วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554


ยืนหน้าศาล 112 นาที เพื่อ "อากง" และ เหยื่อกฎหมายหมิ่น
http://www.prachatai.com/journal/2011/12/38263

เทวฤทธิ์ มณีฉาย  นักข่าวพลเมือง

สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย นักวิชาการ นักกิจกรรมทางสังคม สวมหน้ากาก ส่องไฟฉาย ร่วมยืนไว้อาลัย 112 นาทีต่อกระบวนการยุติธรรม หน้าศาลอาญา ย้ำว่า “เราคืออากง” 
 
วันนี้ (9 ธ.ค.54)  เวลา 13.00น. ที่บริเวณบาทวิถีหน้าศาลอาญา รัชดา ได้มีกลุ่มคนแต่งชุดดำจำนวนกว่า 112 คน นำโดยเครือข่ายนักกิจกรรมทางสังคมเพื่อประชาธิปไตย สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย(สนนท.)และประชาชน ได้ชุมนุม พร้อมทั้งยืนไว้อาลัยต่อกระบวนการยุติธรรม ภายใต้ชื่อกิจกรรม “เราคืออากง” โดยมีจุดเริ่มต้นจากกรณีคดีของนายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) วัย 61ปี โดนพิพากษาจำคุก 20 ปี จากการที่ศาลเชื่อว่าได้เป็นผู้ส่ง ข้อความทางโทรศัพท์ที่มีเนื้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า ‘คดีอากง SMS’ โดยการรณรงค์ยังมีเนื้อหารวมถึงผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือคดีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 112
ด้าน นางสาวจิตรา คชเดช ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจากเครือข่ายนักกิจกรรมทางสังคมเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า “วันนี้ที่เรามาคือเราใช้ชื่อกิจกรรมว่า “เราคืออากง” เราต้องการมายืนโดยสงบเพื่อไว้อาลัยต่อกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเราเริ่มตั้งแต่เห็นว่ามีคนโดนมาตรา 112 (กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) เมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วไม่ว่าจะเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการจับกุมจนถึงที่สุดแล้วนี่พวกเขาก็ไม่ได้รับการประกันตัว หรือแม้แต่คดีดังที่พวกเราได้ยินกันคือคดีอากงส่ง SMS นี่ถูกศาลลงโทษถึง 20 ปี จากเหตุการณ์เหล่านั้นพวกเราก็เลยคิดว่าควรมายืนไว้อาลัยต่อกระบวนการยุติธรรมเลยเลือกที่นี่เพราะถือว่าเป็นศูนย์กลางของหลายๆอย่าง”
ในส่วนของวัตถุประสงค์ในการจัดกิจกรรมนี้ จิตรา คชเดช กล่าวว่า“กิจกรรมเราในวันนี้คือการยืนไว้อาลัยยืนโดยสงบ 112 นาที ใส่ชุดดำแล้วก็ถือไฟฉายในมือ เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าในสังคมที่มืดมิดนี่เราใช้ไฟฉายส่องให้เห็นแสงสว่าง หลังจากนั้นเราจะจบด้วยเพลง “แดนตาราง” เพื่อให้กับทุกๆคนที่ไม่ได้รับความยุติธรรมที่อยู่ในเรือนจำ โดยกิจกรรมนี้ได้นัดแนะกันผ่านทาง facebook”
“หลังจากจบกิจกรรมนี้คงมีหลายๆพื้นที่ๆจะทำแบบนี้ ซึงอาจจะมีการจัดเสวนาเกี่ยวกับคำพิพากษา เป้าหมายของกิจกรรมในวันนี้เพื่อต้องการให้สังคมได้ตื่นตัวแล้วได้หันมามองเรื่องกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น” จิตรา กล่าวทิ้งท้าย 
 
นายพรชัย ยวนยี เลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย(สนนท.) ซึ่งเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ได้อธิบายเหตุผลของการเข้าร่วมว่า “กรณี อากง มันเป็นเหตุการณ์ที่รับไม่ได้ ซึ่งตัวรูปคดีก็บ่งชี้แล้วว่าศาลไม่สามารถหาความจริงเป็นที่ยอมรับได้  ซึ่งกฎหมายนี่เป็นกฎหมายอาญา ซึ่งถ้าหากเราไม่สามารถหาความจริงได้ต้องปล่อยจำเลย  แต่คดีอากงนี่ในด้านแรกคือการตัดสินมันไม่ชอบธรรม ส่วนด้านที่ 2 คือโทษที่ได้รับมันสูงเกินไป คือถ้ามองโทษเหมือนที่นักวิชาการกล่าวคือมันร้ายแรงเท่ากับคดีฆ่าคนตายด้วยซ้ำ ซึ่งทางนักศึกษารู้สึกว่ามันไม่ดีเลยสำหรับการตัดสินของศาล”
ทั้งนี้ เลขาธิการ สนนท.ได้เปิดผยว่าได้มีการคุยกันถึงแนวทางการแก้ปัญหาเรื่อง โดยได้มีการเรียกร้องต่อกลุ่มคนทั่วไปแล้วก็กับคนที่มีอำนาจ ว่า “หนึ่งเราต้องมีการปฏิรูปศาล หมายความว่าในด้านที่มาของศาลก็ไม่ได้มีการยึดโยงกับประชาชน ส่วนด้านความชอบธรรมคือ ศาลเลือกที่จะตัดสินโดยที่มองจำเลยว่าเป็นฝ่ายที่ผิดก่อนด้วยซ้ำ ส่วนที่ 2 ในด้านตัวกฎหมายอาญามาตรา 112 มันไม่มีขอบเขตจำกัด อีกทั้งโทษของ 112 มันแรงมาก ไม่มีกฎหมายที่ไหนที่โทษขั้นต่ำ 3 ปี ตนคิดว่าสมควรที่จะต้องยกเลิก โทษขั้นต่ำ 3 ปีคือถ้าทำน้อยกว่านั้นหมายความว่าก็ต้องติด 3 ปีใช่หรือไม่ แล้ว 3 ปีก็ไม่ใช่น้อยๆ ด้านสุดท้ายเราต้องมีการแก้ไข คือ การแก้ไขหมายความว่าเราต้องมีการทำประชามติจากคนทั้งประเทศแล้วเลือกคณะกรรมการมาแก้ไขเหมือนการทำรัฐธรรมนูญ”
ยืนหน้าศาล112นาทีเพื่อ"อากง"และและเหยื่อกฎหมายหมิ่นภาพถ่ายโดย Kaptan Jng
เลขาธิการ สนนท. ยังได้แสดงท่าทีประณามรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องต่อกรณีดังกล่าวด้วยว่า “อยากประณามในการทำงานของรัฐบาลว่าเมื่อประชาชนเลือกเข้าไปแล้ว แต่ไม่สามารถทำในสิ่งทีประชาชนเรียกร้องไปในการแก้ไขนี้ได้  กลับยิ่งเป็นการเพิ่มโทษขึ้นไปอีก จับคนที่แทบจะไม่ผิดด้วยซ้ำในด้านนี้ เราเลือกท่านไปเพื่อไปทำหน้าที่เพื่อเป็นปากเสียงให้กับประชาชน แต่รัฐบาลไม่สามารถทำได้เลย ท่านเห็นปัญหาของมาตรา 112 อยู่แล้ว ท่านเห็นอะไรทุกๆอย่างของมาตรานี้อยู่แล้ว และ สส.ที่ท่านเลือกไปก็ติดมาตรา 112 หลายคนด้วยซ้ำท่านก็ไม่ทำอะไรด้วยซ้ำ ซึ่งผมคิดว่าผลสุดท้ายก็ไปตกที่ตัวท่านเอง  เมื่อท่านเป็นฝ่ายค้านกฎหมายนี้ก็จะไปเล่นงานท่านเหมือนเดิม อย่างที่เล่นงานพวกเราในปัจจุบัน จึงขอแสดงจุดยืนประณามรัฐบาลและเราควรปฏิรูปกฎหมายมาตรา 112 อย่างจริงจังโดยที่ทุกๆฝ่ายมีความเกี่ยวข้องกัน”
“ก่อนหน้านี้ทาง สนนท. ได้มีการออกแถลงการณ์ประณามการตัดสินของศาลในกรณีอากง(คลิกเพื่ออ่าน - ฉบับแรกวันที่ 24 พฤศจิกายน 2554 ใน สนนท. แถลงกรณี 'อากง' ชี้รัฐควรยกเลิกมาตรา 112http://prachatai.com/journal/2011/11/38011 ) ส่วนฉบับที่ 2 เป็นการแถลงจุดยืนของสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยในการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 (คลิกเพื่ออ่าน - ฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2554 ใน 'สนนท.' ย้ำต้องแก้ไขกม.หมิ่นฯ –ปฏิรูประบบตุลาการ http://prachatai.com/journal/2011/11/38095)โดยต่อจากนี้ทาง สนนท. จะมีการเคลื่อนไหวต่อต้านร่วมกับกลุ่มอื่นๆ ต่อไป” เลขาธิการ สนนท. กล่าวทิ้งท้าย
ดร.อนุสรณ์ อุณโณ อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ได้ให้เหตุผลในการร่วมกิจกรรมครั้งนี้ว่า “จริงๆแล้วตนร่วมกิจกรรมรณรงค์คัดค้านมาตรา 112 มานานแล้ว กับอีกกรณีหนึ่งตนรู้สึกว่าตอนนี้มาตรา 112 ถูกเอาไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในลักษณะที่เข้มข้นจนไม่สามารถที่จะปล่อยให้มันผ่านไปง่ายๆได้ เราก็เห็นอย่างกรณี “อากง” ซึ่งยังมีความคลุมเครือในแง่ของการสืบสวนสอบสวน ในแง่ที่ว่าข้อความที่ส่งคือใคร จริงๆแกอาจไม่ได้ส่งด้วยซ้ำ อย่างนี้เป็นต้น  ขณะเดียวกันโทษที่มันพวงมา มัน 20 ปี ซึ่งไม่ได้สัดส่วนกับความผิด
ยืนหน้าศาล112นาทีเพื่อ"อากง"และและเหยื่อกฎหมายหมิ่น
าพถ่ายโดย Kaptan Jng
“แม้กระทั้งกรณีของโจ กอร์ดอน ก็โดน 112 ตอนนี้กลายเป็นว่าด้วยการใช้กฎหมายในลักษณะนี้แล้วก็การตัดสิน คือมันไม่ใช่เฉพาะการใช้กฎหมายอย่างเดียว แต่กระบวนการยุติธรรมในการตัดสินเองมันเดินตามไปอีก คลายๆกับตอบสนองในการเป็นเครื่องมือขงกฎหมายไปแล้ว ที่จริงศาลก็สามารถมีดุลยพินิจได้ใช่มั้ย ไม่ว่าจะอย่างไร แต่ก็เลือกที่จะเดินตามเกมส์นี้ เพราะฉะนั้นมันก็เลยกลายเป็นที่จับตาต่อสาธารณะมาขึ้น  ตนคิดว่ามันน่าจะเป็นโอกาสที่ดี  ตอนนี้รู้สึกว่าต่างประเทศอย่างเมื่อวานนี้(กรณีโจ กอร์ดอน)ข่าว Top 5 ใน Google นี่ เพราะฉะนั้นกลายเป็นว่า 112 มันกลายเป็นสปอตไลท์แล้ว และผมก็คิดว่าในจังหวะอย่างนี่ล่ะมันน่าจะเป็นคลายๆกับโอกาสทางสังคมการเมืองที่ดีที่  คลายๆกับว่าการเคลื่อนไหวทางสังคมมันจะเป็นที่สนใจของผู้คนด้วย แม้ก่อนหน้านั้นถึงจะไม่มีอันนี้ก็ตั้งใจมาอยู่แล้วเพราะตนคิดว่ากรณีของ อากง ผมคิดว่ามันคลายๆกับความไม่เข้าท่าของกฎหมายฉบับนี้มันมีให้เห็นมากขึ้นแล้ว มันชัดขึ้น ก่อนหน้านั้นมันอาจจะไม่ได้รุนแรงขนาดนี้ ตอนนี้มันชัดขึ้นจึงจำเป็นที่ต้องออกมา” อนุสรณ์ อุณโณ กล่าว 
เรื่องกระบวนการยุติธรรมและมาตรา 112 อนุสรณ์ อุณโณ ได้เสนอว่า “คงต้องปรับแก้ ในแง่หนึ่งก็ต้องยกเลิกที่มีอยู่ก่อน สองก็คือต้องเสนอกฎหมายใหม่ขึ้นมาว่าจะทำอย่างไร ว่าจะปกป้องสถาบัน ถ้ากฎหมายปกติ กฎหมายหมิ่นประมาทคนทั่วไปปกติมันเอาไม่อยู่ มันจะต้องพัฒนากฎหมายที่เป็นการเฉพาะขึ้นมาอย่างไร ซึ่งจะไม่เป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานที่อารยะประเทศเขาถือกันอยู่ เช่น สิทธิในการแสดงความเห็นอย่างเสรีแล้วก็บริสุทธิใจเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม  ถ้าเราทำไปในเส้นทางแบบนี้แสดงความคิดเห็นแบบนี้แล้วไปกระทบต่อสถาบันจะมีอย่างไรจะปกป้องกันอย่างไร ผมคิดว่าอาจจะต้องมีการเฉพาะ แต่ถ้าเกิดดฎหมายปกติมันมีอยู่พอแล้วมันก็อาจจะไม่จำเป็นก็ได้ ก็ต้องดูกัน” 
นายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) หรือ ‘คดีอากง SMS’ อายุ 61 ปี ได้ถูกฟ้องว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยข้อกล่าวหาว่าส่งเอสเอ็มเอสที่มีข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปยังโทรศัพท์ของเลขานุการของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และเมื่อวันที่ 23 พ.ย. ที่ผ่านมา ศาลได้พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดจริงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพระราชบัญญัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาตรา 14 อนุ 2 และ 3 ลงโทษจำคุก 20 ปี (อ่านรายละเอียดได้ที่ รายงาน: เปิดคำแถลงปิดคดี ‘อากง SMS’ ต่อจิ๊กซอว์จากเบอร์ต้นทางถึงชายแก่ปลายทางhttp://prachatai.com/journal/2011/11/38032)

http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น