วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2560

'เรืองไกร' ร้อง ป.ป.ช.สอบ ครม.อภิสิทธิ์ ซื้อเรือเหาะ ชี้อาจเข้าข่ายก่อความเสียหายต่อรัฐ


'เรืองไกร' ร้อง ป.ป.ช.สอบ ครม.อภิสิทธิ์ ซื้อเรือเหาะส่อขัดเกณฑ์ใช้งบกลาง ชี้ไม่ได้จำเป็นเร่งด่วน จึงอาจเข้าข่ายก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ ขณะที่ชาวบ้านม่วงสามสิบ อุบลฯ ยื่น สอบทำประชาคมโรงไฟฟ้าขยะชีวมวล ไม่โปร่งใส ส่อจนท.ทุจริต
22 ก.ย. 2560 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ (22 ก.ย.60) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อประธาน ป.ป.ช. ผ่าน สุทธิ บุญมี ผู้อำนวยการสำนักการข่าวและกิจการพิเศษ ขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบคณะรัฐมนตรีสมัย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี กรณีที่ประชุมครม.ในขณะนั้นมีมติอนุมัติให้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2552 งบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อจัดหาระบบเรือเหาะพร้อมกล้องตรวจการณ์กลางวัน/กลางคืน วงเงิน 350 ล้านบาท เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่
เรืองไกร กล่าวว่า การที่ ครม.รัฐบาลอภิสิทธ์ ได้มีมติอนุมัติแนวทางปฏิบัติกรณีการขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ในวันที่ 17 ก.พ.52 ซึ่งมีการกำหนดหลักเกณฑ์ว่าจะต้องเป็นกรณีที่จำเป็นและเร่งด่วนที่จะต้องรีบดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการเท่านั้น ส่วนกรณีที่มีวงเงินเกินกว่า 100 ล้านบาท ให้เสนอ ครม.พิจารณาอนุมัติในหลักการก่อน รวมถึงได้ยกเลิกแนวทางปฏิบัติกรณีการขออนุมัติใช้เงินงบกลาง จากมติ ครม.เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 51 ด้วย ซึ่งต่อมาในการประชุม ครม.ในวันที่ 10 มี.ค.52 ก็มีมติอนุมัติให้ กอ.รมน.เบิกจ่ายงบกลาง เพื่อจัดหาระบบเรือเหาะพร้อมกล้องตรวจการณ์ วงเงิน 350 ล้านบาท โดยอ้างมติ ครม. เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2551 ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ครม.มีมติยกเลิกแนวทางดังกล่าวไปแล้ว 
ดังนั้นการที่ ครม. เมื่อวันที่ 10 มี.ค.มีมติอนุมัติให้ กอ.รมน.เบิกจ่ายงบกลาง เพื่อจัดหาระบบเรือเหาะพร้อมกล้องตรวจการณ์ วงเงิน 350 ล้านบาทจึงอาจจะไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การใช้งบกลางหรือไม่ นอกจากนั้นการที่เรือเหาะใช้การไม่ได้ตามวัตถุประสงค์และมีการยกเลิกไปแล้วนั้น ก็เป็นข้อเท็จจริงว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้จำเป็นเร่งด่วนแต่อย่างใด จึงอาจเข้าข่ายก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐหรือไม่จึงขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ
ขณะที่ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เรื่องเกี่ยวกับเรือเหาะ ป.ป.ช.ชุดที่ผ่านมาเคยวินิจฉัยกรณีถอดถอน สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ไม่ควบคุมดูแลกองทัพบกในการใช้งบประมาณจัดซื้อเรือเหาะอย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งได้ยกคำร้องไปแล้ว แต่ถ้า เรืองไกร มีพยานหลักฐานใหม่ที่ไม่ใช่ประเด็นเดิมที่ ป.ป.ช.เคยมีมติไปแล้ว ก็ต้องพิจารณาว่าอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะนำมาพิจารณาได้หรือไม่ เพราะหากเป็นเรื่องเดียวกัน ตามกฎหมายไม่สามารถดำเนินการได้
 
สำหรับกรณีเรือเหาะตรวจการณ์กลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง เนื่องจากเมื่อวันที่ 14 ก.ย. ที่ผ่านมา พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ระบุว่า เรือเหาะตรวจการณ์รุ่น Aeros 40D S/ N 21 หรือ sky dragon ที่ประจำการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นั้น บอลลูนตอนนี้หมดอายุการใช้งานแล้ว เพราะเป็นผืนผ้า แต่กล้องตรวจการณ์ยังใช้งานได้ ดังนั้นจะต้องมีการปรับรูปแบบการใช้งาน โดยอาจจะนำไปติดอากาศยานแทน ซึ่งทางกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) กำลังดำเนินการอยู่
วันเดียวกัน พัฒนา ส่งเสริม กำนันตำบลหนองช้างใหญ่ พร้อมชาวบ้าน อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี ประมาณ 30 คน ยื่นหนังสือถึง ป.ป.ช. เพื่อร้องเรียนและให้ตรวจสอบการทำประชาคมไม่โปร่งใสของ อบต.หนองช้างใหญ่ อ.ม่วงสามสิบ โดย สุทธิ  เป็นผู้รับหนังสือแทน
พัฒนา ระบุว่า ตามที่อบต.หนองช้างใหญ่และบริษัทเอกชน ได้จัดทำประชาคมกรณีบริษัทเอกชนดังกล่าวจะทำการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล(ขยะ) ในพื้นที่ต.หนองช้างใหญ่ แต่กลับมีการจัดหารถรับส่งชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุให้เข้าร่วมรับฟังคำชี้แจง ที่ล้วนแต่เป็นคำศัพท์ทางวิชาการ ก่อนจะให้รับฟังความคิดเห็นแล้วทำประชาคมว่ารับหรือไม่รับโรงไฟฟ้าชีวมวลดังกล่าว ทั้งนี้ ปรากฎว่ามีการร่วมกันปลอมลายมือชื่อของชาวบ้านที่ไม่ได้เข้าร่วมรับฟังความคิดเห็น เพื่อนำไปเบิกจ่ายงบประมาณในการจัดทำประชาคมครั้งนั้นด้วย

ผบ.ทบ.แจงเลิกใช้เรือเหาะ เทียบซื้อของตามห้าง บางอย่างคิดว่าดี แต่เมื่อใช้จริงอาจไม่ 100%


พล.อ.เฉลิมชัย แจงกรณีเลิกใช้เรือเหาะ ยันคุ้มค่า พร้อมให้ สตง.ตรวจสอบ เทียบซื้อของตามห้าง บางสิ่งบางอย่าง เราคิดว่าดีแล้ว แต่เมื่อมาใช้จริง รายละเอียดการใช้อาจไม่ 100% วอนเห็นใจทหารภาคใต้

 22 ก.ย. 2560 หลังจากเมื่อวันที่ 14 ก.ย. ที่ผ่านมา พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ระบุว่า เรือเหาะตรวจการณ์รุ่น Aeros 40D S/ N 21 หรือ sky dragon ที่ประจำการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นั้น บอลลูนตอนนี้หมดอายุการใช้งานแล้ว เพราะเป็นผืนผ้า แต่กล้องตรวจการณ์ยังใช้งานได้ ดังนั้นจะต้องมีการปรับรูปแบบการใช้งาน โดยอาจจะนำไปติดอากาศยานแทน ซึ่งทางกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) กำลังดำเนินการอยู่นั้น จนต่อมาเกิดกระแสวิพากษ์วิจารย์ พร้อมร้องเรียนให้มีการตรวจสอบการจัดซื้อเรือเหาะดังกล่าวตั้งแต่สมัยรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้น

ล่าสุด วันนี้ (22 ก.ย.60) รายงานข่าวระบุว่า พล.อ.เฉลิมชัย ชี้แจงการยุติการใช้เรือเหาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า ตั้งแต่ปี 2547 สถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะปี 2551-2552 กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้ออกปฏิบัติการจนทำให้มีเจ้าหน้าที่และประชาชนเสียชีวิตจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่จะก่อเกิดเหตุในพื้นที่ขอบเมืองและตัวเมือง กองทัพบกจึงพยายามหามาตรการที่จะดูแลความปลอดภัย จึงได้มีการจัดหาเรือเหาะ ความมุ่งหมายหลัก คือ ดูแล ตรวจการณ์พื้นที่ 3 ตัวเมืองหลัก สนับสนุนปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น ซึ่งการจัดหาเกิดขึ้นในปี 2552 มีการตั้งคณะกรรมการหลายชุดมาพิจารณา แต่หลังจากใช้มาได้ระยะหนึ่ง ก็มีการร้องเรียนให้ตรวจสอบโครงการ ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตรวจสอบและสรุปว่าขั้นตอนการดำเนินการจัดหาเรือเหาะ รวมถึงราคา ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ทั้งนี้เรือเหาะเริ่มใช้งานปี 2553 ซึ่งเป็นยุทโธปกรณ์ใหม่ที่กองทัพ และประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนไม่เคยใช้งานมาก่อน

“ด้วยความเป็นยุทโธปกรณ์ใหม่ ในช่วงแรกอาจจะขลุกขลักอยู่บ้าง ต่อมาก็ใช้งานต่อเนื่อง จนกระทั่งปี 2556 ได้ประสบอุบัติเหตุจากสภาพอากาศ ทำให้ลงฉุกเฉินจนชำรุด แล้วก็ซ่อมจนใช้งานต่อไปได้ในระยะหนึ่ง ในช่วงผมเป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ. ก็ได้ลงไปตรวจสอบการใช้งาน เนื่องจากเห็นว่าสถิติการใช้งานลดลงมาก ก็เลยให้มีการตรวจสอบรายละเอียด ซึ่งพบว่าเกิดปัญหา จึงให้ตั้งคณะกรรมการพิจารณาความคุ้มค่าหากมีการส่งซ่อม ทางคณะกรรมการเห็นว่าตัวผ้าใบบอลลูนชำรุดตามห้วงเวลา ไม่คุ้มค่าต่อการส่งซ่อม จึงดำเนินการจำหน่ายตามขั้นตอน โดยเฉพาะตัวเรือเหาะมีมูลค่า 66 ล้านบาท จากมูลค่าทั้งหมด 340 ล้านบาท โดยผมได้อนุมัติให้จำหน่ายตัวเรือเหาะไปเมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2560” พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว

พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวอีกว่า ในความคิดของตน ถือว่าเรือเหาะมีความคุ้มค่ากับงบประมาณ เพราะหลังจากนำมาใช้ สถิติเหตุการณ์รุนแรงในพื้นที่ของฝ่ายตรงข้ามลดลงเรื่อย ๆ เรือเหาะเป็นยุทโธปกรณ์ด้านการป้องปราม ซึ่งต้องสรุปอีกครั้ง แต่ในส่วนของตนยินดีและพร้อมชี้แจง

ต่อกรณีคำถามถึงเมื่อเกิดปัญหากับเรือเหาะ จะถูกโยงไปถึงเครื่องตรวจหาสารเสพติดและสารระเบิด หรือ จีที 200 ซึ่งถือเป็นตราบาปของกองทัพบก ดังนั้นกองทัพได้บทเรียนอะไรจากการซื้อ 2 โครงการนี้หรือไม่ นั้น พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า คิดว่ากองทัพได้ประสบการณ์ แต่จีที 200 ตนไม่ทัน ไม่ได้ศึกษาในรายละเอียด

“การซื้อยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ก็เหมือนซื้อของตามห้าง บางสิ่งบางอย่าง เราคิดว่าดีแล้ว แต่เมื่อมาใช้จริง รายละเอียดการใช้อาจไม่ 100% แต่ก็สามารถใช้งานได้ในระดับหนึ่ง จึงขอให้เห็นใจเจ้าหน้าที่ และควรมองในหลายมุม อย่ามองเพียงด้านเดียว” พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว

พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวอีกว่า ไม่ได้พูดคุยกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก ในเรื่องนี้เป็นพิเศษ และถือเป็นเรื่องของกองทัพ ไม่ใช่เรื่องตัวบุคคล และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ติดใจเรื่องนี้ ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้ถาม แต่ได้อธิบายที่มาของโครงการนี้แก่ตน ทั้งนี้กองทัพพร้อมให้สำนักงานตรวจงานแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบ และพร้อมชี้แจงถึงกระบวนการจัดซื้อและใช้งานเรือเหาะ

“ขอยืนยันว่าการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ต้องมาจากความต้องการของหน่วย และกองทัพบกก็จะพิจารณาในรายละเอียดตามความจำเป็นและความเหมาะสม สอดคล้องกับแผนงาน ไม่เกี่ยวข้องกับนัยทางการเมือง เช่น การจัดซื้อรถถังจากจีน เพราะรถถังยูเครนประสบปัญหาล่าช้าในการส่งมอบ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น รถถังจีนก็มีประสิทธิภาพ ราคาเหมาะสม เป็นไปตามที่กองทัพบกำหนด” พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว

ขอ สนช.คุ้มครอง ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน อยู่ครบวาระ ย้ำงานมีลักษณะพิเศษ



ประธาน ป.ป.ช. ต้องการให้มีการคุ้มครองให้กรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบันอยู่ครบวาระ ชี้งานของ ป.ป.ช.มีลักษณะพิเศษ ที่ต้องอาศัยคนมีความรู้ มีความชำนาญ รธน.ก่อนหน้าจึงออกแบบให้ดำรงตำแหน่ง 9 ปี
22 ก.ย.2560 รายงานข่าวระบุว่า พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึง การพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จะกำหนดให้ ป.ป.ช.ต้องดำเนินการเรื่องที่มีการร้องเรียนให้แล้วเสร็จ ภายใน 2 ปี ว่า เป็นไปตามกรอบที่ ป.ป.ช.ได้เสนอต่อ กรธ. แต่ต้องมีข้อยกเว้นในบางกรณีให้ขยายเวลาได้ ต้องดูเนื้อหาพยานหลักฐาน   
“หากเคร่งครัดมาเกินไป อาจปฏิบัติได้ยาก เร่งรัดมากเกินไป อาจไม่มีคุณภาพ ส่งผลต่อคดีที่ทำ เพราะเป็นเรื่องที่กระทบสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาด้วย จึงต้องระมัดระวัง แต่ระยะเวลา 2 ปีก็อยู่ในวิสัยน่าจะดำเนินการได้เป็นส่วนใหญ่ มีส่วนน้อยมากที่ต้องขยายเวลา” พล.ต.อ.วัชรพล กล่าว    
พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวถึง การที่  สนช. จะต้องเป็นผู้พิจารณาให้เห็นชอบร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยเฉพาะในประเด็นรีเซตกรรมการ ป.ป.ช. ว่า  ต้องการให้ สนช.เข้าใจว่า งานของ ป.ป.ช.มีลักษณะพิเศษ ที่ต้องอาศัยคนมีความรู้ มีความชำนาญ ประสบการณ์ในการทำหน้าที่ไต่สวน วินิจฉัยคดี เป็นเรื่องที่ต้องการความต่อเนื่อง จึงมีการออกแบบในรัฐธรรมนูญ ทั้ง ปี 50 และ 60 ให้ ป.ป.ช.ดำรงตำแหน่ง 9 ปี อีกทั้ง กรรมการทั้ง 9 คน รับตำแหน่งตามกฎหมายอย่างถูกต้องทุกอย่าง จึงน่าจะได้รับการพิจารณา    
"ขึ้นอยู่กับ สนช. ไม่ว่ากฎหมายออกมาอย่างไร ก็พร้อมปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่กังวลว่าต้องพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ เพราะได้มีโอกาสทำงานให้ประเทศชาติอย่างเต็มที่แล้ว ถ้าต้องพ้นจากตำแหน่งก็ต้องยินดีที่จะรับ แล้วไปทำอย่างอื่นในฐานะคนไทย  ทำคุณให้ชาติในบทบาทอื่น" พล.ต.อ.วัชรพล กล่าว
พล.ต.อ.วัชรพล ยอมรับว่า ต้องการให้มีการคุ้มครองให้กรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบันอยู่ครบวาระ ตามร่างกฎหมายลูกที่ ป.ป.ช.เสนอไปให้ กรธ. เพราะหากต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ ปี 60 อาจ มี ป.ป.ช.ต้องพ้นจากตำแหน่งถึง 7 คน ก็ต้องมีเหตุผลที่อธิบายได้ว่า ให้พ้นเพราะอะไร เนื่องจากในรัฐธรรมนูญกำหนดว่า ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ดังนั้นถ้าเป็นเหตุผลที่เหมาะสมก็รับฟัง

รบ.ยันคุมตัวพระมหาอภิชาติตามความผิดที่ปรากฏ ชี้เข้าข่ายสร้างความแตกแยก

พล.อ.สรรเสริญ แจงรัฐบาลยืนยันควบคุมตัวพระมหาอภิชาติตามความผิดที่ปรากฏ ชี้เข้าข่ายสร้างความแตกแยก วอนสังคมเข้าใจเจตนาและการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ แนะใช้วิจารณญาณในการรับสื่อ
ที่มาภาพ : เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล 
22 ก.ย.2560 จากกรณีข่าว พระมหาอภิชาต ปุณณจนโท ถูกเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนหนึ่ง ได้นิมนต์ ออกจากวัดแห่งหนึ่งที่ อ.ระโนด จ. สงขลา ในเวลากลางวัน โดยนำตัวพระมหาอภิชาต ไปยังค่ายเสนาณรงค์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2560  จากนั้นมีข่าวว่าได้พาตัวมายังกองบังคับการกองปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนต่อมาถูกนำตัวมายังวัดเบญจมบพิตร เพื่อบังคับให้ลาสิกขา ในช่วงเย็นของวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา
ล่าสุดวันนี้  (22 ก.ย.60) เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล รายงานว่า พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีการควบคุมตัวพระมหาอภิชาติว่า การดำเนินการดังกล่าวของเจ้าหน้าที่เป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมตามกฎหมายปกติ เนื่องจากพฤติกรรมที่ผ่านมาของพระมหาอภิชาติเข้าข่ายการดูหมิ่นให้ร้ายเสียดสีศาสนาอื่นตามที่ปรากฏอยู่ในสื่อโซเชียลมีเดียและคลิปต่าง ๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งลุกลามบานปลายและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของบ้านเมืองได้ เพราะเรื่องของศาสนาเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน

“การกระทำของพระมหาอภิชาติได้รับการตักเตือนจากมหาเถรสมาคมและหน่วยงานด้านความมั่นคงมาโดยตลอด เพราะมีการใช้ถ้อยคำที่รุนแรงในเชิงปลุกระดม แต่ยังคงมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องจนสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดความเข้าใจผิดระหว่างศาสนา รัฐบาลจึงอยากให้พี่น้องประชาชนและคณะสงฆ์บางส่วนเข้าใจในเจตนาและการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ที่ยึดหลักกฎหมายและประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ โดยไม่ได้ต้องการให้เกิดผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาหรือพระธรรมวินัยแต่อย่างใด” โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าว

พล.ท สรรเสริญ กล่าวอีกว่า รัฐบาลได้รับรายงานว่าพระมหาอภิชาติได้ลาสิกขาบทแล้ว โดยเป็นความต้องการและความสมัครใจของท่านเอง และนับจากนี้ไปทุกอย่างจะเข้าสู่ขั้นตอนตามกฎหมาย โดยขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร ไม่หลงเชื่อหรือตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือความคิดเห็นทางศาสนาที่แตกต่างกัน

'อนุพงษ์' ระบุอนุมัติ 'กระทิงแดง' เช่าพื้นที่ 'ห้วยเม็ก' ทำตามขั้นตอน




Published on Sun, 2017-09-24 13:20

'พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา' รมว.มหาดไทย ชี้แจงกรณีให้บริษัทในเครือ 'กระทิงแดง' เช่าพื้นที่ 'ห้วยเม็ก' ระบุมีการดำเนินการตามขั้นตอนและทำสัญญาประชาคมแล้ว ชี้เรื่องไม่เกิดถ้าได้รับเรื่องว่าประชาชนในพื้นที่คัดค้านตั้งแต่ขั้นตอนแรก แม้จะมีการคืนพื้นที่แล้วแต่ยังไม่สบายใจเพราะต้องหาข้อเท็จจริงให้ได้เรื่องการคัดค้าน

24 ก.ย. 2560 สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวตอนหนึ่งระหว่างเป็นประธานมอบนโยบาย และแนวทางการปฏิบัติงานตามนโยบายรัฐบาล และภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ประจำปีงบประมาณ 2561 ถึงกรณีที่ได้ลงนามอนุมัติให้ บริษัท เคทีดี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด บริษัทในครือกระทิงแดง ใช้ที่สาธารณะห้วยเม็ก จ.ขอนแก่นว่า พื้นที่สาธารณะใครก็สามารถใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือชาวบ้าน ถ้าขอมาเราก็ต้องให้ ที่ผ่านมาก็เคยมีการขอสร้างโรงเรียน โรงหมอ และเทศบาล แต่เราก็มีเงื่อนไข 5 ปี ถ้าผิดเงื่อนไขก็ต้องเพิกถอนหรือยกเลิกสัญญาได้ ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐหลายหน่วยงานพยายามจะยื่นเรื่องให้ขอเพิกถอนพื้นที่สาธารณะเป็นพื้นที่ราชพัสดุ แต่ในส่วนของพื้นที่ห้วยเม็กยืนยันว่ามีการดำเนินการตามขั้นตอนและทำสัญญาประชาคม ซึ่งการทำสัญญาประชาคมประชาชนในพื้นที่ก็ต้องเห็นด้วย จากนั้นจึงจบสิ้นกระบวนการ และทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็จะไปติดประกาศในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเวลา 30 วัน ถ้าไม่มีประชาชนคัดค้านก็จะส่งเรื่องขึ้นมาในระดับจังหวัดเพื่อสอบถามหน่วยงานต่าง ๆ ว่าได้รับผลกระทบหรือไม่ จากนั้นก็ส่งต่อให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยดำเนินการลงนาม เพราะเป็นพื้นที่สาธารณะที่เกิน 10 ไร่ขึ้นไป จากนั้นตนก็ให้ความเห็นชอบ ซึ่งมันก็น่าจะจบสิ้น

"ผมอนุมัติให้บริษัทเอกชนในพื้นที่สาธารณะได้ แต่ก็มีการโยงเรื่องที่ลูกชายบริษัทหนีคดี สังคมเราก็เป็นแบบนี้ ผมอธิบายสื่ออย่างไร เขาก็พยักหน้าและถามว่าเห็นหนังสือคัดค้านหรือไม่ ผมก็บอกว่าไม่เห็น จากนั้นก็มีสื่อมวลชนอ้างว่าผมไม่ได้รับรายงานเรื่องการคัดค้านของประชาชน ทั้งที่ความเป็นจริงถ้ามีการคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่เกิดขึ้น มันก็จะจบในตั้งแต่ขั้นตอนแรก แต่ก็มีการพยายามเขียนว่าบิ๊กป็อกอ้างไม่ได้รับเรื่องคัดค้านของประชาชน โดยระบุว่าบิ๊กป็อกปัด สิ่งเหล่านี้ผมขอพูดเพื่อเป็นตัวอย่างในการทำงานให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดได้รับทราบ และผมกำลังให้คนไปหาข้อมูลขั้นต้น แต่ต่อมาทางบริษัทดังกล่าวก็ได้ยกเลิกการขอใช้พื้นที่สาธารณะ สื่อมวลชนก็มาถามผมว่าสบายใจหรือไม่ ขอบอกว่ายังไม่สบายใจเพราะต้องหาข้อเท็จจริงให้ได้ที่บอกว่ามีประชาชนคัดค้าน" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว