จากกรณีที่ พุทธะอิสระ ให้สัมภาษณ์ ผ่านรายงานเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand เมื่อวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา ว่า ทางมูลนิธิธรรมะอิสระของวัดอ้อน้อย ได้ร่วมกับ บ.พฤกชเวช ซื้อที่ดินเนินเขา บริเวณบ้านใหม่วังผาปูน ต.แม่วิน อ.แม่วาง เชียงใหม่ จริง โดยซื้อในนาม มูลนิธิธรรมมะอิสระของวัดอ้อน้อย กับ บ.พฤกชเวช เมื่อปี 2556-2557 ในราคา 3 ล้านกว่าบาท เนื้อที่เพียง 300 กว่าไร่ ไม่ใช่ 3,000 ไร่ อย่างที่มีการเสนอข่าวผ่านสื่อโซเชี่ยล โดยพุทธอิสระอ้างว่าตัวเขาเองไม่มีรายชื่อเป็นกรรมการมูลนิธิธรรมมะอิสระ (แต่เป็นเจ้าของวัด)พร้อมยอมรับด้วยว่า บริเวณดังกล่าวเป็นเป็นพื้นที่เขตป่าสงวนหวงห้ามจริง ประชาชนทั่วไปไม่สามารถครอบครองได้ แต่ที่มูลนิธิไปซื้อไว้ ก็เพื่อนำมาปลูกป่า เพื่อมอบให้หลวง โดยมีหน่วยงานและข้าราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ให้ความเห็นชอบ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
ล่าสุดวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา อรรถพล เจริญชันษา ผู้อำนวยการสำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า กรมป่าไม้ กล่าวว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้เข้าตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวแล้ว โดยต้องตรวจสอบเอกสารสิทธิว่าได้มาอย่างถูกต้องหรือไม่ และมีเจตนาอย่างไร จากนั้นจึงไปเทียบกับข้อกฎหมายของกรมป่าไม้ว่าจะสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้าง โดยหลักๆ แล้วต้องดูถึงเจตนา หากเป็นพวกนายทุน จะเห็นอย่างชัดเจนว่ามีเจตนาบุกรุกเพื่อครอบครองหวังผลประโยชน์ เพราะมีการปลูกสิ่งก่อสร้าง รีสอร์ต บ้านพัก แต่กรณีนี้ต้องเข้าตรวจสอบก่อนว่ามีเจตนาอย่างไร
ด้าน ศิริ อัคคะอัคร ผู้อำนวยการสำนักป้องกัน ปราบปราม และควบคุมไฟป่า กรมอุทยานฯ กล่าวถึงกรณี บก.ปทส. เตรียมเข้าตรวจยึดพื้นที่จากวัด 10 แห่งที่บุกรุกอุทยานแห่งชาติ ว่า ทาง บก.ปทส.ได้ประสานข้อมูลและทำงานร่วมกรมอุทยานฯ มาตลอด โดยขณะนี้กรมอุทยานฯ กำลังเข้าดำเนินการตรวจสอบวัดที่อยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ว่ามีรายชื่อเข้าร่วมโครงการพุทธอุทยานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือไม่ ซึ่งจะทราบข้อมูลในเร็วๆ นี้ หากตรวจสอบแล้วไม่พบรายชื่อว่าเข้าร่วมโครงการพุทธอุทยานฯ หรือมีการบุกรุกขยายพื้นที่เกินกว่าข้อตกลงและเงื่อนไขที่ทำไว้กับกรมอุทยานฯ ก็จะดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ 2504 ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากพื้นที่ต่อไป
ด้าน ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษพญาเสือ กรมอุทยานฯ กล่าวว่า สำหรับวัดในพื้นที่ป่า ถ้าขึ้นบัญชีเข้าร่วมโครงการพุทธอุทยานฯ ก็สามารถอยู่ในป่าไม้ได้ โดยไม่ขยายพื้นที่เพิ่ม แต่หากไม่ร่วมโครงการก็ถือว่าบุกรุกพื้นที่ป่า ทั้งนี้เมื่อเร็วๆ นี้ตนได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่ามีสำนักสงฆ์แห่งหนึ่งไปบุกรุกพื้นที่ในเขตอุทยานฯ เขาใหญ่ เนื้อที่ 15 ไร่ ซึ่งได้เข้าไปตรวจสอบและขอให้นำเอกสารมาแสดง ภายใน 30 วัน หากไม่มีหลักฐานและข้อตกลงในโครงการพุทธอุทยาน ที่ทำไว้กับกรมอุทยานฯ ตนก็จะนิมนต์ออกจากพื้นที่ต่อไป
พุทธะอิสระ ลงพื้นที่ facebook live ชี้แจง เล็งเอาผิดคนใส่ร้าย
ขณะที่วันเดียวกัน พุทธะอิสระ ได้ลงพื้นที่ดังกล่าว พร้อม ถ่ายทอดสดผ่าน facebook live ชี้แจง ระบุว่าหลังถูกกล่าวโทษว่ามีการบุกรุกป่า จึงขอพามาดูความจริง ซึ่งหลังจากนี้จะให้ทนายรวบรวมหลักฐานและฟ้องกลับทุกคนที่กล่าวหา ใส่ร้ายตนเองจนเสียหาย โดยพุทธะอิสระยืนยันว่าพื้นที่มีแค่ 300 ไร่ ก่อนจะพาไปดูและระบุว่าพื้นที่ดังกล่าวเมื่อ 3ปีก่อนเป็นเพียงเขาโล่งๆ แต่วันนี้กลับมีต้นไม้จำนวนมาก ส่วนที่ยืนต้นตายเพราะมีคนลอบมาเผา ทั้งยังได้นำอาจารย์ใหญ่ จากโรงเรียนแม่วินสามัคคี ที่มาช่วยตนเองปลูกป่าทุกปี เพื่อยืนยันว่าตนมีเจตนาดี ไม่มีการสร้างสิ่งก่อสร้างใดๆมีแต่ต้นไม้ ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการถือสิทธิ์ครอบครอง เพราะไม่มีการทำประโยชน์อะไร มีแต่ป่า สิ่งที่ตนทำเป็นประโยชน์กับคนไทยทั้งประเทศ คนทั้งโลก
"เป็นพื้นที่โล่งแจ้ง ไม่ใช่ป่าไม้ขออภัยที่พูดออกรายการสปริงนิวส์ของคุณดนัย (เอกมหาสวัสดิ์) ผิดว่าเป็นพื้นที่ป่าสงวน จริงๆ แล้วเขาบอกว่าเป็นพื้นที่โล่งแจ้ง อนุญาตให้ทำพื้ชผลการเกษตรได้" พุทธะอิสระ กล่าว
“จะใส่ร้ายอะไรก็ทำไปเถอะ แต่ช่วยลงชื่อจริงหน่อยแล้วกัน จะได้จัดให้สักดอกสองดอกตามเหตุตามปัจจัย ข้อหานำความเท็จเข้าสู่ระบบ” พุทธะอิสระ กล่าว
ส่วนผู้ที่ถามว่าเป็นพื้นที่ป่าสงวนซื้อคืนได้ด้วยหรือ ขอถามกลับว่าการปลูกป่ามันเสียหายตรงไหน ตนไม่ได้ปลูกโรงแรม การปลูกป่าเป็นประโยชน์คนทั้งชาติ หรือคนถามไม่ใช่คนไทย พระปลูกป่าเสียหายตรงไหน ในสมัยพุทธกาลก็มีพระดูแลป่าไม้ ขอแนะนำให้หายาบำรุงสมอง อย่ากินแต่หญ้า ถ้าผิดจริงขอให้ไปแจ้งความ พระที่รักษาธรรมวินัย ย่อมรักษาและผูกพันกับป่ายกเว้นพระไม่ดีที่พยายามทำป่าให้เป็นเมือง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น