วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2555


แง่มุมในการตอบโต้เผด็จการยังห่างชั้นมาก!!

แง่มุมในการตอบโต้เผด็จการยังห่างชั้นมาก!!

              การจัดรายการทั้งทีวีและวิทยุรวมทั้งอินเตอร์เน็ทของฝ่ายประชาธิปไตย เพื่อตอบโต้และอธิบายเพื่อต่อสู้กับฝ่ายเผด็จการนั้น ยังต้องมีการปรับปรุงอีกมากมายหลายประการ 

              ทั้งการใช้ศัพท์ทางการเมืองที่ถูกต้องตรงความเป็นจริง เพื่อไม่ให้ใช้กันจนเพี้ยนเปลี่ยนแปลงและหลงความหมายไป หลายคนที่เป็นแกนนำยังใช้ภาษาศัพท์ทางการเมืองเพี้ยนอย่างไม่น่าให้อภัย ยิ่งการจ่อสู้กันในทางการเมืองต่างขั้วนี้ย่อมมีความสำคัญเป็นลำดับต้น ที่จะต้องให้ความสำคัญอย่างมาก 


              การอธิบายความเป็นจริงเพื่อให้ได้แนวร่วมจากประชาชนเพื่อเพิ่มปริมาณมวลชนนั้น พวกแกนนำทางความคิดจะเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่ให้ความสำคัญถือเป็นอันตรายทางความคิดเป็นอย่างยิ่ง ฝ่ายเผด็จการมีความชำนาญในการสรรหาวาทกรรมคำศัพท์ทางการเมืองต่างๆหลากหลายประโยคหลากหลายคำเพื่ออะไร? ที่พวกมันพูดแต่ละคำแต่ละประโยคนั้นมีความหมายทั้งสิ้น มีความหมายและเป็นผลทางจิตวิทยาทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อผู้ฟังผู้เห็น 


              การสร้างความเพี้ยนให้เกิดกับฝ่ายตรงข้ามนั้นถือเป็นยุทธวิธีต่อสู้อย่างได้ผลมายาวนานและประวัติศาสตร์ของฝ่ายประชาธิปไตยจะค่อยๆมลายหายไปในที่สุด อย่างเช่นคำว่า”คณะราษฎร” (คณะ-ราด-สะ-ดอน) ก็ถูกทำให้เพี้ยนไปเป็นคณะราษฎร์ (เติมการันต์) ในฝ่ายประชาธิปไตยหลายคนมองว่าไม่เห็นจะสำคัญใด ๆ คณะราด หรือราด-สะ-ดอน เราก็รู้อยู่ว่าคือใคร? อย่างนี้ถือว่าคนที่คิดอย่างนั้นปัญญาอ่อนในการต่อสู้เป็นอย่างมาก เพราะคำนี้มีความหมายในการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตย นี่น่ะหรือไม่สำคัญ? 
              ความเพี้ยนมันเริ่มต้นมาจากฝ่ายเผด็จการที่จงใจจะให้ผู้คนเรียกให้ติดปากเพราะมันจะพ้องเสียงกับคำว่า”ราช” (ราชา) ทำให้คนรุ่นหลังมองว่าการต่อสู้ครั้งนั้นไม่ใช่ฝ่ายราษฎรแต่เป็นฝ่ายเจ้าด้วยกันเอง นี่เป็นความจงใจให้คนรุ่นต่อๆมาเข้าใจเป็นอย่างนี้อย่างมีนัยยะสำคัญ ประเด็นคือทำให้ฝ่ายราษฎรมองผ่านเลยการต่อสู้ของประชาชนและกลับไปจำยอมรับเพียงความช่วยเหลือจากระบอบเก่าอีกนั่นเอง ทำให้มองว่าแค่คำศัพท์จะไปสำคัญอะไร? 


              นี่คือการปลูกฝังความคิดที่ผิดให้คนต่อสู้กับฝ่ายเผด็จการตั้งแต่ต้น ความคิดก้าวหน้าก็จะผิดเพี้ยนไปและเป็นไปในทางที่พวกมันอยากจะให้เป็น 

              การอธิบายเกี่ยวเนื่องกับข้อกฎหมายยิ่งแล้วใหญ่ หาคนตอบโต้จากฝ่ายประชาธิปไตยได้ยากยิ่ง เพราะไม่เคยจะคิดจะค้นหาและนำประเด็นมาขยายให้ได้ประโยชน์แก่ฝ่ายประชาธิปไตย  เรื่องเหล่านี้ จะมีก็เป็นเพียงการพูดผ่าน แตะบ้างพออาศัยเพียงเท่านั้น ไม่หาประเด็นข้อเท็จจริงมาตอบโต้เลย 


              เช่นในเรื่องการเยียวยาเหตุการณ์ เม.ย. พ.ค.๕๓ นั้น ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์เองเป็นคนออกคำสั่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อแต่งตั้ง คอป.มาค้นหาความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้โดยเฉพาะและให้ทำการเยียวยาผู้เสียหายจากเหตุการณ์นี้โดยเฉพาะ ฝ่ายประชาธิปไตยก็ไม่เคยจะเห็นใครเอามาพูดว่า  นี่ไงพวกมึงเป็นคนออกคำสั่งไว้แค่เหตุการณ์นี้เท่านั้นไง? แล้วมึงจะให้เขาไปเยียวยาเหตุการณ์อื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ได้ยังไง? 


              แต่รัฐบาลนี้ก็ยังออกคำสั่งแต่งตั้งคณะใหม่คือ ปคอป.มาศึกษาและเยียวยาผู้เสียหายในทางการเมืองครอบคลุมมากกว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์  และรัฐบาลอภิสิทธิ์ตอนเป็นรัฐบาลเองก็ไม่เคยคิดจะเยียวยาเหตุการณ์ทางภาคใต้เลย อย่างนี้ไม่เคยเห็นใครเอามาพูดเลย!!!!!

               ยิ่งการจัดตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงยิ่งแล้วใหญ่ทั้ง ๆ ที่มีแง่มุมที่จะสามารถพูดได้เต็มปากทางข้อบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่า การจัดตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงนั้นมีข้อกำหนดไว้ ให้รัฐส่งเสริมให้ภาคประชาชนรวมกลุ่มและจัดตั้งได้เพื่อสร้างความเข้าใจการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของภาคประชาชน และรัฐต้องส่งเสริมสนับสนุนให้มีการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนเสียด้วย  ก็ยังไม่เคยเห็นฝ่ายประชาธิปไตยจะอธิบายแง่มุมนี้เลย?


               การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ปล่อยให้พวกลิ่วล้อเผด็จการเอามาโพนทะนาอยู่ได้ว่าจะฉีกทิ้งเขียนใหม่ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีการแก้ไขหมวด ๑ และหมวด ๒ แล้วอย่างนี้มันจะเขียนใหม่หมดยังไง?ไม่เห็นมีใครอธิบายเรื่องง่ายๆแบบนี้ พูดกันแต่ว่าทำได้ทำถูกตามรัฐธรรมนูญ ก็รู้อยู่แล้วว่าทำได้โดยเสียงข้างมากในสภา เพราะเสียงข้างมากในสภาก็มาจากเสียงข้างมากของประชาชนนั่นเอง มันก็รู้ แต่มันก็ลากเราออกไปให้ไขว้เขวแค่นั้น แต่ก็พากันเถียงไปตามที่มันพาไป

                ยิ่งเรื่องคดีท่านทักษิณยิ่งแล้วใหญ่ ยิ่งไม่มีนักกฎหมายใด ๆ และนักการเมืองคนใดของฝ่ายที่บอกว่ารักทักษิณเหลือเกินจะอธิบายได้เป็นอย่างดีเลย เอาแต่ฝังความกลัวคำว่า ”หมิ่นศาล” กันจนมั่วและเพี้ยนไปหมด ทั้ง ๆ ที่แง่มุมในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายมีให้อธิบายมากมายเหลือเกิน 


                 ยกตัวอย่างเช่น คดีที่ตัดสินให้ท่านทักษิณต้องจำคุก ๒ ปี ด้วยกฎหมาย พรบ.ปปช.นั้น ยิ่งแล้วใหญ่ และเป็นเรื่องใหญ่จริงๆว่า ทำไมตัดสินได้อย่างนั้น ทั้งๆที่กฎหมายมีเจตนารมณ์ ที่จะลงโทษเจ้าหน้าที่โดยตรงรวมถึงคู่สมรสและบุตรที่ไม่บรรลุนิติภาวะของเจ้าหน้าที่รัฐ มีเจตนาใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาประโยชน์โดยทุจริต การห้ามการเป็นคู่สัญญากับรัฐทั้ง ๆ ที่เป็นสัญญาซื้อขาย และไม่ใช่การสัมปทานเลยก็ถูกลากให้มั่วไปได้ คำพิพากษาก็ยังระบุไว้ว่าไม่ใช่การทุจริต แต่ก็ยังมีความผิดไปได้? ยิ่งต่อมาการประมูลถูกตีความให้เป็นโมฆะคืนเงินแถมดอกเบี้ยด้วยเงินภาษีอากรของประชาชน และคืนทรัพย์สินที่ประมูลกลับไป ก็ยังทำกันได้หน้าตาเฉย แต่การลงโทษปล่อยเลยตามเลย ไม่มีใครแย้งอะไรเลย? เวรกรรมจริงๆ 

                  แล้วที่อดีต รมต.คมนาคม ประมูลทะเบียนรถยนต์จากกรมการขนส่งทางบก ทะเบียนสวยประมูลเป็นล้าน นี่เป็นคู่สัญญากับรัฐไหม? นี่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจหน้าที่ควบคุมองค์กรของรัฐโดยตรงไหม? ฝ่ายประชาธิปไตยที่อวดเก่งเคยเอามาพูดกันบ้างไหมในแง่มุมนี้?

                  คดียึดทรัพย์อดีตนายกฯทักษิณ ยิ่งแล้วใหญ่เลย ถูกพิพากษาว่าหุ้นยังถือเป็นของเขา ทั้ง ๆ ที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในปี ๔๔ วินิจฉัยว่าการแจ้งทรัพย์สินต่าง ๆ ของอดีตนายกทักษิณ ถูกต้องไปแล้ว กลับไม่มีผลผูกพันทุกองค์กรไม่เว้นแม้แต่ศาล ก็ถูกละเลยไปได้ การพิพากษาเรื่องการออกพระราชกำหนดแก้ไขภาษีสรรพสามิต ที่ออกโดยความเห็นของคณะรัฐมนตรีแท้ ๆ ยังถูกพิพากษาว่าทำผิดเอื้อประโยชน์ให้ตนเองทั้ง ๆ ที่ความรับผิดชอบต้องรับผิดชอบกันทั้งคณะรัฐมนตรี แต่คนถูกยึดทรัพย์และมีความผิดเป็นเพียงแค่อดีตนายกฯทักษิณ เท่านั้น แปลกไหมล่ะ? ถูกต้องไหมล่ะ? ทั้ง ๆ ที่มีคำวินิจฉันของศาลรัฐธรรมนูญว่า การออกพระราชกำหนดในเรื่องนั้นถูกต้องและชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ถูกพูดถึงและหยิบยกมาผูกพันทุกองค์กร ทั้งที่ถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแท้ ๆ กลับปล่อยให้เลยตามเลย ไม่มีการฟ้องต่อสังคมให้เข้าใจกันเลย? นี่เป็นการปล่อยปละละเลยแง่มุมในการตอบโต้ และกลับไปตอบโต้ในแบบลูกทุ่งด่าทอกันทั้งทางทีวี อินเตอร์เน็ทและวิทยุชุมชนกันเอิกเกริกเมามัน เข้าทางมันโหมเติมเชื้อให้หนักเข้าไว้ด้วยการพูดความเท็จต่าง ๆ นานา

                   ยิ่งการยึดอำนาจรัฐประหารของไอ้พวกทหารบางตัวที่ทำเมื่อ ๑๙  ก.ย.๔๙ นั้นไม่ใช่เพียงแค่การยึดอำนาจประชาชนเท่านั้นแต่มันยึดอำนาจพระมหากษัตริย์มาใช้เสียเองยึดอำนาจ ”จอมทัพไทย” อย่างนี้ไม่มีใครพูดถึง? อย่างนี้ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์อันเป็นความผิดกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ หรือไม่? ไม่มีใครพูดถึงไม่มีใครกล้าอธิบายเลย? ทั้ง ๆ ที่พวกมันยกโทษตัวเองด้วยการเขียนกฎหมาย แต่ไม่เคยมีการขอและพระราชทานอภัยโทษในโทษานุโทษร้ายแรงนี้ กลับไม่มีใครเอามาเปิดประเด็น? ไม่มีใครเอาไปฟ้องต่อศาลในความผิด ๑๑๒ นี้ มีแต่เอาไปฟ้อง ม.๑๑๓ ให้มันอ้างรับธรรมนูญมาตรา ๓๐๙ มาหักล้าง ไม่มีใครเปิดประเด็นฟ้องประชาชนให้รู้และให้มันอ้างดูว่ามันสามารถหักล้างความผิด ม.๑๑๒ ที่พวกมันทำกับพระมหากษัตริย์ได้อย่างนั้นหรือ?


                  นี่เป็นแค่ตัวอย่างหลัก ๆ ที่ควรจะอธิบายต่อสาธารณะ เพื่อชี้ประเด็นข้อเท็จจริงและข้อกฏหมาย เพื่อความเข้าใจของประชาชนคนอื่น ๆ ทั้งฝ่ายต่อสู้เองและประชาชนที่มองอยู่รอบนอก ทั้งจะสร้างกระแสต่อต้านการยึดอำนาจรัฐประหารอย่างได้ผลถาวร ทีพวกมันอ้างปกป้องสถาบันฯ ทั้ง ๆ ที่พวกมันนั่นล่ะที่ล้มล้างและดูหมิ่นสถาบันฯ ชัดเจน แต่ก็ไม่มีใครในฝ่ายประชาธิปไตยจะหยิบยกมาพูดเลย? ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่แกนนำและสื่อฝ่ายประชาธิปไตยจะเห็นเรื่องแบบนี้เป็นความสำคัญและน่าจับเอามาเปิดประเด็นกับสาธารณะ? 

                 นี่ไงถึงตั้งชื่อบทความไว้ว่า ”ยังห่างชั้น”กันมากเหลือเกิน 


                 
แต่ที่มีประชาชนเห็นและให้คะแนนเสียงมาเป็นเสียงข้างมากนั้นเป็นเพียงแค่ความสงสารและเบื่อความไม่เป็นธรรมเสียมากกว่าจะมีความเข้าใจข้อเท็จจริงและข้อกฏหมายเพราะไม่เคยมีใครอธิบายไว้ต่างหาก แต่ถ้าประชาชนเขาไขว้เขวไปตามพวกเผด็จการเมื่อไหร่ฝ่ายประชาธิปไตยก็ยาวก็แล้วกัน!!!



-------------------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลจากคุณ auss : เวบบอร์ด หมู่บ้านคนไทยรักประชาธิปไตย 

http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น