วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559

'วิกฤติความยุติธรรม' คือหนึ่งในสาเหตุหลักของวิกฤติทางการเมืองไทยในปัจจุบัน


ในสังคมประชาธิปไตยทุกสังคมล้วนแต่ต้องมีองค์กรศาลและกึ่งศาลทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของผู้มีอำนาจอย่างเที่ยงธรรมและเป็นอิสระ โดยปลอดพ้นจากอคติทางการเมืองส่วนตัว, ไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองของคนบางกลุ่ม, ไม่เลือกปฏิบัติ, ยึดหลักกฎหมาย ความโปร่งใส และความเท่าเทียมของประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่ว่า คำตัดสินขององค์กรเหล่านี้จะเป็นที่ยอมรับจากคู่กรณีว่า “เป็นธรรม” และความขัดแย้งนั้น ๆ ก็จะ“เป็นอันยุติ” สังคมก็สามารถข้ามพ้นความขัดแย้งนั้น และเดินหน้าต่อไปได้ ไม่มีสังคมไหนจะเข้มแข็งอยู่ได้ หากประชาชนหมดความเชื่อถือศรัทธาต่อระบบความยุติธรรม
แต่สังคมไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่าน องค์กรด้านความยุติธรรมทั้งหลายกลับทำลายความชอบธรรมของตนเองอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่ยี่หระต่อความรู้สึกของประชาชนแม้แต่น้อย พวกเขาไม่เพียงไม่สามารถยุติความขัดแย้งได้ แต่กลับขยายความรู้สึกคับแค้นขื่นขมให้กับประชาชนมากยิ่งขึ้น ทำตัวหูหนวกตาบอดต่อรอยร้าวที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกขณะ
ภาวะตามอำเภอใจ ความไม่มีมาตรฐาน ไม่เคารพต่อนิติรัฐ ไม่สนใจหลักความเท่าเทียมเสมอภาค และสิทธิของประชาชน กลายมาเป็นมาตรฐานขององค์กรที่ทำหน้าที่อำนวยความยุติธรรมของไทยไปเสียแล้ว
พวกเขามองว่าเป้าหมายของตนนั้นเป็นเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ เป็นความดีเหนือความดีทั้งปวง หลักการทั้งหลายจึงเป็นแค่ “วิธีการ” ที่ต้องยอมศิโรราบให้กับเป้าหมายของพวกเขา แต่พวกเขากลับเสแสร้งหูหนวกตาบอดว่า วิธีการตามอำเภอใจที่พวกเขาใช้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กลับยิ่งทำให้สังคมจมดิ่งลงไปในหลุมดำของปัญหา จนไม่รู้ว่าจะหลุดพ้นออกมาได้อย่างไร เพราะสังคมไทยมาถึงจุดที่ไม่มีองค์กรใดอีกแล้วที่ไม่เผชิญกับ “วิกฤติความชอบธรรม” ไม่มีองค์กรใดที่จะทำหน้าที่ฟื้นฟูความยุติธรรม และยุติความขัดแย้งให้คนทุกฝ่ายยอมรับได้
วิกฤติความยุติธรรมนั้นอันตรายกว่าวิกฤติเศรษฐกิจเสียอีก ในยามเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ หากประชาชนไม่ได้รู้สึกว่าตนถูกรังแกจากรัฐบาล และต่อให้ประชาชนเห็นว่ารัฐบาลไม่เก่งสักเท่าไร ประชาชนก็ยังพอจะยอมรับความชอบธรรมของรัฐบาล และพยายามร่วมแรงร่วมใจ ทำงานหนัก ฝ่าฝันวิกฤติเศรษฐกิจไปให้ได้ แต่วิกฤติความยุติธรรมที่เกิดขึ้นได้ทำลายความรู้สึกของการเป็นคนกลุ่มเดียวกันของคนในสังคมอย่างรุนแรง "ความเกลียดชังระหว่างกลุ่ม" “ความเป็นพวกเรา” “ความเป็นพวกเขา” ปรากฏอยู่ในทุกสถานการณ์
อย่าปฏิเสธเลยว่าวิกฤติเศรษฐกิจที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ไม่ได้เป็นผลพวงของวิกฤติทางการเมือง การอ้างว่าเป็นผลของวิกฤติเศรษฐกิจโลกไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า แล้วทำไมเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านของไทยจึงกลับเดินหน้าไปได้ดีกว่าไทย พร้อม ๆ กับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่กำลังฟื้นตัว เมื่อกระบวนการยุติธรรมล้มเหลวในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง สังคมไทยจึงวนเวียนจมปลักกับปัญหาการเมืองที่ซ้ำซากและรุนแรงมากขึ้นทุกที จนทำให้ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของบรรดานักลงทุนหดหาย พร้อมๆ กับระบบต่างๆ เริ่มแสดงอาการผุพังเสื่อมโทรมออกมาให้เห็น แถมยังนำพาประเทศมาอยู่ใต้รัฐบาลทหารที่บริหารประเทศไม่เป็นอีกต่างหาก
พวกเขามักกล่าวว่าความแตกต่างระหว่างคนจนและคนรวยคือรากของปัญหา แต่ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ รวมทั้งของสังคมไทยเองด้วย บอกเราว่าความยากจนไม่ทำให้ผู้คนพร้อมจะลุกขึ้นสู้กับผู้มีอำนาจจนถึงขั้นยอมเอาชีวิตตัวเองเข้าแลก แต่ความโกรธแค้นต่อความอยุติธรรมต่างหากที่ทำให้คนหมดความอดทนอดกลั้น …. และพวกเขารอโอกาสที่จะทวงคืนศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนคืนเท่านั้นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น