วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2559

เปิดคำพิพากษา ‘มือปืนป๊อปคอร์น’–คำสารภาพ(ก่อนสู้คดี)ถึงแรงจูงใจทางการเมือง


ลูก ‘ลุงอะแกว’ พอใจคำพิพากษา แต่ติดใจกระสุนในคอพ่อคนละชนิดกับปืนป๊อปคอร์น ถามเห็นหน้าชัดหลายคนทำไมจับได้คนเดียว พร้อมเปิดคลิปที่จำเลยให้สัมภาษณ์สื่อยอมรับถึงเหตุการณ์วันดังกล่าวและปูมหลังชีวิต ความคิด ก่อนกลับคำให้การในชั้นศาลขอต่อสู้คดี รวมไปถึงคำพิพากษาของศาล แม้ไม่ได้ความว่าจำเลยยิงอะแกว แต่จำเลยกับพวกกระทำการร่วมกันจึงต้องรับผิดในผลที่กระทำร่วม
3 มี.ค.2559 ศาลอาญาพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 และนางสาวเอื้องฟ้า แซ่ลิ้ว บุตรสาวนายอะแกว แซ่ลิ้ว ผู้เสียหายที่ 2 ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ปะทะที่หลักสี่ เป็นโจกท์ร่วมฟ้องนายวิวัฒน์ ยอดประสิทธิ์ หรือ ท็อป หรือที่รู้จักกันในนาม มือปืนป๊อปคอร์น โดยศาลพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิตในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น ส่วนข้อหามีอาวุธและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 3 ปี ข้อหาพาอาวุธปืนไปในเมืองหรือสาธารณะจำคุก 3 ปี แต่เนื่องจากคำสารภาพของจำเลยในชั้นสอบส่วนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาจึงเห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 โทษจำคุกตลอดชีวิตจึงเหลือ 33 ปี 4 เดือน โทษจำคุกอีกสองข้อหาเหลือข้อหาละ 2 ปี รวมโทษจำคุกทั้งหมด 37 ปี 4 เดือน  (อ่านที่นี่) 
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวเกิดขึ้นสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 1 ก.พ.2557 บริเวณสะพานข้ามแยกหลักสี่ ถนนแจ้งวัฒนะ ใกล้ห้างสรรพสินค้าไอทีสแควร์ ขณะที่กลุ่ม กปปส.เคลื่อนขบวนเพื่อไปปิดหีบเลือกตั้งเขตหลักสี่ มีเหตุปะทะกับกลุ่มสนับสนุนเลือกตั้งในย่านหลักสี่จนเบื้องต้นมีผู้บาดเจ็บ 4 รายและหนึ่งในนั้นคืออะแกว ซึ่งเสียชีวิตในเวลาต่อมาหลังรักษาตัวนาน 7 เดือน หลังเหตุการณ์มีการเผยแพร่ภาพบุคคลหลายคนถืออาวุธสงครามบริเวณใต้สะพานข้ามแยกหลักสี่ในอินเทอร์เน็ต จากนั้นในวันที่ 19 มี.ค. 2557 นายวิวัฒน์ถูกจับกุมตัวได้ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีและถูกคุมขังตั้งแต่นั้นมาจนปัจจุบัน รวมเวลาเกือบ 2 ปี โดยไม่เคยมีการยื่นประกันตัวมาก่อนหน้านี้ ขณะถูกจับกุมเขาอายุ 24 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดพิษณุโลก ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป 
ภรรยาร่ำไห้เป็นลม พ่อฐานะยากไร้สงสัยทำไมโยนทั้งหมดให้ลูกชาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภรรยาจำเลย และพ่อจำเลยซึ่งประกอบอาชีพทำไร่และรับจ้างเดินทางมาจากพิษณุโลก รวมถึงเพื่อนจำเลยอีก 5-6 คน เข้าร่วมฟังคำพิพากษา ท่ามกลางสื่อมวลชนจำนวนมาก โดยศาลเริ่มอ่านคำพิพากษาล่าช้ากว่าเวลานัดหมายประมาณ 3 ชม. หลังฟังคำพิพากษา ภรรยาจำเลยร่ำไห้และเป็นลม ขณะที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวจำเลยกลับเรือนจำ ขณะที่ทนายจำเลยให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่าทำการอุทธรณ์ต่อไป
ด้านพ่อของจำเลย กล่าวว่า เขามีอาชีพรับจ้างทำไร่ทำนาอยู่จังหวัดพิษณุโลกและมีฐานะยากจน ที่ผ่านมาเกือบ 2 ปีแทบไม่ได้เดินทางไปเยี่ยมวิวัฒน์ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงในการมากรุงเทพฯ จะมาก็เพียงแต่ครั้งที่ศาลมีนัดพิจารณาคดีเท่านั้น ยอมรับว่าลูกชายไปอยู่ตรงนั้นจริง แต่มีคนจำนวนมากที่มีอาวุธ ไม่รู้ว่าผู้เสียชีวิตนั้นโดนกระสุนจากปืนกระบอกไหน ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงลงโทษกับลูกชายทั้งหมด
“เราอยู่ตรงนั้น แต่เราไม่ได้ยิงเขาตาย” พ่อจำเลยกล่าวหลังฟังคำพิพากษา
ลูกสาว ‘อะแกว’ชี้กระสุนในคอพ่อไม่น่าใช่จากปืน ‘ป๊อบคอร์น’ ถามทำไมจับได้คนเดียว
ด้านเอื้องฟ้า แซ่ลิ้ว ลูกสาวนายอะแกว ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ทราบข่าวคำพิพากษาแล้ว แต่จากการชันสูตรหัวกระสุนที่ฝังอยู่ในคอบิดาพบว่าไม่ใช่อาวุธชนิดเดียวกับที่นายวิวัฒน์ถืออยู่ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นอาวุธสงคราม หากเป็นกระสุนจากอาวุธของนายวิวัฒน์จริงคงไม่มีโอกาสได้นอนรักษาตัว อย่างไรก็ตามถือว่านายวิวัฒน์อยู่ในกลุ่มผู้กระทำการดังกล่าวด้วยการลงโทษของศาลจึงทำให้ครอบครัวที่สูญเสียพ่อรู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรมบ้าง แต่ประเด็นที่ยังค้างคาใจคือหลังเกิดเหตุมีการเผยแพร่ภาพบุคคลในกลุ่มเดียวกับนายวิวัฒน์หลายคนที่เห็นหน้าค่อนข้างชัดแต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถจับกุมใครได้เลย ยกเว้นนายวิวัฒน์เพียงรายเดียว  
“ตอนที่พ่อถูกยิงสักพัก กลับมารักษาตัวที่บ้าน เขาอาการดีขึ้นแม้จะเป็นอัมพาตทั้งตัว เคยถามพ่อว่ารู้ไหมว่าถูกยิงจากทางไหน พ่อบอกว่ายิงมาจากรางรถไฟ เราใช้วิธีทำตาราง ก-ฮ แล้วไล่ชี้ทีละตัว ถ้าตัวไหนใช่ให้ขยับปาก” เอื้องฟ้ากล่าว
“เราไม่อยากให้มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้อีก พ่อก็ไม่ได้ร่วมชุมนุมอะไรกับใครเขา เขาโดนลูกหลง และที่ไม่เข้าใจคือ มือปืนมีรูปในที่เกิดเหตุเยอะแยะหลายคนที่เห็นหน้าชัดเจน แต่จับได้คนเดียว อยากให้เจ้าหน้าที่ช่วยติดตามด้วย” เอื้องฟ้ากล่าวและว่า นับตั้งแต่บิดาเสียชีวิต ยังไม่ได้เงินชดเลยใด ยกเว้นเงินทดแทนการขาดรายได้เพียงก้อนเดียวที่ได้จากกระทรวงยุติธรรมในช่วงที่บิดายังรักษาตัวอยู่
เปิดคลิปสัมภาษณ์มัดตัว เผยปูมชีวิตและแรงจูงใจในการปกป้อง “พี่น้อง”
สำหรับรายละเอียดคำพิพากษาในคดีนี้ โจทก์ใช้หลักฐานสำคัญเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณดังกล่าว และคลิปวิดีโอที่ปรากฏในอินเทอร์เน็ต ปากคำผู้อยู่ในเหตุการณ์ รวมถึงคำให้สัมภาษณ์ของจำเลยที่เคยให้กับสื่อมวลชนไว้ในวันจับกุมยอมรับว่าเขาคือบุคคลที่ถือถุงป๊อปคอร์นคลุมอาวุธจริง จากการสืบค้นของประชาไท คาดว่าเป็นการสัมภาษณ์โดยทสำนักข่าวไทย (ดูที่นี่) ความยาว 16 นาที วิวัฒน์เล่าถึงภูมิหลังชีวิตตนเองที่มีอาชีพรับจ้างก่อสร้างกับทำนา และช่วงนั้นได้เดินทางมาจากพิษณุโลกเพื่อมาหางานทำและเยี่ยมญาติในกรุงเทพฯ บังเอิญมีการชุมนุมจึงเข้าร่วมด้วยโดยเขาอาสาไปเป็นการ์ด และเฝ้าอยู่ที่จุดแจ้งวัฒนะ พร้อมทั้งยอมรับว่ามีอาวุธอยู่ในที่ชุมนุมแจ้งวัฒนะ โดยมีคนฝากให้เขาดูแล เขาไม่เคยใช้อาวุธมาก่อน วันเกิดเหตุเขารับอาสาไปป้องกันผู้ชุมนุม กปปส.ที่มาจากลาดพร้าวเพื่อมาสมทบแต่เกิดเหตุปะทะกับกลุ่มที่สนับสนุนการเลือกตั้ง จึงนำอาวุธดังกล่าวไปด้วย ไปสมทบกับคนอื่นๆ และไม่ได้รู้จักกันทั้งหมดกับผู้ใช้อาวุธที่ปรากฏตามภาพ เขายืนยันว่ายิงข่มขู่ไปในแนวที่ไม่มีคน รวมแล้วประมาณ 20 นัด
“ผมเห็นมวลชนมา พี่น้องมาแล้วโดน คนเดินทางมาก็โดนลอบทำร้ายบ้างอะไรบ้าง เห็นแล้วก็สงสาร เลยอาสาไปอยู่ตรงนั้น” วิวัฒน์ตอบคำถามว่าทำไมจึงตัดสินใจเป็นการ์ดที่เวทีสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ราชดำเนิน
 “ไม่มี และไม่เคยใช้ปืน เริ่มมาเห็นปืนที่แจ้งวัฒนะแล้ว ก่อนจะเห็นปืนในม็อบมันมีเอ็ม 79 ลงหลังเวที 3 ลูก แล้วมีคนมายิงใส่เข้าไป ฝั่งเราไม่มีอาวุธตอบโต้ สักพักก็เห็นมี แต่ไม่รู้ใครนำเข้ามา” เขาตอบคำถามว่าระหว่างเป็นการ์ดมีปืน ใช้ปืนหรือไม่
“ช่วงนั้นผมก็ไม่รู้ว่าทำได้ยังไง แต่ท่าทางเขาเห็น คนก็คิดว่าเราฝึกมา ที่จริงผมไม่ได้ฝึกเลย” เขาตอบคำถามว่าใช้ปืนเป็นได้อย่างไร และเขายอมรับว่าปืนที่เขาถือในวันเกิดเหตุคือ ปืน M16 มีคนแนะนำว่าขึ้นลำ ขึ้นเซฟอย่างไร แต่วิธีการยิงไม่ได้สอน
“นอนอยู่ที่หน้าด่านทั้งวัน แล้วมีคนเรียกออกมา ว่าพี่น้องมาจากลาดพร้าวข้ามถนนไม่ได้ โดนอีกฝั่งทำร้าย ยิงใส่ ขว้างปะทัดระเบิดปิงปองใส่ พี่น้องก็นอนหลบกันหมด เขาก็ระดมการ์ดออกมา ไอ้เราทีแรกก็ไม่คิดว่าจะออกมา ก็หันซ้ายหันขวาแล้วมันไม่มีใคร ของก็อยู่กับผมอยู่แล้วก็เลยตัดสินใจออกไป มันมีทีมการ์ดเอามาไว้ในนั้นอยู่แล้ว ไม่ได้เอามาให้แต่เอามาวางไว้ที่ฐานที่ด่าน เขาฝากให้ผมดู เขาเข้าห้องน้ำ” เขาตอบคำถามว่าวันเกิดเหตุที่หลักสี่เตรียมตัวอย่างไร ทำไมจึงเข้ามาอยู่ตรงนั้น
“ผมถือคติว่าฝั่งตรงข้ามไม่ทำก่อน เราจะไม่ทำ ถ้ามันทำ เรายิงข่มขู่ไปก่อน ผมยิงไปไม่มีแนวคนไม่มีเลย ยิงไปแนวข่มขู่ มันไม่มีคน แต่คนที่โดนปืนโดนอะไร มันไม่ใช่มีผมคนเดียวใช่ไหมครับ มันหลายคนหลายชุด แต่มันดัง ดังป๊อปคอร์น” เขาให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่ง  
“ตอนนั้นผมไม่คิดอะไร คิดว่าให้พี่น้องรอดอย่างเดียว เอาพี่น้องให้รอดไว้ก่อน ต้องเอาพี่น้องของเราเข้ามาหาหลวงปู่ให้ได้ ถ้ามืดฝั่งตรงข้ามต้องทำร้ายแน่นอน” เขากล่าวในตอนหนึ่ง
คำพิพากษาของศาล แม้ไม่ได้ความว่าจำเลยยิงคนตาย แต่ “ร่วมกัน” กับพวก
สำหรับสรุปรายละเอียดคำพิพากษามีดังนี้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยได้ร่วมกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลได้วินิจฉัยในประการแรกก่อนว่า ชายชุดดำที่ถือถุงกระสอบข้าวโพดสีเขียวเหลืองเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยหรือไม่ ศาลอ้างถึงการเบิกความของตำรวจที่รับผิดชอบสืบสวนคดีนี้ซึ่งเบิกความว่า นำภาพจากกล้องวงจรปิดของการรถไฟแห่งประเทศไทยที่ติดตั้งบริเวณใต้สะพานข้ามแยกหลักสี่ ปรากฏภาพบุคคล 5-6 คนปิดบังใบหน้าเดินมาจากซอยแจ้งวัฒนะ 5 มุ่งหน้าไปทางรถหกล้อนำขบวนของกลุ่ม กปปส.ที่มาจากห้าแยกลาดพร้าว มีภาพคนร้ายที่ถือถุงเขียวเหลืองเดินตรงไปยังรถนำขบวน สักครู่ต่อมาชายคนดังกล่าววิ่งไปที่แท่งปูนแบริเออร์แยกหลักสี่ ประกอบกับภาพจากสื่อในอินเตอร์เน็ตพบว่า ชายคนดังกล่าววิ่งไปที่แท่งปูนแล้วใช้อาวุธปืนที่ซุกซ่อนมาในถุงกระสอบข้าวโพดเขียวเหลืองยิงไปทางไอทีสแควร์ ต่อมาตำรวจทุ่งสองห้องนำหลักฐานภาพชายคนถือถุงกระสอบเขียวเหลืองเดินไปทางซอย 5 ต่อมาพบชายลักษณะเดียวกันแต่เปิดหน้า จึงได้นำภาพชายคนดังกล่าวมาเปรียบเทียบกับคนที่ปิดบังใบหน้า ปรากฏว่ามีลักษณะเหมือนกัน ตำรวจสืบจนทราบว่ามีภูมิลำเนาอยู่พิษณุโลกและทราบชื่อจริง เมื่อเทียบกับภาพถ่ายตามทะเบียนราษฎร์ก็ตรงกับภาพชายชุดดำที่ใส่หมวกไหมพรมเปิดหน้า เห็นว่า ขณะเกิดเหตุแม้จำเลยจะสวมหมวกไหมพรมปิดบังใบหน้าแต่ในเวลาต่อมาจำเลยได้เปิดหมวกดังกล่าวออกตามหลักฐานที่โจทก์นำส่ง และเมื่อนำภาพถ่ายของชายที่สวมหมวกไหมพรมปิดบังใบหน้ามาเปรียบเทียบกับภาพถ่ายจำเลยที่เปิดเผยใบหน้า เห็นได้ชัดว่าจำเลยกับชายคนดังกล่าวมีลักษณะรูปร่างอ้วนเหมือนกัน สวมหมวกไหมพรมสีดำเหมือนกัน ใส่เสื้อยืดสีดำแขนยาวเหมือนกัน เสื้อเกราะกันกระสุนเหมือนกัน เข็มขัดคาดเอวเหมือนกัน กางเกงยีนส์เหมือนกัน รองเท้าเหมือนกัน อุปกรณ์วิทยุสื่อสารเหมือนกัน และเมื่อนำภาพถ่ายในทะเบียนราษฎร์มาเปรียบเทียบกับภาพที่เปิดเผยหน้ายิ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับจำเลย ประกอบกับการให้สัมภาษณ์กับนักข่าวตามวัตถุพยานที่นำส่ง นอกจากจำเลยจะเล่าถึงประวัติของจำเลยแล้วยังยอมรับว่าจำเลยยังยอมรับว่าชายคนร้ายชุดดำที่ถือถุงกระสอบใส่ข้าวโพดสีเขียวเหลืองคือจำเลย ซึ่งเจือสมกับหลักฐานโจทก์ที่นำสืบข้างต้น การที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้แก่กลุ่ม กปปส.ที่สำนักงานเขตหลักสี่จึงขัดแย้งกับภาพของจำเลยที่ปรากฎในที่เกิดเหตุ รวมทั้งคำให้สัมภาษณ์แก่นักข่าว ยิ่งกว่านั้น ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพว่าจำเลยเป็นคนเดียวกับบุคคลที่ถือกระสอบใส่ข้าวโพดสีเขียวเหลืองขณะเกิดเหตุจริง และนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ อ้างว่ารับสารภาพโดยไม่สมัคร ถูกพนักงานสอบสวนข่มขู่นั้น เห็นว่าขณะนำชี้ที่เกิดเหตุกระทำโดยเปิดเผยต่อหน้านักข่าวเป็นจำนวนมาก จึงไม่น่าเชื่อว่าถูกข่มขู่ และหากถูกข่มขู่จริงก็น่าจะร้องเรียนกับตำรวจผู้บังคับบัญชาได้ แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำเช่นนั้น ข้อเท็จจริงรับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่า จำเลยเป็นบุคคลเดียวกับชายชุดดำสวมหมวกไหมพรมปิดหน้าถือกระสอบใส่ข้าวโพดสีเขียวเหลืองในวันเกิดเหตุจริง
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นและร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้องจริงหรือไม่ เห็นว่า จำเลยได้รับในระหว่างให้สัมภาษณ์นักข่าวและคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ความว่า วันเกิดเหตุจำเลยกับพวกจำนวน 21 คนซึ่งอยู่ในกลุ่ม กปปส.ดังกล่าวตามรายงานการสืบสวน ต่างก็ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงโต้ตอบกับกลุ่มผู้สนับสนุนการเลือกตั้งที่อยู่หน้าศูนย์การค้าไอทีสแควร์ ตามหลักฐานภาพเคลื่อนไหวที่นำส่ง ในช่วงเกิดเหตุมีชายคนหนึ่งในกลุ่มกปปส.ถือโทรโข่งบอกพรรคพวกของตนว่า ให้เล็งเอาไว้ ออกมาให้สอยเลย ซึ่งน่าจะหมายถึงให้จำเลยกับพวกเล็งปืนเอาไว้หากกลุ่มผู้สนับสนุนการเลือกตั้งโผล่ออกมาให้ยิงได้เลย และภาพในลำดับถัดมาปรากฏว่ามีรถยนต์ยี่ห้อนิสสันสีขาวที่มีกระบะคล้ายรถขนเงินขับมาจอดใกล้ๆ จากนั้นได้เปิดกระบะท้ายออกแล้วมีการทยอยนำสิ่งคล้ายกับเสื้อเกราะกันกระสุน หมวกคล้ายหมวกเหล็กของทหารและโล่ที่ใช้ในการควบคุมฝูงชนส่งให้แก่พรรคพวก และคนร้ายที่เป็นคนเดียวกันกับคนที่ชี้เป้าให้จำเลยก่อนหน้านี้วิ่งมารับอุปกรณ์ดังกล่าว ในขณะเดียวกันนั้นมีชายอีกคนหนึ่งตะโกนบอกพรรคพวกของตนให้นำอาวุธปืนยาวมาเก็บไว้ที่รถคันดังกล่าว นอกจากนี้ยังจะเห็นภาพจำเลยภาพจำเลยกับพวกเดินเกาะกันมาเป็นกลุ่มซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นภาพหลังจากจำเลยกับพวกใช้อาวุธปืนยิงไปยังกลุ่มผู้สนับสนุนการเลือกตั้งแล้ว และเมื่อพิจารณาเห็นว่า กลุ่มขัดขวางและกลุ่มสนับสนุนการเลือกตั้งเผชิญหน้ากันและแต่ละฝ่ายต่างใช้อาวุธปืนยิงปะทะกันในที่เกิดเหตุ โดยฝ่ายจำเลยกับพวกใช้อาวุธปืนยิงไปยังอีกฝ่ายตามภาพถ่ายที่นำส่ง ซึ่งมีทั้งอาวุธปืนที่มีอานุภาพร้ายแรงที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้รวมอยู่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาวุธปืนที่จำเลยซ่อนมาในถุงกระสอบข้าวโพดเหลืองเขียวและใช้ยิงอีกฝ่ายนั้นจะสังเกตเห็นปลายกระบอกปืนโผล่ออกมา โดยได้ความจากเจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐานว่า ส่วนปลายลำกล้องปืนที่ปรากฏตามภาพดังกล่าวเป็นปลอกลดแสงวาบซึ่งจะใช้ในอาวุธปืนสงครามที่ใช้ลดแสงจากการยิงในเวลากลางคืน จึงเชื่อว่าอาวุธปืนที่จำเลยซ่อนมามีอนุภาพร้ายแรง
ดังนั้น การที่จำเลยกับพวกใช้อาวุธปืนยิงไปยังกลุ่มผู้สนับสนุนการเลือกตั้งที่มีความคิดเห็นขัดแย้งในทางการเมืองกับฝ่ายจำเลยเช่นนี้ ยิ่งบ่งชี้เจตนาการกระทำของจำเลยกับพวกได้ว่า กระทำไปโดยมีเจตนาร่วมกันฆ่าฝ่ายตรงข้าม ในเวลาเกิดเหตุดังกล่าวนอกจากผู้สนับสนุนการเลือกตั้งจะชุมนุมกันอยู่บริเวณไอทีสแควร์แล้วยังมีประชาชนและผู้เสียหายทั้งสี่อยู่บริเวณดังกล่าวด้วย โดยผู้ตายถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองตอนที่อยู่บริเวณใกล้ศาลพระพรหมตามภาพถ่าย และผู้เสียหายที่ 1,3,4 ก็ถูกปืนไม่ทราบชนิดและขนาดที่ยิงมาจากฝ่ายจำเลย ได้ความจากตำรวจที่อยู่ในพื้นที่ที่สังเกตเหตุการณ์อยู่ขณะนั้นมาเบิกความว่า เมื่อมีเสียงปืนดังขึ้น เห็นผู้ตายถูกยิง หลังจากมีคนนำผู้ตายออกจากพื้นที่เกิดเหตุ พยานก็เห็นชายชุดดำถืออาวุธปืนลูกซองชนิดบรรจุกระสุนห้านัดเดินออกมาจากใต้สะพานข้ามแยกหลักสี่ พร้อมกับใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงไปยังกลุ่มผู้สนับสนุนการเลือกตั้งขณะเดินไปด้วยและชายคนดังกล่าวไปหยุดยืนอยู่ข้างทางรถไฟ แล้วซักครู่ก็เดินย้อนกลับไปยังบริเวณเดียวกับจำเลยกับพวก จึงเชื่อว่าชายคนดังกล่าวเป็นพวกเดียวกันกับจำเลย และเชื่อว่าผู้ตายถูกชายคนดังกล่าวยิง ทั้งนี้ เพราะแพทย์ได้ดูบาดแผลและผ่าเอาหัวกระสุนปืนลูกซองได้จากคอผู้ตาย การที่จำเลยกับพวกใช้อาวุธปืนยิงไปยังกลุ่มผู้สนับสนุนการเลือกตั้งในขณะมีประชาชน ผู้ตาย ผู้เสียหายที่ 1,3,4 อยู่ในบริเวณดังกล่าว จำเลยกับพวกย่อมเล็งเห็นได้ว่าการยิงดังกล่าวของจำเลยกับพวกอาจถูกประชาชน ผู้ตายและผู้เสียหายที่อยู่บริเวณไอทีสแควร์ถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น
สำหรับผู้ตายได้ความจากโจทก์ร่วมว่า ก่อนถูกยิงดังกล่าวผู้ตายสุขภาพแข็งแรงไม่มีโรคประจำตัว แต่หลังจากถูกยิงแล้วได้กลายเป็นอัมพาต ต้องรักษาตัวตลอดมาและถึงแก่ความตายในที่สุด ความตายของชายดังกล่าวเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการกระทำของจำเลยกับพวก และแม้ว่าข้อเท็จจริงจะไม่ได้ความว่าผู้เสียหายที่ 1,3,4 และผู้ตายถูกจำเลยยิงก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมกับพวกกระทำความผิดโดยมีพฤติการณ์ดังกล่าว จำเลยจึงต้องรับผิดในผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยกับพวกเช่นเดียวกัน การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นตาย และเมื่อผู้เสียหายที่ 1,3,4 ไม่ถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1,3,4
สำหรับอาวุธปืนที่จำเลยพาไปและกระทำความผิดดังกล่าวแม้ข้อเท็จจริงพิจารณาแล้วเป็นอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้และเป็นความผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืน แต่โจทก์มิได้มีคำขอในท้ายฟ้องให้ลงโทษในบทบัญญัติดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษในเรื่องนั้น แต่เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนอยู่ในตัว ศาลย่อมลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาได้
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 188 ประกอบมาตรา 80 มาตรา 73, พ.ร.บ.อาวุธปืน มาตรา 4,7,8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรค1, 72 ทวิ วรรค 2, พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตรา 5,6,11,18 ประกาศศูนย์รักษาความสงบฉบับที่ 2/2557 เรื่องห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน
ให้ลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกตลอดชีวิต ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 3 ปี ความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 3 ปี คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง จึงมีเหตุบรรเทาโทษ เห็นสมควรให้ลดโทษกระทงละ 1 ใน 3 ดังนั้น
ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น เหลือจำคุก 33 ปี 4 เดือน
ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาต เหลือจำคุก 2 ปี
ฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต เหลือจำคุก 2 ปี
รวมจำคุก 37 ปี 4 เดือน ริบของกลาง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น