วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

เลือกพรรค....รักตำรวจ






เลือกพรรค...รักตำรวจ!!!
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

        อน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตั้ง “พรรคไทยรักไทย” ขึ้น แล้วนำพรรคการเมืองสดๆซิงๆ เข้าสู่การเลือกตั้งครั้งแรก เมื่อ
ปี พ.ศ.2544 นั้น ไม่มีใครคาดคิดว่า พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่ โดยอดีตนายตำรวจผู้นี้ จะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง
        ในตอนนั้น พรรคประชาธิปัตย์อยู่ในอำนาจ เป็นรัฐบาล และมีแต้มต้อมากมาย สามารถดำเนินการเตะตัดขานักการเมืองหน้าใหม่อย่างทักษิณฯ ได้ด้วยสารพัดวิธี
        ดังนั้น ก่อนการเลือกตั้ง จึงมีความพยายามที่จะบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของทักษิณฯ ในรูปแบบต่างๆ แต่ผลออกมากลับพลิกความคาดหมาย...
        พรรคของทักษิณ...ชนะขาด!         พรรคเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์ แต่ดันดักดานและตีบตันในทางความคิด บริหารประเทศไม่เข้าท่าในสายตาประชาชน
ต้องตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปในที่สุด
        นั่นเป็นความปราชัยของพรรคโลซก ซึ่งในเวลานั้นมีนาย
ชวน หลีกภัย เป็นหัวหน้าพรรค ต่อผู้ชายที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นครั้งแรก
        ทักษิณฯบริหารประเทศชาติได้ดีเด่น อย่างไม่เคยมีผู้นำคนไหนของชาติ ที่ทำได้ดีขนาดนั้นมาก่อน ผลงานที่เขาฝากไว้ตรึงติดใจผู้คน เช่น
        - หนี้สินประเทศ ถูกชำระก่อนกำหนด
        - ชาวไทยที่มีรายได้น้อย ลืมตาอ้าปากได้ สามารถเข้าถึงแหล่งทุน ที่ทักษิณจัดลงไปถึงระดับหมู่บ้าน
        - คนไทยสามารถเข้าถึง การรักษาพยาบาลได้เสมอกันอย่างถ้วนหน้า  
        - เศรษฐกิจมีความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง และไทยไทยกลายเป็นผู้นำในอาเซียน ที่มีศักดิ์ศรีและเป็นที่ชื่นชม ในเวทีระหว่างประเทศ
        ฯลฯ
        เมื่อนายกรัฐมนตรี ที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” บริหารบ้านเมืองมาจนครบ 4 ปี มีการเลือกตั้งตามกำหนดระยะเวลา ที่วางกันไว้ในรัฐธรรมนูญ
        ารเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งมีขึ้นเมื่อ พ.ศ.2548 เป็นการปะทะกันระหว่างทักษิณ กับ พรรคประชาธิปัตย์ ครั้งที่ 2 นั้น
        หัวหน้าพรรคคนใหม่ของพรรคดักดาน ชื่อ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน          เขาประกาศชูนโยบาย ‘เลิกหวยบนดิน’ สู้กับนโยบาย
‘หวยบนดิน’ ของทักษิณโดยหวังว่า จะมีผู้คนให้การสนับสนุน
แต่เหมือนมีลางร้าย!
content/picdata/293/data/photo1.jpg
        นางธรณีที่เป็นรูปสักการะ ประจำพรรคประชาธิเปรต ซึ่งไปจัดทำมาใหม่และกำลังติดตั้งในที่ทำการพรรค
        ตกลงจากฐาน...หักสองท่อน!!        หัวหน้าพรรคต้องยืนหน้าเศร้า อย่างที่เห็นในภาพ!!!
        แล้วลางร้ายก็เป็นจริง เพราะผลการเลือกตั้งครั้งนั้น ทักษิณฯควบม้าชื่อ “ไทยรักไทย” นำโด่งๆเข้าป้ายไปแล้ว ส่วนนายบัญญัติฯ ควบม้าขาเกชื่อ “ประชาธิปัตย์” วิ่งกะโผลกกะเผลก ตามดมกลิ่นตูดม้าของทักษิณฯ...
        โน่นนนนนนนน...อยู่ไกลเลยโค้งวัดเบญจฯ ด้วยซ้ำไป!        ทักษิณฯสามารถจัดตั้ง “รัฐบาลเสียงข้างมาก” เพียงพรรคเดียวได้สำเร็จ ซึ่งต้องจารึกเป็นประวัติศาสตร์ ทางการเมืองของไทยที่พรรคไทยรักไทยเพียงพรรคเดียว สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นเหลือเฟือ
        พรรคประชาธิเปรตต้องอกหัก เป็นครั้งที่ 2 นายบัญญัติ ผู้แทบจะแบนแต๊ดแต๋ จากความพ่ายแพ้ที่แสนอัปยศ ต้องลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคไปอย่างขมขื่น
        ช่วงนี้เอง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งผมให้ฉายาว่า “นายมาร์ค มุกควาย” ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคแทน
        ต่อมาปี พ.ศ.2549 ทักษิณยุบสภา ท่ามกลางการออกมาป่วนเมืองของพันธมาร พรรคประชาธิเปรตกับพรรคการเมืองอื่น ไม่เข้าร่วมการเลือกตั้ง แต่เมื่ออุปสรรคผ่านไป พรรคต่างๆกลับมาสู่การเลือกตั้งอีกครั้ง
        พรรคประชาธิเปรตยิงสปอตโฆษณา ทางโทรทัศน์และสื่อวิทยุแล้วอย่างถี่ยิบ ชูตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่ คือนายมาร์ค
มุกควาย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี โดยหวังฟลุคได้ชัยชนะ แต่...
        ไอ้บัง กบฏ...กลับนำทหาร เข้ายึดอำนาจเสียก่อน!        ประชาธิปไตยของประเทศ ต้องสะดุดหยุดลง!!
        หลังจากนั้น รัฐบาลของนายกฯสุรยุทธ ณ เขายายเที่ยง ที่เข้ามาขัดตาทัพ บริหารบ้านเมืองแบบโซซัดโซเซ ต่อไปอีก
1 ปี ท่ามกลางความอึดอัด และเสียงก่นด่าของพี่น้องประชาชน
        หลังจากการร่าง “รัดทำมะนวย ฉบับหัวคูณ” ที่แสนอัปลักษณ์ เพราะทั้งเอาเปรียบ และกีดกันทักษิณและพรรคพวกอย่างสุดๆ เสร็จสิ้นเรียบร้อย
        มีการเลือกตั้งอีกครั้ง!
        คราวนี้ทักษิณต้องอยู่นอกประเทศ และพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบ กลายเป็นพรรค “พลังประชาชน” มี “สมัคร สุนทรเวช” เข้ามาถือธงนำพรรค แทนนายกทักษิณฯ ลงดวลกับประชาธิเปรตอีกครั้งในสนามการเลือกตั้ง
        ทั้งๆที่ตกอยู่ในสภาพความกดดัน จากอำนาจอัปรีย์ผีบ้าที่
ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังการเมืองไทย แต่...
        ...บารมีของทักษิณ...ยังเพียบ!!        ท่านสมัคร สุนทรเวช สามารถนำพรรคพลังประชาชน ฝ่า
ทั้งด่านกีดกันของทหาร คมช. และทะลวงอำนาจที่ไม่ชอบธรรมทั้งหลาย จนสามารถเอาชนะพรรคเก่าแก่ดักดาน ที่มีนายมาร์ค มุกควาย เป็นหัวหน้าพรรค ได้อีกครั้ง!!!
        สรุป รวมความพ่ายแพ้ของพรรคโลซก ต่อคนชื่อทักษิณฯ เกิดขึ้นกับหัวหน้าพรรคประชาธิเปรต ไม่ว่าจะเป็นคนที่ชื่อ...
        ชวน หลีกภัย บัญญัติ บรรทัดฐาน และ อภิแสบ เวชชาชีวะ!         หัวหน้าพรรคทั้ง 3 คน ของพรรคเก่าดักดาน พ่ายแพ้ติดต่อกันถึง 3 ครั้งสามครา หรือภาษากีฬาเรียกว่า Hat Trick
จนมีผู้คนพูดจา เยาะเย้ยถากถางพรรคดักดานว่า
        “เอาชนะทักษิณ ให้ได้สักครั้งเถอะวะ...ประชาธิเปรต!!!”
        ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ        อยากจะพาท่านย้อนกลับไป ก่อนที่จะมีการยึดอำนาจ พ.ศ.2549 ระหว่างที่กลองศึกเลือกตั้ง กำลังรัวกระหึ่มนั้น...
        ผมได้เขียนบทความที่ทำนายผลการเลือกตั้ง ในคอลัมน์ประจำของตัวเอง ที่ผู้จัดการออนไลน์ เมื่อ 22 สิงหาคม 2549 (แต่การเลือกตั้งครั้งนั้น ไม่เกิดขึ้น เพราะไอ้บัง กบฏ เข้ายึดอำนาจเสียก่อน!) อยากให้ท่านผู้อ่านลองคลิกเข้าไปดูกัน
        ชื่อบทความนั้น ชื่อ
        “อภิสิทธิ์...จะพาพรรคประชาธิปัตย์...แพ้แหงๆ!!!”(http://www.manager.co.th/Columnist/ViewNews.aspx?NewsID=9490000106727)
        ผมตรวจดูบทความดังกล่าวแล้ว เห็นว่าแม้เวลาจะผ่านไปนานถึง 5 ปี แต่พรรคประชาธิเปรต ก็ยังย่ำเท้าอยู่กับที่ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง หรือคิดอะไรใหม่ๆ ให้งอกเงยขึ้นมาเลย
        เช่น เรื่องนโยบาย ผมเขียนเอาไว้ว่า
        ตอนนี้เสียงปี่กลองการเลือกตั้งกำลังดังขึ้น แม้ยังไม่ถึงจังหวะเชิด เพื่อให้เร่งออกอาวุธเข้าสัประยุทธ์กัน เหมือนตอนนาทีสุดท้าย ในยกที่ห้าของการชกมวย แต่ผู้คนก็ได้เห็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมายิงสปอตโฆษณาแบบรัวอุตลุด เพื่อขึ้นราคาตัวเองทางโทรทัศน์ แต่ครั้นถึงตอนแถลงนโยบายเข้าเท่านั้น
        ไม่น่าเชื่อว่า
     
        สื่อมวลชนแทบทุกฉบับ รวมทั้งบรรดานักวิชาการทั้งหลาย ต่างพากันร้องประสานเสียง อย่างพร้อมเรียงกันว่า นโยบายที่ประกาศออกมานั้น นอกจากไม่มีอะไรใหม่พอที่จะดึงดูดใจผู้คนได้แล้ว กลับยังโดนตั้งข้อกังขา และถูกสับจนเละเทะว่า     
        ไม่มีปัญญาหรือไง?...
        ดันไปลอกเอามา จากคู่แข่งเขาเสียอีก!
        ได้เป็นรัฐบาลแล้ว ประชาธิเปรตก็ “ลอกนโยบาย” อย่างเมื่อ 5 ปี ที่แล้ว แม้มาถึง พ.ศ.นี้ นายกทักษิณฯ กำลังประกาศนโยบายใหม่ออกมา ให้กับพรรคเพื่อไทย ฝ่ายพรรคดักดานก็เตรียมพร้อม
        ตั้งหน้าตั้งตา...จะลอกเขาอีกนั่นแหละ!        นอกจากเรื่องลอกนโยบายแล้ว พรรคดักดานเคยพูดเรื่องปฏิรูปตำรวจ จนบัดนี้ บุญพาวาสนาส่ง ได้เป็นรัฐบาลแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้ตำรวจดีขึ้น ในบทความที่อ้างถึง ผมเขียนเอาไว้ว่า
        ผมไม่ได้ให้ความสนใจที่จะวิพากษ์วิจารณ์ นโยบายแบบ copycat ของนายมาร์ค แต่ที่สะดุดหูคนเขียนหน่อยก็คือ ตัวนายอภิสิทธิ์ยืนยันชัดเจนว่า
        จะปฏิรูปตำรวจ 
        ตอนได้ยินก็ยังไม่ได้คิดจะวิพากษ์วิจารณ์อะไร เพราะคิดว่าคนเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คงพูดเรื่อยเฉื่อยของแกไปแบบกลอนพาไป แต่พอได้มาอ่าน นสพ.มติชนรายวัน ฉบับวันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม 2549 เขาพาดหัวรองว่า     
        “ทีมสอบป่ายูคาฯฉาว โร่แจ้ง ตร.ปากเกร็ดอ้างถูกคนร้ายตามยิง”     
        มีการโปรยข่าวต่อดังนี้
     
        “...อลงกรณ์ ‘จี้’ พนักงานสอบสวนทำตรงไปตรงมา ข้องใจยงยุทธไม่ยอมไปแจ้งความ เอาผิดคนลงโทษ ขู่เป็นรัฐบาลสังคายนากระบวนการสอบสวนตำรวจ...”     
        นอกจากนั้นเนื้อในของข่าว ยังบรรยายรายละเอียดต่ออีกว่า     
        นายอลงกรณ์กล่าวว่า ถ้าพรรคได้กลับมาเป็นรัฐบาล พรรคจะปฏิรูปการสอบสวนครั้งใหญ่ โดยต้องการให้ตำรวจ และพนักงานสอบสวนทุกระดับ ปฏิบัติงานอย่างตรงไปตรงมา เพราะถือเป็นต้นน้ำกระบวนการยุติธรรม ความเป็นธรรมจะเกิดขึ้นหรือไม่ ประสิทธิภาพของกฎหมายจะเด็ดขาดเที่ยงตรงหรือไม่ ต้องเริ่มจากพนักงานสอบสวน....     
        พอเห็นเข้าอย่างนี้ ก็อยากจะบอกว่า รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์นั้น มีโอกาสเข้ามาบริหารบ้านเมืองมาก็หลายครั้งหลายหน ไม่เคยเห็นมีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับตำรวจอย่างเป็นชิ้นเป็นอันที่เป็นสาระ พอจดจำกันได้เลย
        ตรงกันข้ามหลัง จากที่พรรคประชาธิปัตย์หลุดจากการบริหารประเทศไปแล้ว 
        กลับทะลึ่งออกมาพูดวิพากษ์วิจารณ์ การปฏิบัติงานของตำรวจ ในลักษณะคั่งแค้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อย่างจะเอาเป็นเอาตาย...
        ในบทความดังกล่าว ผมได้บรรยายถึงการแสดงออกของพรรคประชาธิเปรต ซึ่งแสดงท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์ ต่อสถาบันตำรวจ อย่างเห็นได้ชัด และท่าทีอย่างนี้ ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย ในบทความผมยังเล่าต่อไป ถึงท่าทีของสมาชิกพรรคนี้ ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหา พิมพ์สติ๊กเกอร์หาเสียง มีข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ว่า
        นี่ยังไม่พูดถึงกรณีคุณหญิง กัลยา โสภณพานิช ที่ต้องพลัดตกวิบาก แล้วออกอาการไม่พอใจ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำการสอบสวนในคดีที่ตนถูกกล่าวหา ซึ่งไม่อยากจะกล่าวให้กระเทือนซางกันอีก แต่ถ้าใครอยากรู้ลองเปิดเข้าไปดูใน กาแฟขม ขนมหวานตอน ตอนที่ 175 “ โถ...คุณหญิง !” (http://www.manager.co.th/Columnist/ViewNews.aspx?NewsID=9480000043072        ฉะนั้น หากเป็นคนในพรรคประชาธิปัตย์ ก็ย่อมมีเหตุผลที่จะไม่พอใจตำรวจ แต่เรื่องที่ทั้งนายอภิสิทธิ์หัวหน้าก๊ก และลูกหาบอย่างนายอลงกรณ์ ได้ออกมาแสดงท่าทีไม่ ชอบใจตำรวจ ผมก็ขอบอกว่า...         การที่พรรคการเมืองเก่ากะลา อย่างประชาธิปัตย์ แสดงออกด้วยท่าทีชัดเจนขนาดนี้ ตำรวจก็มีสิทธิ แสดงความไม่พอใจพรรคประชาธิปัตย์ ในองศาเดียวกันได้
        ไม่เห็นจะ ‘ผิดกติกา’ ตรงไหน!
        บอกให้รู้กันชัดๆเลยว่า ‘ตำรวจดี-ที่ไม่กลัวนักการเมือง’ นั้นมีอยู่มาก ที่รู้ไส้รู้สันดานนักการเมืองก็มีเยอะแยะ เพราะต้องรับผิดชอบในด้านการข่าว การติดตามพฤติกรรมคนในวงการเมือง ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงมายาวนานค่อนศตวรรษ ย่อมรู้ดีว่า     
        นักการเมืองคนไหนมีพฤติกรรมอย่างไร? หมกความเลว เหลวแหลก แสนโสโครกเอาไว้ที่ไหนบ้าง? มีเมียน้อยที่ไหน? แอบไปซื้อตอนโดให้สาวขื่ออะไร? มีบัญชีหลบเมียอยู่ที่ธนาคารใด? หรือชอบเตะต่อยซ้อมเมียเป็นอาจินต์ หรือมีความวิปริตทางเพศผิดมนุษย์ฯลฯ...     
        ...อย่างนี้...รับรองว่าตำรวจรู้แน่ 
        บทความดังกล่าว ผมได้ถลกหนังพรรคประชาธิเปรต เกี่ยวกับการเป็นปฏิปักษ์กับตำรวจ ให้เห็นกันอย่างชัดเจน!
        ผมขอให้ตำรวจทั้งหลาย พึงระลึกว่า...
        ยามพรรคประชาธิเปรตมันมีอำนาจ ตัวอย่างชัดๆก็อย่าง
นายสนั่น กระจอกเทศหนังกลับ ครั้งเป็นเลขาธิการของพรรคประชาธิเปรตนี้ และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยด้วย สั่งการให้ดำเนินคดีแบบเอาเป็นเอาตาย กับตำรวจที่วิสามัญฆาตกรรม
“โจ ด้านช่าง” หัวหน้าแก๊งยาเสพติดรายใหญ่ ของจังหวัดสุพรรณบุรี แต่...
        ผลกรรมกลับไปสนองนายสนั่น กระจอกเทศหนังกลับ มีอันต้องหลุดออกจากตำแหน่ง เพราะแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ หายไปจากวงการเมืองถึง 5 ปีเต็มๆ
        ตำรวจที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ ต้องต่อสู้คดีอยู่หลายปี และในที่สุด ศาลก็ยกฟ้องหมด แต่ตำรวจที่ทำตามหน้าที่ บางคนต้องให้ภริยาที่เป็นแม่ค้าขายของในตลาดสุพรรณ เอาที่ทางไปจำนำจำนอง หมดเงินสู้คดีไปกว่าล้านบาท
        หนี้สินรุงรัง...กันไปเลย!        นี่ผมไม่ได้นั่งเทียนเขียน แต่ที่พูดอย่างนี้ได้ เพราะคุยกับตำรวจ ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ มาหมดทุกคนแล้ว!!
        ความไม่ใส่ใจในเรื่องการปราบปรามยาเสพติด ของรัฐบาลกาลี ที่มีประชาธิเปรตเป็นแกนนำ ทำให้จำนวนเด็กปักษ์ใต้ติดยาเสพติด เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล จนดินแดนด้ามขวานไทยจะกลายเป็นเมืองยาเสพติดไปหมด อาชญากรรมเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย จนผู้คนให้สมญาว่า
        “ปักษ์ใต้...แดนโจร”        รัฐบาลกาลีเพิ่งงัวเงีย เพราะโจรติดยาจากเมืองใต้ บุกขึ้นมาอาละวาดถึงเมืองหลวง เมายาไล่ฆ่าตำรวจและผู้คน ยิงหมอที่เพิ่งจบบาดเจ็บปางตาย หนังสือพิมพ์และชาวบ้านต่างรุมประณามรัฐบาลอัปรีย์ ว่า
        ไม่สามารถแก้ปัญหา อะไรได้เลย! (เอาแต่...แดกลูกเดียว!!)         นายมาร์ค มุกควาย ทนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ไหว เลยทำทีเชิญหน่วยงานความมั่นคง มี ผบ.ทบ. ผบ.ตร. และเลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นอาทิ  หารือด่วนเกี่ยวกับการปราบปรามยาเสพติด ที่ห้องรับรองนายกรัฐมนตรี อาคารรัฐสภา เมื่ออังคาร 19 เมษายน นี้เอง
        ปัญหายาเสพติดนั้นใหญ่โต และส่งผลร้ายกับประเทศ ทักษิณฯถือเป็น “วาระแห่งชาติ” เปิดฉากลุยแหลก จนยาเสพติดแทบจะเหี้ยนจากแผ่นดินไทย แต่...
        รัฐบาลกาลีของนายมาร์ค มุกควาย ปล่อยให้ยาเสพครองเมือง เยาวชนไทยจำนวนมากมาย ต้องตกเป็นทาสยานรก มันเพิ่งมาทำทีเอาใจใส่กัน ก่อนจะหมดสมัย ของรัฐบาลอัปรีย์นี้เอง
        ทุเรศ...ฉิบหาย!
        วรกรรมที่พรรคประชาธิเปรต ก่อไว้กับตำรวจยังไม่หมดแค่นั้น จะขอเล่าต่อไปอีก กล่าวคือ
        ตำรวจเราต้องจำเหตุการณ์ การสลายการชุมนุมในการปิดล้อมรัฐสภาของพันธมาร ร่วมกับสมาชิกพรรคประชาธิเปรต และภาพของตำรวจ ที่ต้องลงไปดิ้นพราดๆกลางถนน
content/picdata/293/data/photo2.jpg
        โดยมีไอ้จังไร มันขับรถทันทารุณ อย่างภาพที่เห็น!        นายมาร์ค มุกควาย ผู้ร่วมขบวนการกับพันธมาร ได้เข้าร้องทุกข์ ป.ป.ช. ให้ดำเนินคดีกับผู้บังคับบัญชาของตำรวจในขณะนั้น มี ผบ.ตร.และนายตำรวจผู้ใหญ่คนอื่น
        แม้นายตำรวจที่ถูกกล่าวหา จะกลับเข้ารับราชการได้แล้ว แต่นายมาร์ค มุกควาย ยังไม่ลงนามในคำสั่ง ให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ กลับเข้าสู่ระบบราชการ เพราะ...        กลัวพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ...ฟ้องเอา!
        ผมจึงขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องไม่ลืมสิ่งที่พรรคดักดานที่ก่อเวรไว้กับตำรวจ
        พวกเรา...ต้องจำกันให้มั่น!         ขณะนี้ ใกล้จะมีการเลือกตั้งอีกครั้งแล้ว รัฐบาลโลซกทั้งพรรคประชาธิเปรต และพรรคยี้ห้อยร้อยยี่สิบ กลับลำมาพยายามเอาใจตำรวจ โดยมีการเกณฑ์ตำรวจหลายระดับ ไปประชุมที่รัฐสภา พยายามซื้อใจตำรวจ โดยเพิ่มเงินทองค่าปฏิบัติงานในด้านต่างๆให้กับตำรวจ พูดง่ายๆก็คือพรรคการเมืองโลซกพรรค์นี้ มีความพยายามที่จะ...
        ซื้อตำรวจ...ให้เข้าไปพวกตัว นั่นเอง!        เหตุที่มีความพยายามกันแบบนี้ ก็พรรคของนายมาร์ค
มุกควาย เคยได้รับบทเรียนที่เจ็บแสบมาแล้ว เมื่อมีการย้ายผู้บังคับการตำรวจ จ.ภูเก็ต แล้วมีผู้บังคับการคนใหม่ไปดำรงตำแหน่งแทน ในยุครัฐบาลท่านสมัคร
        นางอัญชลี วานิชเทพบุตร เจ้าของตำแหน่งเดิม ต้องพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งชิงตำแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด!
        สอบตกทันที!!        การเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาธิเปรตเลย...กลัวแพ้สุดๆ!!!
        นอกจากนั้น ในการเลือกตั้งคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ
ที่รู้จักกันในชื่อ ก.ตร. เมื่อมกราคมที่ผ่านมา
        ปรากฏว่า...
        นายตำรวจที่เติบโตมาทางปักษ์ใต้ มีพรรคประชาธิเปรตสนับสนุนอย่างออกหน้าออกตา ถึงขนาดนักการเมืองใหญ่ตั้งหัวคะแนนหาเสียงกัน อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่กลับพ่ายแพ้ย่อยยับแบบกระจุยกระจาย ให้กับนายตำรวจที่นายกทักษิณฯ ได้ให้ความเคารพนับถือ ชนิดคะแนนทิ้งกันห่างกัน ถึงสองสามเท่าตัว
        ก.ตร.ที่ได้รับการเลือกตั้งชุดใหม่ ก็ล้วนแต่เป็นครูบาอาจารย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณฯแทบทั้งหมด        หนังสือพิมพ์ที่เชียร์พรรคดักดาน กล่าวหาว่า ก.ตร.ที่ได้รับการเลือกตั้ง เป็น
        “ก.ตร. มะเขือเทศ”         นี่เอง ที่พรรคดักดานและพรรคร่วมรัฐบาลโลซก ออกอาการขนหัวลุก เกรงว่า ก.ตร. ชุดใหม่ จะโน้มน้าวให้ตำรวจ เลือกพรรคตรงข้ามรัฐบาล
        ด้วยเหตุนี้เอง ภาพการเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาประชุม เพื่อเอาอกเอาใจที่รัฐสภา จึงเกิดขึ้นอย่างที่ได้เห็นกันแล้ว
        ผมเชื่อมั่นว่า
        การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่กำลังจะมีขึ้นนี้ นอกจากตำรวจไทย จะร่วมใจกัน ไม่เลือกประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลกาลีแล้ว ก็ขอให้เพื่อนข้าราชการตำรวจทั้งหลาย ชักชวนชาวบ้านในท้องถิ่น ที่เป็นมิตรกับพวกเรา ให้หอบลูกจูงเมีย ไปใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียง อย่างที่พวกท่านทั้งหลาย ได้เคยทำมาแล้ว โดยพร้อมเพรียงกัน
        ชูคำขวัญว่า
        เลือกพรรค...รักตำรวจ!!!
....................
        (***บทความประจำสัปดาห์ ตอน  เลือกพรรคที่รัก...ตำรวจ!!! ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 23 เมษายน 2554) 


http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น