วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

คนใต้ไม่ใช่โขมย นะเว้ยเฮ้ย





คนใต้ไม่ใช่ขโมย!!!
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

        ม้เหตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่น คร่าชีวิตผู้คนไปนับหมื่น สูญหายอีกเป็นจำนวนมาก บ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างพังพินาศมากมายแล้ว และก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งกำลังจะหมดอายุการใช้งาน จนสร้างความหวาดกลัวมหันตภัย จากพิษสงของกัมมันตภาพรังสีที่รั่วไหล ให้กับคนญี่ปุ่นเป็นอย่างยิ่ง
        ชาวโลกพลอยวิตกกังวล ต่อสถานการณ์นี้อย่างยิ่ง เพราะขนาดญี่ปุ่นชาติที่มีความเจริญก้าวหน้าในทางวิทยาการ มีการเตรียมเผชิญเหตุร้ายเป็นอย่างดี ยังต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากสาหัสถึงเพียงนี้
        จึงเสมือนเป็นการส่งสัญญาณแรง ไปยังชาติต่างๆ แต่ถึงกระนั้น ในความวิบัติครั้งนี้ ยังมีสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นระหว่างความทุกข์ยาก นั่นก็คือ
        คนญี่ปุ่นได้แสดงให้โลกประจักษ์ ถึงความเยือกเย็นในการเข้าเผชิญเหตุร้าย พลเมืองของเขาสามารถรับมือได้ โดยไม่ตื่นตระหนก พวกเขายึดมั่นอยู่ในระเบียบวินัย และความรักชาติอย่างเยี่ยมยอด ชนิดที่โลกต้องพิศวง แต่หากใครได้ศึกษาเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นมาพอสมควร จะสามารถเข้าใจและเห็นได้ชัดว่า
        ศาสนาชินโตและลัทธิบูชิโด และพุทธศาสนานิกายเซน ที่แทรกซึมอยู่ในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมญี่ปุ่นมายาวนาน  ได้ปลูกฝังความรักชาติ เกียรติ และวินัย จนพลเมืองของเขาซึมซับสิ่งเหล่านี้ จนกลายเป็นวิถีชีวิตไปแล้ว
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากที่คนในชาติอื่นๆ ที่มีการดำเนินชีวิตศรัทธาและความเชื่อที่แตกต่าง จะปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อชาติ และส่วนรวมได้อย่างคนสายเลือดซามูไร
        ผมเองเคยได้รับการศึกษาในญี่ปุ่น จึงสนใจศึกษาในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมญี่ปุ่น เมื่อมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับคนประเทศนี้ ก็พยายามติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด
        บังเอิญได้อ่านเรื่องคนไทย เขียนถึงคนในครอบครัว ซึ่งเป็นคนญี่ปุ่น เอาไว้ในเว็บไซด์ อดไม่ได้ที่ต้องนำมาถ่ายทอดให้ท่านผู้อ่านฟัง เพราะเห็นว่าน่ารักมาก
        เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ
        คุณผู้หญิงท่านหนึ่ง มีพี่ชายที่แต่งงานกับสตรีญี่ปุ่น และพี่สะใภ้ของเธอได้หอบลูกสามคน กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่เมืองคานากาว่า ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของโตเกียว และได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว และคลื่นยักษ์สึนามิครั้งนี้ด้วย
        พี่สะใภ้ชาวอาทิตย์อุทัย ได้แจ้งข่าวกลับมาว่า เธอและลูกๆปลอดภัยดี แต่ปัญหาก็คือ
        การเดินทางกลับไทย จะต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวขนส่งเด็กๆและสัมภาระจำนวนมาก รถยนต์ส่วนตัวมีอยู่ แต่ไม่มีน้ำมันให้เติม เพราะสถานีบริการ หรือปั๊มน้ำมัน ได้รับความเสียหายหนัก
        ปิดบริการหมด!        สามีของเธอ จึงแนะวิธีหาทางออก(แบบไทยๆ) ด้วยการไปสูบน้ำมันจากรถยนต์คันอื่น ที่เสียหายจากพายุมาใส่ในรถตัวเอง
        คำตอบที่ได้รับจากผู้เป็นภริยาชาวญี่ปุ่น ทำเอาผู้เป็นสามีต้องหน้าหงาย อายม้วนไปหลายตลบ เพราะเธอตอบกลับมาว่า
        "ไม่ได้หรอก น้ำมันนั่นไม่ใช่ของเรา!"        สามีกลัวภริยาและลูกๆจะกลับไม่ได้ ก็กลั้นใจคะยั้นคะยออีกรอบ แต่เธอยังคงยืนกรานเสียงแข็งว่า
        “เราทำอย่างนั้นไม่ได้ รถทุกคันมีเจ้าของ ถึงเวลาแล้วเจ้าของจะต้องกลับมาเอารถกลับ ซึ่งต้องใช้น้ำมันเช่นกัน ผู้เป็นเขาคงจะต้องเดือดร้อนแน่ๆ"        ผู้สามีชาวไทยถึงกับอึ้งกิมกี่ และเลิกความคิดที่จะคะยั้นคะยอ แม่ของลูกสายเลือดซามูไรต่อไป อย่างเด็ดขาด
        ปรากฏว่า
        ภริยาชาวญี่ปุ่นตัดสินใจเดินทางกลับ โดยหอบลูกน้อยสามคน พร้อมสัมภาระพะรุงพะรัง ขึ้นรถโดยสารประจำทาง ไปถึงสนามบินได้ ด้วยความทรหดอดทน แต่ก็คงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ที่ได้กระทำตามหน้าที่ของ...        “นิฮอนจิง” หรือ “ชาวญี่ปุ่น” ได้อย่างครบถ้วน!        ต้องขอขอบคุณ สำหรับการนำเรื่องราวดีๆมาเปิดเผย ทำให้คนไทยเราได้ตระหนักความ ‘รักเกียรติ’ ของชนชาตินี้ ซึ่งไม่ยอมเบียดเบียนเพื่อนร่วมชาติ เพราะจิตสำนึกที่ถูกปลูกฝังมาเป็นอย่างดี ทำให้สะใภ้ญี่ปุ่น คำนึงถึงบุคคลอื่นที่อยู่ร่วมชาติก่อนเสมอ แม้ในยามที่ตัวเอง ได้รับความทุกข์ก็ตาม
        ได้ชื่นชมกับความงดงาม ในจิตใจของชาวญี่ปุ่นแล้ว คราวนี้กลับมาดูในบ้านเราบ้าง

        ที่บ้านเราก็มีข่าวเกี่ยวกับคนญี่ปุ่น แต่กลับเป็นเรื่องน่าหดหู่ เพราะหนังสือพิมพ์ลงข่าวน่าสลด เกี่ยวกับธุรกิจของชาวญี่ปุ่น ที่เข้ามาลงทุนทำมาหากินในสยามประเทศ โดยประกอบกิจการโรงงานยาง ตั้งอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งประสบปัญหาน้ำท่วมใหญ่ ตั้งแต่ปลายเดือน มี.ค.2554 ด้วย
        น้ำสูงขนาดท่วมรั้วโรงงาน ทำให้ยางที่แพ๊คเป็นก้อนเก็บไว้ในโกดัง หลุดจากพื้นที่เก็บ ลอยตามกระแสน้ำ ข้ามกำแพงและหลุดออกจากนอกเขตโรงงานไป
        มีชาวบ้านสุราษฎร์แถวๆรอบโรงงาน เก็บก้อนยางเอาไว้ได้ แต่เมื่อเจ้าของโรงงานชาวญี่ปุ่นไปขอคืน คนที่เก็บได้กลับไม่ยอมคืนให้ บอกว่า ต้องเอาเงินมาเป็น
        “ค่าไถ่”         มิหนำซ้ำคนที่เก็บได้บางคน แย่ยิ่งไปกว่านั้น คือ นำเอายางก้อนที่ไม่ใช่ของตน ไปขายต่อราคาถูกๆอีก จากก้อนละ 5 พัน ไปขายแค่ 350 บาท ทั้งๆที่รู้ดีว่ายางที่เก็บได้ เจ้าของเป็นใคร เรื่องนี้หากรู้ไปถึงต่างประเทศ ลองตรองกันดูว่า        พวกเขาจะดูถูก...คนไทยแค่ไหน!?

        ใช่แต่เรื่องยางลอยน้ำเท่านั้น ที่ทำให้เรื่องนิสัยของคนใต้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากมายจากสื่อต่างๆ โดยเฉพาะในโลกอินเตอร์เนต เพราะอีกยังมีเรื่องมากระแทกซ้ำเข้าอีกดอก
        นั่นคือ
        ระหว่างที่น้ำกำลังท่วมใหญ่ที่ปักษ์ใต้ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2554 บริเวณถนนสายเอเชีย ท้องที่หมู่ที่ 6 ตำบลนาโหนด อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง ซึ่งฝนตกหนักมาหลายวัน เป็นเหตุให้ถนนลื่นจนมีอุบัติเหตุ

content/picdata/291/data/photo1.jpg
        รถบรรทุกขนปลามาเต็ม พลิกคว่ำลงข้างทาง แม้ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่ทำให้ปลาที่บรรทุกมาหล่นกระจายเกลื่อน ซึ่งชาวบ้านที่อาศัยอยู่ละแวกนั้น รวมถึงที่สัญจรผ่านไปผ่านมา ต่างหอบหิ้วถุงพลาสติก ถังน้ำ และกระสอบ (อย่างภาพที่เห็น)
        มาขนปลาไป...จนหมดเกลี้ยง!        น่าสงสารเจ้าของรถ ที่ชื่อนายน้อย ไม่ทราบนามสกุลเจ้าของรถ ได้แต่ยืนมองตาปริบๆไม่สามารถทำอะไรได้ ตำรวจก็ช่วยอะไรไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ห้ามปรามแล้วก็ไม่มีผู้ใดเชื่อ กลับ...
        ยื้อแย่งปลากัน ให้จ้าละหวั่น!!!        นายน้อย พร้อมกับกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า กำลังบรรทุกทั้งปลาและปูกว่า 3 ตัน มูลค่าราคากว่าสามแสนบาท จะเอาไปส่งที่จังหวัดปัตตานี แต่มาเกิดอุบัติเหตุขึ้นก่อน
        น่าอนาถใจจริงๆ        ชาวบ้านที่เอาปลา ที่ไม่ใช่ของพวกตน ไปอย่างน่าเฉยตาเฉย หารู้ไม่ว่า พวกเขากำลังกระทำความผิดฐาน
        วิ่งราวทรัพย์!!!

        ผมอยากเล่าถึง ‘การเก็บทรัพย์ลอยน้ำ’ แล้วมีการเรียกค่าไถ่ และการลักปลาเมื่อรถคว่ำ โดยจะขอเล่าเปรียบเทียบกับกรณีอื่นๆที่เคยเกิดขึ้นในบ้านเรา เป็นเรื่องๆไป ดังนี้ครับ
        รณีแรกคือ การเก็บทรัพย์ลอยน้ำ แล้วเรียกค่าไถ่ หากท่านเคยไปจังหวัดสุโขทัย หรือจังหวัดแถบริมแม่น้ำน่าน เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก ชาวบ้านจะสนุกมาก เพราะเมื่อน้ำหลากมา พวกเขาก็จะพากันเก็บเอา “สวะ” ที่ลอยตามน้ำมากองบนฝั่ง คัดเอาเศษไม้มากองไว้เป็นเชื้อเพลิง สำหรับใช้ในครัวเรือนไปจนตลอดปี เป็นการประหยัดได้ทางหนึ่ง
        นอกจากเศษสวะ บางครั้งมี “ท่อนซุง” ลอยมาด้วย ซึ่งอาจแตกมากจากแพซุง ที่ล่องลงมาให้ลูกค้าทางกรุงเทพฯ แต่เมื่อเจอกระแสน้ำแรงๆ ก็อาจแตกออกจากแพที่ผูกได้
        ชาวบ้านที่ไปเก็บซุง จะต้องมีความชำนิชำนาญพอสมควร เพราะต้องเอาเรือออกไปยังซุงที่ลอย แล้วจะต้องมีคนขึ้นขี่ซุง ผูกเอาไว้ด้วยเชือก โยงปลายเชือกอีกด้าน เข้ากับหลักหรือต้นไม้ใหญ่บนฝั่ง เพื่อไม่ให้ซุงลอยน้ำต่อไป แล้วจึงค่อยๆดึงซุงขึ้นฝั่ง
        ซุงเหล่านี้นั้น เจ้าของมักจะตามมาขอคืน แล้วจ่าย “ค่าไถ่” เล็กๆน้อยๆให้เป็นสินน้ำใจ เพราะหากชาวบ้านไม่ช่วยเก็บรักษาไว้ ซุงก็ต้องหลุดลอยไกลออกไป เจ้าของจะเสียหายได้
        การเก็บซุงแล้วมี “ค่าไถ่” ของคนแถวสุโขทัย ผิดกับการเก็บยางของคนสุราษฎร์ เพราะคนทางเหนือนั้นเขาเก็บเป็นฤดูกาล เป็นประเพณี แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยมี “สวะ” ลอยให้เห็น เพราะป่าไม้ถูกลักตัดไปหมด การทำไม้ก็ถูกควบคุม ฤดูกาลแห่งการเก็บ “สวะ” จึงไม่สนุกเหมือนก่อน
        ส่วนเรื่อง “ก้อนยางลอยน้ำ” ของโรงงานชาวญี่ปุ่นนี่ แตกต่างกันมากกับทางสุโขทัยมาก เพราะที่สุราษฎร์เป็นเรื่องอุทกภัย เกิดขึ้นเป็นสถานการณ์เฉพาะ ต่างคนต่างเดือดร้อนด้วยกันทั้งนั้น น่าจะมีความเห็นใจ เพื่อนร่วมชะตากรรมเหมือนกันมากกว่า แต่นี่ดันกลับเก็บทรัพย์เจ้าของ นำมาเรียกค่าไถ่
        ซ้ำเติม “ความทุกข์” ให้คนอื่น หนักเข้าไปอีก!

        กรณีต่อมาคือ เรื่องรถบรรทุกปลาคว่ำ ชาวบ้านมาชิงเอาปลาไป ต่อหน้าต่อตาคนขับรถเจ้าของ ทำให้ผมคิดถึงกรณีเครื่องบินโดยสาร ของบริษัท เลาดาแอร์ เที่ยวบินที่ 004 ตกที่อุทยานแห่งชาติพุเตย อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2534 ไม่มีผู้โดยสารและลูกเรือคนใดรอดชีวิต ในจำนวนนี้เป็นคนไทย 39 คน ชาวต่างชาติ 184 คน
        อุบัติเหตุครั้งนั้น เป็นหายนะทางการเดินทางทางอากาศที่รุนแรงที่สุด ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย จวบจนถึงปัจจุบัน
        หลังอุบัติเหตุ ได้มีผู้มาขโมยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องเพชรและเครื่องประดับ ของผู้โดยสารราว 1 ใน 4 ได้สูญหายไป ที่ร้ายกาจที่สุด คือต่างประเทศลงข่าวว่า ศพผู้โดยสารรายหนึ่งถูกตัดนิ้วขาด เพราะคนร้ายต้องการแหวนผู้ตาย เมื่อถอดแหวนไม่ออก
        ก็ตัดนิ้วทิ้งเสีย แล้งรูดเอาแหวนออกไป!        เรื่องนี้ทำให้ชาวไทย โดยเฉพาะพลเมือง ‘บรรหารบุรี’ เสียชื่อมาก แต่ก็ยังมีป้ายแสดงจุดตกของเครื่องบิน ให้ผู้คนเข้าไปดู ตามภาพที่เห็น

content/picdata/291/data/photo2.jpg
        ผมเกรงเหลือเกินว่าจะมีมือดี มาเขียนต่อว่า จุดนี้ทรัพย์สินของผู้เคราะห์ร้าย
        ถูกชาวไทยลักเอาไป...อย่างน่าทุเรศ!

        ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ        หากนำสองเรื่องที่เกิดขึ้นทางภาคใต้ เปรียบเทียบกับกรณีที่ผมเล่าให้ฟัง แม้มีความแตกต่างกันในพฤติกรรมก็จริง แต่กรณีที่เกิดขึ้นในภาคใต้ทั้งสองเรื่องครั้งนี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้
        “คนใต้” ถูกวิพากษ์วิจารณ์ มากเหลือเกิน!        อาจพูดได้ว่า ขโมยขโจรปักษ์ใต้ที่ชุกชุมมากนั้น มีสาเหตุสำคัญมาจาก การแพร่ระบาดของยาเสพติด ที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ และถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่ใส่ใจในการปราบปรามแถมยังมีความพยายาม ที่จะ “เอาผิด” เจ้าหน้าที่ยุคทักษิณ ซึ่งทราบกันดีว่า ในยุคนั้นได้ปราบปรามจนยาเสพติด จนแทบจะหายไปจากเมืองไทยอยู่แล้ว แต่ไอ้คณะ “ทหารกบฏ 2549” 
ได้เข้ามาทำระยำ จนชาติบ้านเมืองของเราจะฉิบหาย และเป็นต้นเหตุที่คนไทยต้องช้ำใจ เพราะได้‘รัฐบาลกาลี’ เข้ามาบริหารประเทศ
        ยาเสพติดจึงได้กลายเป็น ปัญหาใหญ่หลวงอีกครั้ง!        มีผู้วิพากษ์วิจารณ์ว่า ปัญหาการแพร่ระบาดของยานรก ได้ย้อนไปแทงชาวใต้ ที่สนับสนุนรัฐบาลกาลี อย่างไม่ลืมหูลืมตา
        เด็กไม่ถึง 10 ขวบ เมืองนครฯ ก็เสพยาบ้าแล้ว!!        เมื่อมียาเสพติดแพร่ระบาดทางใต้มาก แน่นอนว่าสุจริตชนจะอยู่ไม่เป็นสุข เพราะคดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ ประเภทลัก วิ่ง ชิง ปล้น ก็ทวีเพิ่มมากขึ้น
        อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!!!

        รุปได้ว่า ปักษ์ใต้นั้น แม้จะอุดมสมบูรณ์ก็จริง แต่บัดนี้ได้กลายเป็นดินแดน ที่คนส่วนอื่นของประเทศ ได้ทราบจากข่าวที่สะพัดจากทุกสื่อ โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ตว่า
        ดินแดนส่วนนี้ของประเทศ ช่างเต็มไปด้วยโจรผู้ร้ายและพวกหัวขโมย หาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินไม่ได้ ส่วนผู้คนท้องถิ่นนั้นหรือ ก็ช่างไม่อับอายเลย ที่เข้าไปหยิบฉวยเอาข้าวของผู้อื่น เอามาเป็นของตน อย่างหน้าเฉยตาเฉย ดังปรากฏตามข่าวที่เล่ามาแล้ว
        ผมจึงมีความเป็นห่วง ไม่อยากให้พี่น้องคนใต้ ถูกประณามเสียหายว่า บ้านเมืองเต็มไปด้วยพลเมืองขี้ลักขี้ขโมย จนพูดกันไปถึงขั้นว่า
        ภาคใต้เป็น...ภาคโจร!

        จึงอยากให้ผู้หลักใหญ่ปักษ์ใต้ ที่ไม่ใช่นักกินเมือง ลุกขึ้นมา ร่วมพิจารณาปัญหาทาง“จริยธรรม” กันอย่างจริงจัง
        ช่วยกันอบรมสั่งสอนเยาวชนลูกหลาน และต้องสร้างแนวความคิด ในเรื่องความรักเกียรติ รักความซื่อสัตย์สุจริต ต้อง
ไม่ลักทรัพย์เอาของผู้อื่น เพื่อในวันข้างหน้า จะได้ไม่มีคนมากล่าวหา ให้เสียหายได้ และต้องทำจนให้คนภาคอื่นเขายกย่องด้วย ว่า
        “คนใต้ไม่ใช่ขโมย!!!”

content/picdata/291/data/photo3.jpg
        อย่าให้ลูกหลานของคนใต้ เห็นดีเห็นงามกับพฤติกรรมโจร จนกระทั่งมีศาลโจร อย่าง “ไอ้ดำ หัวแพร” ที่จังหวัดพัทลุง (คนจังหวัดนี้เขาเห็นว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ที่ชาวพัทลุงจะบูชาโจร) ต้องช่วยกันเอาศาลมัน
        ไปทุบทิ้ง!          เพื่อไม่ให้ลูกหลานคนใต้หลงผิด เก็บเอามาบูชาโจร แล้วเห็นดีเห็นงามไปกับพฤติกรรมไอ้พวกนี้
        อย่าให้ใครมาอ้าง เรื่องประวัติศาสตร์มาอ้าง แล้วเก็บศาลโจรเอาไว้อีกเลย!!        ไอ้ดำ หัวแพร มันก็แค่ไอ้โจรที่ลัก วิ่ง ชิง ปล้นเขาเท่านั้น จะเอามันมาเป็น ‘วีรบุรุษ’ ได้อย่างไรกัน!!!?

        นอกจากนั้น ยังต้องสอนลูกหลานของพวกเรา ไม่ให้เอาเยี่ยงเอาอย่างพวก “นักกินเมือง” ที่ครอบงำปักษ์ใต้มานาน เพราะในขณะนี้ มีหลักฐานปรากฏต่อสาธารณชน ว่า
        นักกินเมืองที่มีตำแหน่งแห่งที่ และมาจากภาคนี้ แม้กระทั่งระดับรัฐมนตรี ต้องถูกกล่าวหาว่า มีพฤติกรรมไม่สุจริต จนเจ้าตัวทนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ เพราะผู้คนเขาไม่ไว้ใจ จึงหน้าด้านอยู่ต่อไปไม่ไหว 

        ต้องชิงลาออกไป...แต่ไอ้ที่ยังหน้าด้านอยู่ ก็มีให้เห็น!

        โปรดช่วยกันสอดส่อง หาคนดีๆมาเป็นแบบอย่างของลูกหลานเถอะครับ คนปักษ์ใต้จะไม่ได้ตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน และที่สำคัญ ต้องระวังการเลือกคนมาเป็นผู้แทน อย่าไปเอาตัวอย่าง 
        ไอ้ดำ หัวแพร, ไอ้ไข่เต้บเตื้อก, ไอ้หัวเกียงเต้บไต ฯลฯ

        พวกนี้มันก็แค่... “ไอ้โจรระยำ” ทั้งนั้น!!
...........................
        (***บทความประจำสัปดาห์ ตอน คนใต้ไม่ใช่ขโมย!!! ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 16 เมษายน 2554)  



http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น