอกอุดมเดช สีตบุตร ควรพิจารณาตัวเองด้วยการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อพลตรีสุชาติ พรมใหม่ และพันเอกคชาชาติ บุญดี  ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดตามมาตรา 112 และ 113 ตลอดจนความผิดทางอาญาอื่นๆ พลเอกอุดมเดช จึงมีความมัวหมองอย่างยิ่งที่อาจจะถูกมองว่าเกี่ยวพันกับเรื่องต่างๆ ที่กำลังถูกกล่าวหาอยู่
 
พลเอกอุดมเดช ในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่ง ผบ.ร.21 และ ผบ.ทบ. และการเป็นราชองครักษ์ จึงย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อความสง่างาม เพื่อดำรงศักดิ์ศรีของกองทัพบกและเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ พลเอกอุดมเดช ไม่อาจดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมได้อีกต่อไปแม้แต่น้อย
 
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและอดีต ผบ.ทบ., พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่า
 
การกระทรวงกลาโหม และอดีต ผบ.ทบ.และพลเอกอุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และอดีต ผบ.ทบ. จะต้องร่วมกันตัดสินใจ เพื่อดำรงไว้ซึ่งความจงรักภักดีของกองทัพบกที่มีต่อสถาบันอย่างหาที่สุดมิได้ให้จนได้
 
2) เมื่อปรากฏว่ามีการใช้งบกลางของรัฐบาล และรัฐบาลมีมติ ครม.มอบหมายให้กองทัพบกเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ จึงมีความชัดเจนว่าโครงการอุทยานฯ อยู่ในความรับรู้เห็นชอบของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งยังมีข่าวภาพทางสื่อบ่งบอกว่านายกรัฐมนตรีมีความสนิทสนมกับเซียนพระผู้รับจ้าง ถึงขนาดไปแสดงความยินดีเมื่อบุคคลนั้นได้รับเลือกตั้งเป็นนายก อบต.ในขณะที่ตนเองดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. สิ่งที่นายกรัฐมนตรีแสดงออกมาโดยตลอดเกี่ยวกับโครงการอุทยานราชภักดิ์ จึงสวนทางกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น มีพฤติกรรมปกปิด ปฏิเสธความรับผิดชอบ ในฐานะที่นายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งประธานกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติของ คสช.เช่นเดียวกับรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม
 
พรรคเพื่อไทยจึงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบกับกรณีดังกล่าว ในฐานะที่รัฐบาลมีนโยบายสำคัญที่แถลงต่อสาธารณะว่าจะปกป้องสถาบันฯ และจะป้องกันปราบปรามการทุจริต นอกจากนั้น รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งปวง จะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการกระทำที่เกิดขึ้น
 
3) เมื่อมีพฤติการณ์ว่ามีการทำผิดกฎหมายเกิดขึ้น มีการแสวงหาประโยชน์จากโครงการ ย่อมเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช., ส.ต.ง., ส.ต.ช., กรมสอบสวนคดีพิเศษ, ป.ป.ง.ที่จะต้องเข้ามาตรวจสอบโดยพลัน ทั้งนี้การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้มีคำสั่งให้ปลัดกระทรวงกลาโหม(พลเอกปรีชา จันทร์โอชา) แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ย่อมมีปัญหาในทางหลักการว่าจะเป็นการสอบสวนด้วยความโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม ปราศจากการแทรกแซงใดๆ และจะเป็นที่ยอมรับของสังคมหรือไม่ ที่ถูกต้องควรมอบหมายหน่วยงานที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรงให้เข้ามาตรวจสอบ จึงจะมีความถูกต้องและเป็นที่ยอมรับได้มากกว่า
 
นอกจากนี้ ทางพรรคเพื่อไทยจึงเห็นเป็นความจำเป็นที่จะต้องแถลงข้อเท็จจริงต่อสาธารณะ รวมทั้งเสนอข้อเรียกร้องต่อผู้รับผิดชอบดังกล่าว คือ
 
1. ปรากฏข้อเท็จจริงกรณีนายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน(คตง.) เปิดเผยว่า เงินที่ใช้ในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ มีส่วนหนึ่งมาจากงบกลาง จำนวน 63.57 ล้านบาท โดยผู้ที่รับผิดชอบในการสั่งจ่ายเงินคือ แผนกสั่งจ่ายงบประมาณ สำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก จึงเห็นได้ว่าโครงการอุทยานฯ ได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งขัดแย้งกับคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าโครงการอุทยานฯ ไม่ได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินแต่อย่างใด
 
2. ปรากฏข้อเท็จจริงว่า งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรและดำเนินการก่อสร้างมีราคาสูงผิดปกติ เช่น งานสร้างป้ายทางเข้า (ป้ายชื่อ) ใช้งบประมาณถึง 5,031,700 บาท งบประมาณสร้างอาคารรักษาความปลอดภัย 2,254,300 บาท งานก่อสร้างรั้วรอบบริเวณภายในอุทยานราชภักดิ์ ใช้งบประมาณถึง 9,343,500 บาท เป็นต้น
 
3. ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ศาลทหารได้ออกหมายจับที่ 33/2558 และ 35/2558 ลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2558 และที่ 47/2558 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2558 ให้จับกุมดำเนินคดีกับพันเอกคชาชาติ บุญดี และพลตรีสุชาติ พรมใหม่ สำหรับพลตรีสุชาตินั้นเป็นกรรมการและเลขานุการมูลนิธิราชภักดิ์ ซึ่งมีพลเอกอุดมเดช สีตบุตร เป็นประธานมูลนิธิฯ อีกทั้งเคยทำหน้าที่นายทหารฝ่ายเสนาธิการของพลเอกอุดมเดช มาตั้งแต่ครั้งเป็นแม่ทัพกองทัพภาคที่ 1 จากนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็น ผบ.ร.11 รอ.พล1 ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการทหารคุมหน่วยรบที่สำคัญยิ่งของกองทัพบก และครั้นเมื่อพลเอกอุดมเดช กำลังจะเกษียณอายุ ก็ได้เลื่อนตำแหน่งให้กับพันเอกสุชาติ พรมใหม่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ อัตราพลตรี
 
สำหรับพันเอกคชาชาติ บุญดีนั้น พลเอกอุดมเดชได้แต่งตั้งให้เป็น ผบ.กรมทหารพรานที่ 36 ทภ.3 และจากนั้นได้ย้ายให้มาดำรงตำแหน่ง ผบ.ป.11 รอ.ทภ.1 ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการทหารที่มีความสำคัญในกองทัพบกเช่นกัน และสุดท้ายเมื่อพลเอกอุดมเดชใกล้เกษียณอายุ ก็ได้ออกคำสั่งเลื่อนพันเอกคชาชาติ เป็นรองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 แต่เมื่อพลเอกธีรชัย นาควานิช มาดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.ได้ยกเลิกคำสั่งพร้อมส่งตัวพันเอกคชาชาติ บุญดี กลับกองทัพภาคที่ 3 โดยเหตุนี้ทั้งพลตรีสุชาติ พรมใหม่และพันเอกคชาชาติ บุญดี จึงเป็นนายทหารที่มีความใกล้ชิดกับพลเอกอุดมเดช ทำหน้าที่ประหนึ่งนายทหารคนสนิท และได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่พิเศษต่างๆ มากมาย นอกเหนือจากตำแหน่งทางทหารที่ดำรงตำแหน่งอยู่ เช่น โครงการอุทยานราชภักดิ์ที่พลตรีสุชาติ ถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการและเลขานุการมูลนิธิราชภักดิ์
 
"พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อสาธารณะเพิ่มเติมดังที่กล่าวมาในข้อ 1 ถึงข้อ 3 ชี้ให้เห็นว่าโครงการอุทยานฯ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของทางราชการ มีการทุจริตเกิดขึ้นอย่างชัดเจน การปฏิเสธความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาในระดับชั้นต่างๆ โดยลำดับมา จึงเป็นความบกพร่องและไม่รับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น"

พุทธะอิสระนำโวย ‘ไทยมิใช่ทาส’ หน้าสถานทูตสหรัฐฯ หลังทูตออกมากังวล กฎหมายหมิ่นเบื้องสูง


27 พ.ย. 2558 มติชนออนไลน์ รายงานว่า พระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม และพล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร นำประชาชน มาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่หน้า สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับท่าทีของนายกลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นในลักษณะก้าวก่ายกิจการภายในของประเทศไทย
โดย พระพุทธะอิสระ ได้เผยแพร่จดหมายจากใจประชาชนคนไทย ถึงเอกอัครราชทูตอเมริกา ประจำประเทศไทย ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)’ โดยระบุว่า จากพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่สถานทูต ตลอดจนเอกอัครราชทูตแต่ละคนที่เข้ามาทำหน้าที่ในแผ่นดินไทย พยายามเข้ามามีบทบาท แทรกแซง ชี้นำ วิพากษ์วิจารณ์ ต่อกิจการภายในของประเทศไทยในทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการออกกฎหมายที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย
“หนำซ้ำยังออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง ไร้มารยาท ผิดปกติวิสัยมิตรที่ดีจะพึงมีต่อกัน ขาดการให้เกียรติ ไม่ยอมรับในความต่าง ดูถูกศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์และเหยียบย่ำอารยะธรรมของบรรพบุรุษไทย” พระพุทธะอิสระ  ระบุในจดหมาย
นอกจากนี้จดหมายยังระบุด้วยว่า พวกตนคนไทยมีความรู้สึกว่านี่ไม่ใช่พฤติกรรมของมหามิตรที่ดีที่กระทำต่อกัน แต่กลับทำประหนึ่งว่าประเทศไทยเป็นทาส เป็นเมืองขึ้นของสหรัฐ จะจิกหัวตำหนิติด่าตามความพอใจ โดยไม่เกรงใจ ไม่ให้เกียรติ ไม่ยอมรับในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่มีของชนชาติไทย
ประเทศสหรัฐโดยเอกอัครราชทูตและเจ้าหน้าที่ทูตประจำประเทศไทยพยายามจะใช้มาตรฐานของตนเองมาเปรียบเทียบกับประเทศไทย และมีเจตนาที่จะกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่สหรัฐมุ่งหวัง ทั้งที่ไม่มีสิทธิ ไม่มีอำนาจ ไม่สมควร
“ท่านทูตสหรัฐต้องไม่ลืมว่าแผ่นดินไทย คนไทย มิได้เป็นทาสหรือเมืองขึ้นของสหรัฐ ประเทศสหรัฐไม่มีอำนาจมาบงการ แทรกแซง ชี้นำ หรือล้มล้างกฎหมายของแผ่นดินไทย โดยเฉพาะกฎหมายที่ว่าด้วยการคุ้มครองสถาบันหลักของชาติ ซึ่งพวกเราถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมแรงรวมใจและความมั่นคงของชาติ” พระพุทธะอิสระ  ระบุในจดหมาย
สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ ที่คนไทยทุกคนพร้อมที่จะอุทิศชีวิตเพื่อปกป้อง หากประเทศสหรัฐโดยสถานทูตมีความจริงใจที่จะดำรงรักษาเอาไว้ซึ่งความสงบสุขของชาติไทยและรักษาบรรยากาศของมิตรประเทศที่ดี ก็ควรจะเรียนรู้แล้วทำความเข้าใจว่า ชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์คือจิตวิญญาณของคนไทย จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้
การที่นายกลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลไทยอย่างรุนแรงทั้งที่เหยียบยืนอยู่ในแผ่นดินไทย ถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติมิตรประเทศ ผิดมารยาทของทูตที่ดีอันควรกระทำ อีกทั้งยังมาวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายที่ปกป้องพระมหากษัตริย์ ผู้ซึ่งทรงเป็นประมุขของประเทศ ยิ่งเป็นการมิบังควร เป็นการเหยียดหยามทำลายจิตใจและศักดิ์ศรีของประเทศไทย
พระพุทธะอิสระ  ระบุในจดหมายอีกว่า พวกตนจึงต้องพากันมาร้องตะโกนบอกกับท่านทูตว่า อย่าเสียมารยาท ประเทศไทยมิใช่ทาสหรือเป็นเมืองขึ้นของสหรัฐที่คิดจะทำอะไรก็ได้ อย่ามาทำลายความเป็นมิตรประเทศด้วยการเข้าจุ้นจ้านแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทยอีกเลย อย่าพยายามใช้มาตรฐานของตนมาครอบงำข่มขู่บังคับให้ประเทศไทย คนไทย ต้องเปลี่ยนไปตามประเทศสหรัฐ ถ้าคุณทำก็เท่ากับคุณกำลังทำลายจิตวิญญาณของคนไทย พวกตนไม่ยินยอมแน่นอน
“หากคิดจะเป็นมิตรประเทศที่ดีต่อกันก็ควรจะยอมรับความต่างและให้เกียรติซึ่งกันและกัน และช่วยกันสร้างบรรยากาศของความร่วมมือ เพื่อให้มิตรประเทศอยู่ร่วมกันได้อย่างจริงใจ สันติ เจริญรุ่งเรือง” พระพุทธะอิสระ  ระบุตอนท้ายของจดหมาย
ทูตสหรัฐฯ กังวลกฎหมายหมิ่นเบื้องสูงไทย ชี้ไม่ควรถูกจำคุกฐานแสดงความเห็นอย่างสันติ
โดยเมื่อวันที่ 26 พ.ย. ที่ผ่านมา นายกลิน ที. เดวีส์  ได้แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ ณ เวทีเสวนาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในกรุงเทพฯ ขณะที่การดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพุ่งสูงขึ้น ภายใต้ปกครองของคณะรัฐประหาร โดยนายกลิน ที. เดวีส์  เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้ราวๆ 9 สัปดาห์ ย้ำว่ารัฐบาลสหรัฐฯ มีความเคารพอย่างยิ่งและรู้สึกชื่นชมพระมหากษัตริย์ไทย แต่ก็อ้างถึงสิทธิการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสรเสรี “เราเชื่อว่าไม่ควรมีใครควรถูกจำคุกต่อการแสดงมุมมองอย่างสันติ และเราสนับสนุนอย่างหนักแน่นต่อความสามารถของบุคคลหรือองค์กรอิสระใดๆ ในการค้นคว้าวิจัยและรายงานประเด็นสำคัญๆ โดยปราศจากความกลัวว่าจะถูกแก้แค้น” (อ่านรายละเอียด)
พัฒนาการการเพิ่มโทษของ ม.112
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การเพิ่มโทษในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นี้ ถูกแก้ไขหลังเหตุการณ์ล้อมปราบนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ 6 ต.ค. 2519 จากนั้นมีการรัฐประหารและต่อมาได้ออกคำสั่งให้แก้ไขประมวลกฎหมายดังกล่าวเป็นเพื่อเพิ่มโทษและมีการกำหนดโทษขั้นต่ำดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ว่า “มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”
โดยที่ก่อนหน้านั้นมีโทษที่ต่ำกว่าที่เป็นอยู่ ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีพระราชกำหนดลักษณะหมิ่นประมาทด้วยการพูดหรือเขียนถ้อยคำเท็จออกโฆษณาการ รศ. 118 มาตรา 4 ซึ่งระบุโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับเป็นเงินไม่เกิน 1,500 บาท หรือทั้งจำและปรับ ต่อมาได้มีการจัดทำประมวลกฎหมายอาญาขึ้น ชื่อ "กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127" มาตรา 98 ระบุโทษไม่เกิน 7 ปี (ไม่มีอัตราโทษขั้นต่ำ) และปรับไม่เกิน 5,000 บาทด้วย หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี 2500 ได้จัดทำประมวลกฎหมายขึ้นใหม่ ชื่อ "ประมวลกฎหมายอาญา" ในมาตรา 112 กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี (ไม่มีโทษปรับ) และล่าสุดที่มีการแก้ภายหลังเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 จนกระทั่งมีการกำหนดโทษขั้นต่ำและเพิ่มโทษดังที่เป็นอยู่