ดาวน์โหลดคลิ๊ปคนเสื้อแดง
Massacre in Thailand
RED USA - LA Pictures for 19 พฤษภา
ดาวน์โหลดคลิ๊ปคนเสื้อแดง
TV ถ่ายทอดสดคนเสื้อแดง
วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2555
ความเหลวไหลของ "ประชาธิปไตย" และ "ศีลธรรม" ในมือของ "คนดี"
ทำไมจึงมีคำถามกับ "คนดี" และ "ความดี" ตามความคิดกระแสหลักในสังคมไทยมากขึ้น ?
ผมคิดว่า
เกิดจากปรากฏการณ์ที่ประชาธิปไตยและศีลธรรมตกอยู่ในมือ หรืออยู่ใน "อำนาจการตีความ" ของ "เครือข่ายคนดี"
และ
การกระทำ "ความดี" ของพวกเขาเหล่านั้น ก็ส่งผลให้เกิด "ความเหลวไหล (absurd)" ของประชาธิปไตยและระบบศีลธรรมของสังคมไทยอย่างน่าตระหนก
ในระยะเวลากว่า 5 ปีที่ผ่านมา
ลองพิจารณาความหมายของ "คนดี" และ "ความดี" ตามความคิดกระหลัก ดังเช่น
"คนดี" คือคนเช่นไร? ตอบว่า "คนดีในอุดมคติ" ตามความคิดกระแสหลักของสังคมไทย คือคนซื่อสัตย์ ไม่โกง จงรักภักดี กตัญญูต่อแผ่นดิน และ/หรือคนดีตามบรรทัดฐานศีลธรรมทางศาสนาที่ดีพร้อมทั้งกาย วาจา ใจ
ตัวอย่างของคนดีตามนิยามดังกล่าว เช่น คนที่ได้รับยกย่องว่า เป็น "เสาหลักทางจริยธรรม" และเครือข่ายคนดีที่ยกย่องกันว่าซื่อสัตย์ ไม่โกง
แต่การเกิดรัฐประหาร 19 กันยา กลับมี "ข้อกังขา" ที่สำคัญยิ่งว่า คนดีเหล่านั้นซื่อสัตย์ต่อหลักการ อุดมการณ์ประชาธิปไตยหรือไม่?
กตัญญูต่อประชาชน และเคารพการตัดสินใจของประชาชนผู้เป็นเจ้าของ "อำนาจอธิปไตยสูงสุด" ตามรัฐธรรมนูญหรือไม่?
"ความดี" คืออะไร? ตอบได้ว่า
ความดีของคนดีเหล่านี้ คือ "การกระทำทุกวิถีทางไม่เลือกวิธีการว่าถูกหรือผิด" เพื่อขจัด "คนเลว"
(
บางที "เลว" เพียงเพราะมีความเห็นต่าง มีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างจากพวกตน
)
เช่น
อ้างความจงรักภักดี อ้างศาสนา อ้างธรรมนำหน้า อ้างสถาบันกษัตริย์แบ่งแยกประชาชนในประเทศเป็นฝักฝ่าย จนนำไปสู่การทำรัฐประหารรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ใช้กฎหมายแบบ "สองมาตรฐาน" ขจัดนักการเมือง พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม โจมตีใส่ร้ายเรื่องล้มเจ้า อ้างข้อหาล้มเจ้าสลายการชุมนุมทางการเมืองของประชาชนด้วย "กระสุนจริง"
เป็นต้น
รวมทั้งที่ออกมาต่อต้านการเรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายอาญา ม.112 ด้วยข้อกล่าวหาว่า "ล้มเจ้า" อย่างที่พยายามทำกันอยู่ในขณะนี้ !
แน่นอนว่า "ประชาธิปไตย" และ "ศีลธรรม" ในมือของบรรดาคนดีเหล่านี้ ย่อมบิดเบี้ยว และ "เหลวไหล" ไปด้วย กล่าวคือ
"ความบิดเบี้ยวเหลวไหลของประชาธิปไตย" ที่ไม่ปรับใช้ "หลักการสากล" คือ หลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคกับ "ทุกคน" อย่างเท่าเทียม
ซึ่งขัดกับ "แก่นสาร" ของความเป็นประชาธิปไตยที่ทุกคนต้องอยู่ภายใต้หลักการสากลดังกล่าวอย่างเสมอกัน
แต่
เพื่อปกป้อง "ความบิดเบี้ยวเหลวไหลของประชาธิปไตย" พวกคนดีจึงต่อต้านการแก้ไข ม.112 และรัฐธรรมนูญบางหมวดอย่างแข็งขัน พร้อมๆ กับการโจมตีใส่ร้าย ปลุกปั่นความเกลียดชังฝ่ายที่เรียกร้องให้แก้ไขปัญหาดังกล่าว
ทั้งๆ ที่เป็น "ข้อเรียกร้อง" เพื่อเปลี่ยนความบิดเบี้ยวเหลวไหลของประชาธิปไตยสู่ความมี "แก่นสาร" คือ ความเป็นประชาธิปไตยที่หลักการสากลถูกปรับใช้กับทุกคนอย่างเท่าเทียมแบบอารยประเทศ ซึ่งย่อมส่งผลดีแก่ทุกสถาบัน ทุกสี ทุกฝ่ายในสังคมอย่างเสมอหน้ากัน!
"ความบิดเบี้ยวเหลวไหลของศีลธรรม" แน่นอนว่า เมื่อระบบสังคม-การเมืองบิดเบี้ยวเหลวไหลแล้ว "ศีลธรรมทางสังคม-การเมือง" ก็ย่อมบิดเบี้ยวเหลวไหลตามไปด้วยอย่างจำเป็น (necessary)
เช่น
แทนที่สังคมนี้จะเน้น "ศีลธรรมเชิงหลักการ" หรือเน้นการใช้ศีลธรรมสากล หรือศีลธรรมภาคสาธารณะเป็นบรรทัดฐานในเรื่อง "ถูก-ผิด" ทางการเมือง กลับไปเน้นเรื่องความจงรักภักดี ความซื่อสัตย์ ความกตัญญูต่อตัวบุคคลให้เป็น "ศีลธรรมที่เหนือกว่า"
การเคารพ หรือปฏิบัติตามหลักการสากล ศีลธรรมสากล หรือศีลธรรมภาคสาธารณะ คือ หลักสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค
ฉะนั้น จึงเกิด "ภาวะบิดเบี้ยวเหลวไหลทางศีลธรรม" คือ เกิดการอ้างความดีงามของความจงรักภักดีต่อตัวบุคคลทำลายหลักการสากลอันเป็นศีลธรรมทางสังคม หรือศีลธรรมภาคสาธารณะ ซึ่งเป็น "แก่นสาร" ของความเป็นประชาธิปไตย
ภายใต้ความบิดเบี้ยวเหลวไหลของประชาธิปไตยและศีลธรรมดังกล่าวนี้ ยังก่อให้เกิด "ความบิดเบี้ยวเหลวไหล" ที่สำคัญตามมาอีกอย่างน้อยสองเรื่องที่สำคัญ
คือ
"
ความบิดเบี้ยวเหลวไหลของนักสันติวิธี
" ที่มองไม่เห็นปัญหาระดับรากฐานที่สุด คือความไม่เป็นประชาธิปไตยที่ "ไม่ปรับใช้หลักการสากลกับทุกคนอย่างเท่าเทียม" อันเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ไม่สามารถพูดถึง "ความจริงของสาเหตุแห่งปัญหา" ได้อย่างถึงที่สุด
ซึ่งทำให้ปัญหาความอยุติธรรม ความไม่เป็นประชาธิปไตย มองไม่เห็นทางแก้ไข และกลายเป็นเงื่อนไขความขัดแย้งที่ไม่สิ้นสุด!
เมื่อมองไม่เห็น นักสันติวิธีก็พยายามรักษา "บทบาทเป็นกลาง" อย่างสุดโต่ง ทำได้แค่เรียกร้องให้ทุกฝ่ายไม่โกรธ ไม่เกลียดกัน ไม่ใช้ความรุนแรงต่อกัน เปิดใจรับฟังเหตุผลของกันและกัน ลืมความหลัง หันหน้ามาปรองดอง แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง ฯลฯ
แต่ทั้งหมดนั้นคือ
"ข้อเสนอนามธรรมแบบสูตรสำเร็จ" ที่ไม่ตอบปัญหาความอยุติธรรม และความไม่เป็นประชาธิปไตย อันเป็นรากฐานของความขัดแย้งแต่อย่างใด
"
ความบิดเบี้ยวเหลวไหลของสื่อ
" ไม่ใช่เรื่องไม่เป็นกลางหรือเลือกข้าง แต่เป็นเรื่อง "ซีเรียส" กว่านั้น
คือสื่อหลักไม่มีความกล้าหาญที่จะใช้ "เสรีภาพ" ในการเสนอความเห็นต่าง หรือ "ความคิดนอกกระแสหลัก" ในบริบทของ "ยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนผ่าน"
ในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านเช่นนี้ สื่อที่มีความรับผิดชอบ ย่อมตระหนักว่า "ความคิดนอกกระแสหลัก" มีคุณค่ามาก เนื่องจากเราได้เห็นแล้วว่า ความคิดกระแสหลักที่ว่ามานั้นทำให้ประชาธิปไตย และศีลธรรมของสังคมบิดเบี้ยวเหลวไหลไปอย่างไร
ฉะนั้น
"ความคิดนอกกระแสหลัก" ถ้ามันจริง ถูกต้อง มันก็จะเปลี่ยนความคิดกระแสหลักที่ไม่จริง ที่ผิด
ถ้ามันไม่จริง หรือมันผิด ก็จะกระตุ้นความคิดกระแสหลักเข้ามาปะทะสังสรรค์ทำให้มีพลังเข้มแข็งขึ้น
และถึงแม้ว่า "ความคิดนอกกระแสหลัก" ที่จริง ที่ถูกต้องนั้นๆ มันอาจจะดูเป็นไปได้ยาก หรือเป็นไปไม่ได้ในขณะนี้ สื่อก็ต้องเปิดโอกาสให้มันได้แสดงออก ได้ "บ่มเพาะ" ตัวมันเองในสังคม เพื่อให้งอกงามเติบโต ซึ่งจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นในระยะยาว
กล่าวโดยสรุป สภาวะบิดเบี้ยวเหลวไหลของคนดี ความดี และความบิดเบี้ยวเหลวไหลของประชาธิปไตย และศีลธรรมในมือของคนดีเหล่านั้น เกิดจาก "ระบบสังคม-การเมืองที่ไม่ปรับใช้หลักการสากลกับทุกคนอย่างเท่าเทียม"
นั่นเอง
ระบบนี้แหละคือที่มาของ "ความบิดเบี้ยวเหลวไหลของทุกสิ่ง"
ทางออกจึงอยู่ที่การเปิดพื้นที่ให้กับความเห็นต่าง หรือ "ความคิดนอกกระแสหลัก" ได้ปะทะสังสรรค์กับ "ความคิดกระแสหลัก" ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ในที่สุดแล้ว ผมเชื่อว่า "ความคิดนอกกระแสหลัก" จะบ่มเพาะตัวมันเอง และเจริญเติบโตจนมีพลังเปลี่ยนแปลงสังคมในอนาคตให้มีความเป็นประชาธิปไตยที่ปรับใช้หลักการสากลกับทุกคนอย่างเท่าเทียม เฉกเช่นกับอารยประเทศ!
http://redusala.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
บทความใหม่กว่า
บทความที่เก่ากว่า
หน้าแรก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น