วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

"อภิสิทธิ์" เพี้ยนหนัก ใส่เสื้อแดงทวงความยุติธรรมให้ 98 ศพแดง

ช็อค! "อภิสิทธิ์" ใส่เสื้อแดงทวงความยุติธรรมให้ 98 ศพแดง





         วันนี้ ( 29 ก.ค.) เวลา 20.15 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นกล่าวปราศรัยที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ไทย-ญี่ปุ่นดินแดง ตอนหนึ่ง ว่า รัฐบาลไม่ห้ามปรามคนเสื้อแดงที่ตามไล่ตน และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ตามที่ต่างๆ ซึ่งคนที่มานั้นมาจากการปลุกระดมของแกนนำ และนักการเมืองที่จัดตั้งให้มา ตนพูดเสมอว่าเราอย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องของพี่น้องในแต่ละจังหวัดหรือพื้นที่ใดก็ตาม คนเหล่านี้เป็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งที่ถูกจัดตั้งให้มาก่อกวนขัดขวางการทำงานของตนและพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งก็คือพรรคเพื่อไทยที่ทำงานแบบนี้


          ช่วงหนึ่งของการปราศัย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า “เขาต้องการเล่นงานผมและพรรคประชาธิปัตย์ ผมเล่นการเมืองมา 20 ปี ประวัติของผมชัดเจนสะอาด บางคนเล่นอยู่ 5 ปีมีคดีไม่ถ้วน จึงต้องย้อนไปตอนผมอายุ 20 ปี หาว่าหนีทหาร ยืนยันว่าเรื่องนี้อย่าหวั่นไหว เป็นเรื่องเก่า อยู่ดีๆ ขุดขึ้นมา ไม่มีอะไรหรอก แต่เพื่อช่วยนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดงที่ถูกผมฟ้องอยู่ ในชีวิตนี้ที่ผ่านมาเคยเห็นแต่รัฐมนตรีว่าการ รัฐมนตรีช่วยว่าการ วันนี้เพิ่งเห็นรัฐมนตรีช่วยว่าความ ถ้ารัฐบาลอยากแก้ไขวันนี้ให้ไปแก้ไข 3 จังหวัดภาคใต้ แต่วันนี้ทั้งนายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหมไปอยู่ที่ไหนกันหมด ”


           ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างการปราศรัย นายอภิสิทธิ์ได้ถอดเสื้อแจกเก็ตสีน้ำเงินของพรรคประชาธิปัตย์ออก เพื่อให้เห็นเสื้อยืดสีแดงที่มีข้อความ “ หยุดปรองดองจอมปลอม ล้างผิดคนโกง” พร้อมกล่าวว่า การที่ตนใส่เสื้อสีแดง เพราะสีแดงอยู่ในธงชาติ ไม่ใช่สีของคนๆ เดียว และตนจะใส่สีแดงเพราะเป็นสิทธิ์ของตน พวกคุณไม่ต้องมาต่อว่า เรื่องนี้ถือเป็นสิทธิเสรีภาพไม่ต้องมาขัดขวางคนอื่น สิ่งสำคัญกว่านั้นตนตั้งใจใส่สีแดงเพื่อบอกกับคนที่อ้างตัวว่าเป็นคนเสื้อแดงและอ้างว่ามีอุดมการณ์ คุณต้องใส่เสื้อแดงแบบเดียวคือมีข้อความหยุดปรองดองจอมปลอมล้างผิดคนโกงเท่านั้น แต่ถ้าคุณใส่เสื้อแดงและไม่ยอมเรียกร้องหยุดปรองดอง และความยุติธรรม ก็ไม่มีความหมายอะไรนอกจากเป็นขี้ข้าทักษิณ

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

จากตุลาการภิวัฒน์สู่ตุลาการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ (รัฐประหาร)


              เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมามีการเสวนาในหัวข้อ “จากตุลาการภิวัฒน์สู่ตุลาการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ (รัฐประหาร)” โดยมีวิทยากร ประกอบด้วย
        1. นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ปี 2540
       2.  นายพรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย นักวิชาการด้านนิติศาสตร์
       3.  นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักประวัติศาสตร์ และ
      4. นายปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี หนึ่งในผู้ก่อตั้งร้าน Book Re:public เป็นผู้ดำเนินรายการและกล่าวนำการเสวนาว่า

          เป็นหัวข้อที่มีคนสนใจอย่างยิ่งกับบทบาทของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ทำนบแห่งความอดทนของประชาชนที่มีต่อสถาบันตุลาการพังทลายลง ไม่ว่าจะเป็นการรับคำร้องของตัวแทน ส.ว. และ ส.ส. กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 การมีคำสั่งระงับยับยั้งการพิจารณาแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราว ตลอดจนการมีคำวินิจฉัยให้แก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา หรือหากจะแก้ทั้งฉบับก็ให้ลงประชามติ

           ทั้งหมดนำมาสู่คำถามว่าด้วยขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ความจำเป็นในการมีอยู่และอำนาจอธิปไตยยังเป็นของปวงชนชาวไทยหรือไม่ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นความคับข้องใจของยุคสมัยที่ต้องการคำตอบและทางออกอย่างเร่งด่วน

           “เหตุที่เรียกว่าเป็นฟางเส้นสุดท้ายเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ศาลรัฐธรรมนูญแสดงบทบาทที่อาจเรียกได้ว่าไม่ใช่บทบาทในการผดุงความยุติธรรมหรือพิทักษ์ประชาธิปไตย หากแต่เป็นบทบาททางการเมืองที่อาจทำให้เกิดความกังขาอย่างถ้วนทั่ว ศาลรัฐธรรมนูญไทยมีอายุไม่นานนัก แต่เป็นศาลรัฐธรรมนูญที่มีปัญหาและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ต้องเผชิญแรงต่อต้านภายในตั้งแต่เริ่มก่อตั้งในปี 2540 โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจที่ 4 ของสถาบันหลักในสังคมไทยหรือไม่”

เตรียมการล้มล้างบรรทัดฐานศาลรัฐธรรมนูญชุดก่อน

          นายพนัสกล่าวว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญ  ตัดสินใจเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา คิดว่าเป็นการตัดสินใจที่มีมูลเหตุทางการเมืองและเตรียมการมาแล้วตั้งแต่ต้น เห็นได้จากการรับคำร้องไว้พิจารณาทั้งที่ไม่เข้าข่ายตามมาตรา 68 ว่าการเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 จะเข้าข่ายการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยปรกติศาลยุติธรรมของไทยจะยึดถือบรรทัดฐานที่ศาลได้พิพากษาหรือวินิจฉัยคดีไว้ กรณีนี้มีบรรทัดฐานของศาลรัฐธรรมนูญชุดก่อนไว้ชัดเจน ตอนนั้นมีคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อกรณีที่มีการเสนอให้มีนายกรัฐมนตรีโดยอาศัยมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ หรือที่เรียกว่านายกฯพระราชทาน ซึ่งมีหัวหน้าพรรคท่านหนึ่งออกมาเสนอเรื่องนี้ ก็มีผู้ไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้นว่าข้อเสนอนี้เป็นการล้มล้างระบอบการปกครอง 

          สุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญก็ยกคำร้องนี้ เพราะวินิจฉัยว่าไม่เข้าข่ายมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญ 2540 และมาตรานี้เป็นต้นกำเนิดนำมาสู่มาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ 2550 ต่างตรงที่รัฐธรรมนูญ 2550 ทำให้การร้องเรียนต่อศาลรัฐธรรมนูญทำได้ง่ายขึ้น เพียงแค่ทราบเรื่องก็ร้องได้ ขณะที่รัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งผมได้ร่วมร่างในฐานะ ส.ส.ร. จะใช้คำว่า “รู้เห็น” หมายความว่าต้องมีพยานหลักฐานว่าจะมีการล้มล้างจึงจะเข้าข่าย

           การจะร้องเรียนใครตามมาตรา 68 จัดเป็นคำกล่าวหาขั้นอุกฉกรรจ์ เพราะการล้มล้างระบอบการปกครองก็คือกบฏ ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 โทษสูงสุดคือการประหารชีวิต ฉะนั้นโดยหลักกระบวนการพิจารณาคดีที่ชอบธรรม (Due process of law) ก่อนจะมีการฟ้องร้องต่อศาลซึ่งจะไปกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของผู้ฟ้องร้องนั้นต้องมีการสอบสวนตามกระบวนการ ซึ่งกฎหมายก็เขียนไว้เพื่อให้มีการสอบสวนอย่างรอบคอบ เพื่อเป็นหลักประกันคุ้มครองผู้ที่ถูกกล่าวหา

           อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญปัจจุบันกลับตีความกฎหมายนี้โดยอาศัยการตีความจากตัวหนังสือว่าเป็นสิทธิของผู้ร้องที่จะไปยื่นต่ออัยการสูงสุด หรือจะร้องต่อศาลโดยตรงก็ได้ ซึ่งผมเห็นว่ามีความไม่ชอบมาพากลอย่างยิ่ง เพราะมีเหตุจูงใจทางการเมืองที่เรารู้อยู่ว่าฝ่ายที่ต้องการไม่ให้มีการแก้รัฐธรรมนูญมีทั้งหมด 5 ราย ได้แก่ ส.ส.ฝ่ายค้าน ส.ว.สรรหา และผู้ที่เคยเป็น ส.ว.สรรหา ซึ่งก็คือผู้ที่ได้รับประโยชน์จากรัฐธรรมนูญ 2550 และถ้าไปศึกษาให้ดีจะพบว่าผู้ที่ดำรงตำแหน่งในองค์กรต่างๆ โดยเฉพาะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระต่างๆ ล้วนเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งและเข้าสู่ตำแหน่งอันเนื่องมาจากการทำรัฐประหาร 2549 ทั้งสิ้น

คำวินิจฉัยเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน ปกป้องฐานอำนาจรัฐประหาร

          นายพนัสกล่าวว่า แน่นอนว่าหากมีการเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ย่อมจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างขององค์กรอิสระ รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญด้วย ผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆที่แต่งตั้งโดย คมช. ก็จะหลุดออกไปทั้งหมด ซึ่งบุคคลที่มาร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญจึงมีส่วนได้เสีย และสำคัญที่สุดตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็เกิดมาจากการทำรัฐประหาร 2549 ถ้าหากวิเคราะห์ให้ชัดเจนจะเห็นว่าเป็นการต่อสู้เพื่อรักษาอำนาจ โดยเฉพาะอำนาจรัฐประหาร ได้นำมาสถาปนาในรัฐธรรมนูญ 2550 โดยเฉพาะเจตนาของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ต้องการให้มีโครงสร้างลักษณะนี้ เพื่อทำให้การปกครองโดยระบอบรัฐสภาและการบริหารคณะรัฐมนตรีมีความอ่อนแอ เพราะจะโดนขนาบด้วยศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระต่างๆเหล่านี้ รวมทั้งศาลปกครอง ผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งทุกคนออกมาสนับสนุนการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ทั้งสิ้น

         สิ่งที่เขาหวังผลคือหากล้มรัฐบาลนี้ได้อาจมีโอกาสมีรัฐบาลที่มาจากกลุ่มอำนาจฝ่ายเดียวกัน กล่าวคือ ให้ศาลรัฐธรรมนูญทำรัฐประหาร ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่าที่ไม่เป็นไปแบบนั้นเพราะมีเสียงคัดค้านต่อต้านอย่างรุนแรง ทำให้บรรดาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเกิดความลังเล โดยเฉพาะคนที่เป็นตัวจักรสำคัญของศาลรัฐธรรมนูญคือ คุณจรัญ ภักดีธนากุล ได้ถอนตัวจากการพิจารณา ต่อมาก็มีตุลาการอีก 3 ท่านขอถอนตัว นับเป็นเรื่องประหลาด เพราะปรกติถ้าผู้พิพากษาจะถอนตัวจะไม่มีการลงมติไม่ให้ถอนตัว เพราะเป็นเอกสิทธิและมารยาทของตุลาการแต่ละท่าน


         “ในเมื่อตัวเองรู้สึกว่ามีส่วนได้เสีย หรือไปแสดงอะไรไว้ที่ทำให้เห็นชัดเจนว่าการพิจารณาของตัวเองจะทำให้เกิดความไม่เที่ยงธรรมชอบได้อย่างแท้จริง โดยหลักและมารยาทของตุลาการก็ต้องขอถอนตัวตั้งแต่แรก ไม่ต้องรอให้ใครมาคัดค้าน    อย่างของคุณจรัญต้องถือว่าเป็นการฉีกหน้ากลางศาล แต่คนอื่นทำทีว่าขอถอนตัว แล้วมาลงมติกันว่าไม่ให้มีการถอน อันนี้เหมือนการเล่นละครตบตาชาวบ้านเท่านั้นเอง ดังนั้น พฤติกรรมทั้งหมดที่แสดงออกมา รวมถึงบทบาทและคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2555 ที่มีการสถาปนาตัวเองเป็นผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญ โดยอ้างคำในมาตรา 68 สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญของประชาชนคนไทย ถ้าใครจะมาล้มล้างรัฐธรรมนูญ ถ้าท่านไม่เห็นด้วยก็หมายความว่าท่านมีอำนาจในการตรวจสอบ เพราะฉะนั้นคำวินิจฉัยที่ออกมาจึงพิลึกพิลั่นมาก”


ตุลาการพิทักษ์การรัฐประหาร

            นายพนัสตั้งข้อสังเกตคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่า ได้กำหนดประเด็นวินิจฉัยไว้ 4 ประเด็น ในข้อวินิจฉัยที่ 1 ศาลได้เห็นชอบ 7 ต่อ 1 บอกว่ามีอำนาจที่จะรับพิจารณาคำร้องโดยอ้างฐานะความเป็นผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญโดยอิงกับสิทธิของประชาชน จึงมีสิทธิเข้าไปตรวจสอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าจะเป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่ ซึ่งถ้าคนที่ไม่เข้าใจเรื่องกฎหมายลึกซึ้ง หรือมีใจโน้มเอียงอยู่แล้ว จะคิดว่าเป็นเหตุเป็นผลที่ดูดีมาก

            แต่แท้ที่จริงแล้วคือผลประโยชน์ของทุกคน ทั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ยื่นคำร้องทั้งหมด จึงเป็นชื่อของวงคุยในวันนี้ว่า “ตุลาการภิวัตน์” สู่ “ตุลาการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ” แต่อันที่จริงต้องวงเล็บไว้ว่าท่าน “พิทักษ์การรัฐประหาร” มากกว่า เพราะรัฐธรรมนูญ 2550 แท้ที่จริงแล้วคือการรับรองความถูกต้องและชอบด้วยรัฐธรรมนูญของผลพวงและบุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้อง มีส่วนร่วม หรือรับผลประโยชน์ หรือจากการทำรัฐประหาร 2549 นั่นเอง การที่ท่านบอกว่าเป็นผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ขณะที่รัฐธรรมนูญนี้เป็นตัวแทนของอำนาจที่เกิดจากการรัฐประหาร 2549 ดังนั้น ตอนนี้สมควรจะเปลี่ยนชื่อเป็นตุลาการพิทักษ์การรัฐประหารได้


           นายพนัสกล่าวถึงที่มาของคำว่าตุลาการภิวัฒน์ในเมืองไทย โดยระบุจุดเริ่มต้นจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญชุดก่อนมีคำสั่งให้การเลือกตั้งเมื่อปี 2548 เป็นโมฆะ ด้วยเหตุผลที่ กกต. ชุดนายวาสนา เพิ่มลาภ เป็นประธาน ได้เปลี่ยนรูปแบบของคูหาใหม่ อย่างไรก็ดี แนะนำให้กลับไปดูจุดเริ่มต้นของการอภิวัฒน์ในวันที่ 28 เมษายน 2548 ซึ่งในหลวงทรงมีพระราชดำรัสกับตุลาการศาลปกครองและผู้พิพากษาศาลยุติธรรมที่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ โดยผลจากพระราชดำรัสคราวนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าศาลรัฐธรรมนูญรับมาว่าเป็นหน้าที่ของศาลที่ต้องจัดการปัญหาของบ้านเมือง

            เมื่อศาลรัฐธรรมนูญรับและตัดสินว่าการเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะ ปรากฏว่ายังไม่ชัดเจน ศาลปกครองจึงตามพิพากษาซ้ำว่าเป็นความผิดของ กกต. ชุดดังกล่าว โดยขณะนี้ กกต. กำลังประสบวิบากกรรมจากผลของตุลาการภิวัตน์ คือรอคำตัดสินจากศาลฎีกา ซึ่งทั้ง 2 ศาลที่ผ่านมาก็ตัดสินจำคุก สำหรับการบัญญัติศัพท์นี้ยังไม่มีการระบุอย่างเป็นทางการว่านายธีรยุทธ บุญมี เป็นผู้คิดคำนี้ขึ้นมา ขณะที่คนที่ออกมาให้ความคิดเห็นสนับสนุนและย้ำว่าตุลาการภิวัฒน์ซึ่งเกิดจากอัจฉริยภาพแท้จริงทางกฎหมายของในหลวงคือ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ และนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ซึ่งสามารถอ่านบทความดังกล่าวได้ในเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

   

คำวินิจฉัยทิ้งหลักนิติรัฐ-ประชาธิปไตย

           นายพรสันต์กล่าวว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเหมือนจะเป็นคำวินิจฉัยที่ลดอุณหภูมิทางการเมืองพอสมควร เนื่องจากศาลมีคำวินิจฉัยไปแล้วว่ากระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภาไม่ได้เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแน่นอน ทำให้พรรคการเมืองหลายพรรคไม่ถูกยุบตามมาตรา 68 แต่ถ้าพิจารณาคำวินิฉัยให้ดีจะเห็นได้ว่ามีปัญหาในเชิงหลักการ ซึ่งกระทบกับระบบกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศโดยองค์รวม ส่วนตัวมีความกังวลค่อนข้างมาก เพราะคำวินิจฉัยครั้งนี้จะนำไปสู่ปัญหาทางการเมืองในอนาคต

         เพราะท่ามกลางทิศทางของสังคมที่มีการเรียกร้องให้เป็นประชาธิปไตย ฉะนั้นเมื่อมีการพูดถึงความเป็นประชาธิปไตย หลักการที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลยคือหลักนิติรัฐ เนื่องจากทั้งคู่มีวัตถุประสงค์เดียวกันในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ เป็นเสาหลักที่ค้ำยันซึ่งกันและกัน ถ้าหลักการใดถูกทำลายไป อีกหลักการหนึ่งจะอยู่ไม่ได้ ถ้าเราพูดถึงประชาธิปไตย เราต้องให้ความสำคัญกับนิติรัฐด้วย

          นิติรัฐคือแนวคิดที่ยึดกฎหมายเป็นใหญ่ ปกครองโดยกฎหมาย ซึ่งกฎหมายในที่นี้หมายถึงรัฐธรรมนูญ ฉะนั้นการกระทำใดๆก็แล้วแต่ต้องยึดรัฐธรรมนูญเป็นหลัก โดยที่ตัวรัฐธรรมนูญมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการใช้อำนาจของรัฐ ซึ่งหลายคนอาจคิดว่าหมายถึงอำนาจของรัฐบาล เพราะให้ความรู้สึกโน้มเอียงไปทางฝ่ายบริหาร ความคิดแบบนี้ก็ถูกต้องในส่วนหนึ่ง แต่ในเชิงหลักการของนิติรัฐ หลักเกณฑ์ที่ถูกบรรจุในตัวรัฐธรรมนูญไม่ได้ควบคุมอำนาจของฝ่ายบริหารเพียงอย่างเดียว หากแต่เข้าไปควบคุมอำนาจทั้งหมด หมายความว่าอำนาจรัฐหมายถึง 1.อำนาจในการตราตัวบทกฎหมาย 2.อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน 3.อำนาจในการพิจารณาคดีความต่างๆ

          “ฉะนั้นหลักนิติรัฐที่ผ่านตัวรัฐธรรมนูญจะเข้าไปควบคุมการใช้อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ คนทั่วไปจะคิดว่าตัวรัฐธรรมนูญเข้าไปควบคุมกำกับการใช้อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติและคณะรัฐมนตรีที่ใช้โดยนักการเมือง แต่ในสายตาของกฎหมายจะมองว่าใครก็แล้วแต่ที่ถืออำนาจรัฐ รัฐธรรมนูญต้องควบคุมทั้งหมด เพราะอำนาจรัฐอาจกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ ประเด็นคือว่าวิธีการควบคุมหลักนิติรัฐโดยผ่านรัฐธรรมนูญทำอย่างไร คำตอบคือผ่านหลักการหนึ่งที่เรียกว่าหลักความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือหลักความชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งอยู่บนหลักการที่เรียกว่า “ไม่มีกฎหมายไม่มีอำนาจ” หมายความว่าการกระทำใดๆต้องมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายรองรับหรือให้อำนาจ ซึ่งในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไทยไม่มีมาตราใดที่ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญเข้าไปสำรวจ ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เมื่อไม่มีการเขียนไว้ย่อมหมายความว่าโดยหลักแล้วศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจ แต่เมื่อศาลใช้อำนาจของตัวเองเข้าไปตรวจสอบจึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและหลักนิติรัฐ”

“ระบบศาลคู่” ห้ามก้าวล่วงขอบเขตอำนาจตามรัฐธรรมนูญ
          นายพรสันต์กล่าวว่า หากไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ เป็นไปได้หรือไม่ที่ศาลจะมีอำนาจในการตรวจสอบ ซึ่งอาจจะมีได้ โดยต้องขึ้นกับระบบของศาลในแต่ละประเทศว่าใช้แบบไหน ซึ่งระบบศาลทั่วโลกมี 2 ระบบคือ ระบบศาลเดี่ยว ซึ่งมีศาลยุติธรรมศาลเดียว มีอำนาจในการวินิจฉัยคดีทุกประเภท เช่น สหรัฐอเมริกา และระบบศาลคู่ ประกอบด้วย ศาลยุติธรรม และศาลเฉพาะหรือศาลชำนาญการพิเศษ ในระบบศาลเดี่ยวมีความเป็นไปได้ แม้ว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดให้ศาลเข้าไปตรวจสอบการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพราะไม่มีศาลเฉพาะ แต่ในประเทศไทยใช้ระบบศาลคู่ จึงต้องเป็นคดีเฉพาะจริงๆ โดยที่รัฐธรรมนูญมีการกำหนดไว้ว่าคดีประเภทไหนจะพิจารณาในศาลเฉพาะได้ ดังนั้น เมื่อมองในเชิงหลักการเบื้องต้น หลักนิติรัฐหรือระบบโครงสร้างของศาลจึงยังไม่เห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญของไทยจะมีช่องทางเข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้ได้

          อีกประเด็นหนึ่งที่อยากให้คิดทบทวนคือ ทฤษฎีข้อพิพาททางการเมือง เป็นหลักการและเป็นทฤษฎีหนึ่งที่เข้าไปควบคุมอำนาจขององค์กรตุลาการไม่ให้ล้ำเส้นเขตแดนของฝ่ายการเมือง กล่าวคือ ในระบบกฎหมายจะมีการกำหนดอย่างชัดเจนว่าอะไรคือเขตแดนทางการเมืองหรือกิจกรรมทางการเมือง ถ้ามีเรื่องเกิดขึ้นก็ให้ใช้กลไกทางการเมืองเข้าไปตรวจสอบกันเอง กับอีกเขตแดนทางกฎหมายที่จะใช้องค์กรตุลาการหรือตัวระบบกฎหมายเข้าไปตรวจสอบ

มีสิทธิระงับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เปลี่ยนรูปแบบรัฐและการปกครอง

           นายพรสันต์ย้ำว่า เราต้องพิจารณาถึงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าเป็นประเด็นข้อพิพาททางการเมืองหรือไม่ สำหรับผมถือว่าเป็นเรื่องทางการเมือง เพราะข้อพิพาททางการเมืองหมายถึงกิจกรรมที่นักการเมืองใช้กัน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติ โดยหลักการฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่หรือกิจกรรมทางการเมืองคือ การตราประมวลกฎหมาย การแก้ไขตัวบทกฎหมาย ซึ่งรวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย ศาลจึงไม่สามารถเข้ามาสำรวจตรวจสอบได้

            อย่างไรก็ตาม นักกฎหมายบางท่านมักโต้แย้งกลับมาว่าการที่ศาลเข้ามาตรวจสอบคือเรื่องปรกติ เพราะมีการตราตัวบทกฎหมาย เช่น พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ก่อนประกาศใช้จะมีการตรวจสอบความชอบของรัฐธรรมนูญโดยศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ใช่เรื่องปรกติ เพราะเราอนุญาตให้ศาลเข้ามาตรวจสอบก็ต่อเมื่อกำลังจะประกาศใช้ จุดที่แตกต่างจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้คือรัฐสภากำลังดำเนินการพิจารณาในวาระที่ 2 กำลังจะไปสู่วาระที่ 3 แต่ปรากฏว่ามีคนไปร้องเรียนแล้วศาลสั่งระงับยับยั้งเอาไว้ ซึ่งจะเห็นว่ากิจกรรมของฝ่ายการเมืองยังไม่เสร็จกระบวนการ

          นักวิชาการด้านกฎหมายรายเดิมสรุปประเด็นว่า การที่ศาลรับคดีไว้โดยอาศัยมาตรา 68 คำถามมีอยู่ว่าถูกต้องตามหลักการหรือไม่ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต้องพิจารณามาตรา 291 ซึ่งเป็นบทบัญญัติเฉพาะที่รัฐธรรมนูญเขียนเอาไว้เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าใช้สามัญสำนึกง่ายๆ การตรวจสอบการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญก็ต้องนำมาตราที่พูดถึงการแก้ไขมาพิจารณาเท่านั้น แต่มาตรา 68 ไม่ได้พูดถึง ยิ่งไปกว่านั้นในมาตรา 291 เขียนว่าสามารถเสนอญัตติเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ โดยมีข้อห้าม 2 ข้อ ได้แก่ 1.ห้ามแก้ไขเรื่องรูปแบบของรัฐ คือห้ามเสนอเปลี่ยนแปลงเป็นสหพันธรัฐ และ 2.ห้ามเสนอเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง

        ดังนั้น หากศาลจะเข้ามาตรวจสอบก็มีเงื่อนไขเพียง 2 ประการนี้เท่านั้น โดยมาตรา 68 และมาตรา 291 เขียนเพื่อใช้ในกรณีที่แตกต่างกัน แต่การยกมาตราที่ไม่ได้เขียนไว้เพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งมีเจตนารมณ์คนละอย่างมาจับกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จึงทำให้ระบบกฎหมายรัฐธรรมนูญไทยผิดเพี้ยนไป ซึ่งจะส่งผลต่อการใช้อำนาจของสถาบันการเมือง

ตีความผิดกระทบระบบกฎหมายในระยะยาว

          นายพรสันต์กล่าวว่า สมมุติว่ามาตรา 68 เอามาใช้เพื่อตรวจสอบการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ ก็ยังผิดขั้นตอนอยู่ดี ซึ่งนายพนัสได้นำเสนอไปแล้วว่าต้องยื่นผ่านอัยการสูงสุดก่อน เจตนารมณ์ของมาตรา 68 คือการป้องกันระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเอาแบบอย่างจากประเทศเยอรมนีมาใช้ การจะใช้มาตรานี้ต้องใช้กับกรณีที่มีความร้ายแรงมาก หรือเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงมาก เพราะเมื่อตัดสินว่าผิดจะอยู่ในฐานะกบฏตามมาตรา 133 ดังนั้น จึงกำหนดให้มีองค์กรเข้ามาตรวจสอบและคัดกรองก่อน

          ที่สำคัญถ้าปล่อยให้คนมายื่นคำร้องต่อศาลโดยตรง ศาลก็ไม่ต้องทำอะไร เพราะศาลรัฐธรรมนูญมีเพียงชั้นเดียว ไม่สามารถยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาใดๆต่อได้ ซึ่งรัฐธรรมนูญอนุญาตให้ประชาชนมายื่นคำร้องต่อศาลได้โดยตรงเพียงกรณีเดียวเท่านั้นคือ มาตรา 212 ซึ่งถ้าอ่านรายละเอียดจะพบว่าการที่ประชาชนจะมาใช้สิทธิได้ก็ต่อเมื่อไม่สามารถไปใช้สิทธิเรียกร้องกับองค์กรอื่นๆได้แล้ว นี่คือการลดภาระของศาลรัฐธรรมนูญ ฉะนั้นเราจะเห็นว่าเจตนารมณ์ของกฎหมายชัดเจน คือไม่ให้ประชาชนมายื่นโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้

           “เมื่อดูคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ศาลขยายความว่ามาตรา 68 เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถยื่นคำร้องได้ 2 ทางคือ 1.อัยการสูงสุด 2.ยื่นโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ
            ศาลให้เหตุผลในการวินิจฉัยที่ดูประหนึ่งว่าเป็นไปตามหลักการและเป็นการตีความเพื่อขยายสิทธิของประชาชน เพราะถ้าปล่อยให้ยื่นที่อัยการสูงสุดเพียงอย่างเดียวเท่ากับการตัดสิทธิ ดังนั้น ต้องเป็นการตีความเพื่อขยายสิทธิ โดยหลักการก็ใช่ แต่เป็นการตีความที่ผิดบริบท การตีความของศาลแบบนี้ส่งผลให้ระบบกฎหมายรัฐธรรมนูญรวนอย่างน้อย 2 ประการคือ 1.กรณีอัยการกับศาลรัฐธรรมนูญมีความเห็นตรงกันว่าเป็นการล้มล้างหรือไม่ก็ตาม จะเห็นว่า 2 องค์กรนี้ทำงานทับซ้อนของการใช้อำนาจหน้าที่เดียวกัน 2.กรณีที่ 2 องค์กรมีความเห็นแตกต่างกัน ศาลเห็นว่าผิดจริง เป็นการล้มล้างการปกครอง ขณะที่อัยการสูงสุดเห็นว่าไม่มีความผิด ดังนั้น การตีความของศาลรัฐธรรมนูญแบบนี้จะทำให้เกิดความขัดแย้ง” ดร.พรสันต์กล่าวทิ้งท้าย

ศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่รักษาดุลอำนาจของชนชั้นนำ

           นายนิธิกล่าวว่า นักกฎหมายก็เหมือนนักประวัติศาสตร์ หมอที่มีความสัมพันธ์กับคนในวงการของเขา และมีคนที่เขาต้องไว้หน้าตัวเอง การที่ศาลรัฐธรรมนูญกระทำโดยอ้างมาตรา 68 มาระงับไม่ให้รัฐสภาพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 คนเหล่านี้ก็รู้ว่าไม่ได้เรื่อง และมีหน้าตาที่ต้องรักษาไว้ต่อคนในวงการเดียวกับเขาพอสมควร ถามว่าทำไมถึงทำ คำตอบมีอยู่ว่าเราอย่าไปคิดถึงศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งมีจินตนาการถึงการสร้างองค์กรที่เป็นอิสระให้คานอำนาจกันและกัน แต่ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2550 และสภาวการณ์การเมืองปัจจุบันคือการต่อสู้ของกลุ่มชนชั้นตามจารีตประเพณี ซึ่งรวมคนหลายกลุ่มหลายพวกที่จะรักษาการเปลี่ยนผ่านของสังคมไทย โดยให้มีดุลอำนาจเหนือฝ่ายประชาชนที่อาศัยกลไกการเลือกตั้งมาเป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาดหรือมีอำนาจเหนือแต่เพียงผู้เดียว คือฝ่ายชนชั้นนำตามจารีตในกลุ่มต่างๆต้องเจรจาต่อรองกันในทุกเรื่อง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญกำลังทำหน้าที่รักษาเครือข่ายหรือกลไกอำนาจของกลุ่มชนชั้นนำตามจารีตประเพณีเอาไว้

            เมื่อกลับมาดูเรื่องชนชั้นนำทางจารีตประเพณี โดยเฉพาะต่อประเด็นเรื่อง Network monarchy หรือสถาบันกษัตริย์เชิงเครือข่าย ที่ Duncan McCargo ได้นำเสนอไว้ในบทความ ซึ่งผมได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนกับผู้เขียนว่าไม่ได้เป็นไปอย่างที่หลายคนเข้าใจว่าสถาบันกษัตริย์เชิงเครือข่ายในประเทศไทยนั้นมีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลางและสั่งให้ผู้คนทำสิ่งต่างๆ กลับพบว่าในเครือข่ายนี้เองต่างประกอบด้วยนายทุน ข้าราชการ นักวิชาการ เป็นต้น ซึ่งต้องมีการแข่งขันกัน หรือขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างกันอยู่ตลอดเวลา หรือจะเห็นว่าคนที่เข้าไปอยู่ในเครือข่ายนั้นไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ของพระมหากษัตริย์หรือประโยชน์ของกลุ่มอื่นๆเป็นสำคัญ หากแต่เห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองเพื่อที่จะบรรลุผลได้เร็วที่สุดหรือง่ายที่สุด อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่น่าสนใจว่าทำไมเครือข่ายนี้แม้ไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตลอดเวลา แต่ยังสามารถดำรงอยู่และผลักดันสิ่งต่างๆได้ ดังนั้น ต้องมองความสัมพันธ์ของคนในเครือข่ายนี้ที่มีความยุ่งเหยิงภายใน เพราะถ้ามองว่าทุกคนพร้อมที่จะกราบและทำตามจะเข้าใจสิ่งนี้ไม่ได้

            “ขณะที่ฝ่ายชนชั้นนำตามประเพณีก็พบทิศทางที่น่าตกใจ กล่าวคือ ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านมาสู่การตัดสินใจของคนหน้าแปลกๆ อย่างพวกเสื้อแดงทั้งหลาย หรือคนบ้านนอกที่ไม่เคยอยู่ในวงการเมืองหรือมีส่วนในการตัดสินใจมาก่อน คนธรรมดาอย่างพวกเราต่างหากที่เป็นผู้จัดรัฐบาล กรณีอย่างคุณบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่กล้าตั้งคุณเนวินเป็นรัฐมนตรี ถามว่าใครเป็นคนสั่งคุณบรรหาร คำตอบพวกคือพวกข้าราชการ อาจารย์ในมหาวิทยาลัย หรือคนกลุ่มเดิมที่เป็นคนกำกับรัฐบาล บัดนี้มีคนแปลกหน้าจำนวนมหาศาลที่เข้ามาแล้วอ้างสิทธิของตัวในการลงคะแนนเลือกตั้ง ถามว่าคนชนชั้นนำกลุ่มเดิมจะยอมตามด้วยหรือไม่ คำตอบคือไม่ เพราะเขาต้องการทำให้อำนาจการต่อรองทางการเมืองมีพลัง โดยอาศัยรัฐธรรมนูญปี 2550 ฉะนั้นการกระทำของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่ใช่การกระทำอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าหรือทำด้วยความโง่เขลา”

          นายนิธิกล่าวเสริมว่า เคยสงสัยหรือแปลกใจกันไหมว่าตอนที่รัฐบาลเอาร่าง พ.ร.บ.ปรองดองเข้าสภา กลุ่มที่คัดค้านคือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มที่ถืออำนาจอยู่ในโครงสร้างการเมืองการปกครองที่ไม่เคยออกมาเคลื่อนไหว แต่ชนชั้นนำทางจารีตประเพณีไม่ได้ขยับอะไรเลย ซึ่งต่างกับกรณีการแก้รัฐธรรมนูญ แสดงว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นเครื่องมือสำคัญยิ่งกว่าการไม่มีทักษิณ หมายความว่าเขาสามารถจัดการและควบคุมทักษิณได้ตราบเท่าที่มีรัฐธรรมนูญฉบับนี้อยู่ในมือ

           อย่างที่ทราบกันว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 เขียนขึ้นโดยตั้งใจให้กลุ่มชนชั้นนำตามจารีตเข้ามาแทรกแซงโดยตลอด ต้องมีวุฒิสภาครึ่งหนึ่งมาจากการแต่งตั้ง ต้องให้อำนาจแก่ตุลาการ ศาลฎีกาจำนวนหนึ่งในการเป็นผู้ตั้งองค์กรอิสระ ต้องมีองค์กรอิสระที่มาจากการแต่งตั้งจำนวนหนึ่งมากพอสมควร ดังนั้น ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาลก็จะถูกแวดล้อมด้วยมือและตีนของกลุ่มชนชั้นนำตามจารีตคอยขนาบข้าง ดังนั้น อย่างน้อยในช่วงนี้คงยังแตะรัฐธรรมนูญ 2550 ไม่ได้ ยกเว้นว่าจะต่อรองกันเป็นเรื่องๆ และตราบใดที่ยังอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2550 หากฝ่ายชนชั้นนำไม่เห็นด้วยก็จะไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญในลักษณะเดียวกันนี้อีก

          “ไม่ว่าจะเป็นคุณทักษิณหรือเชื้อสายของทักษิณ หรือใครก็ตามที่เป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ไม่ใช่รัฐบาลในค่ายทหารหรือกองทัพ รัฐบาลมีฐานความชอบธรรมคือคะแนนเสียงของประชาชนที่เป็นอิสระจากชนชั้นนำตามตารีต ซึ่งพร้อมจะแข็งข้อได้เสมอ ฉะนั้นไม่ใช่ว่าเขา (ชนชั้นนำ) จะกลัวหรือเพ่งเล็งคุณทักษิณอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปัตย์ หรือถ้าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยมากกว่านี้เขาก็กลัว แต่เผอิญว่ายังไม่เป็นเลยไม่กลัว ด้วยเหตุนี้จึงคิดว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 มีไว้เพื่อกำกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง”

รัฐประหารโดยศาล

           นายนิธิกล่าวว่า หากมองคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในแง่ดีคืออย่างน้อยที่สุดเขาไม่ได้ใช้วิธีการรัฐประหารด้วยวิธีที่เคยทำมาแล้ว ซึ่งการทำรัฐประหารในเมืองไทยต้องใช้กำลังอย่างน้อย 3 ส่วนคือ ม็อบ กองทัพ และพระบรมราชานุญาต

        1.พบว่าปัญหาในเวลานี้คือสร้างม็อบที่มีพลังแบบเมื่อก่อนไม่ได้ เช่น เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ถูกผลักออกไปจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กำลังพันธมิตรฯก็ลดน้อยลง จึงปลุกเรื่องเขมร เรื่องพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งไม่สำเร็จสักเรื่อง เมื่อไม่มีมวลชนมากพอสนับสนุน ดังนั้น จึงทำรัฐประหารด้วยกำลังทหารไม่ได้


         2.กองทัพ ต้องเข้าใจว่ากองทัพเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นนำทางจารีต ขณะเดียวกันก็ต้องการความเป็นอิสระเหมือนศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งประสบความสำเร็จในการออก พ.ร.บ.กลาโหมในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นั่นหมายความตอนนี้ไม่มีใครสามารถเข้าไปแทรกแซงการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงได้อีกนอกจากกองทัพด้วยกันเอง และตอนนี้กองทัพพอใจกับอำนาจอิสระของตนเองอย่างมาก นอกจากนี้ยังต้องการงบประมาณเพิ่มขึ้นตามคำขอทุกปี ซึ่งจะเห็นว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่ได้ปฏิบัติอะไรต่อกองทัพที่มีความแตกต่างจากรัฐบาลประชาธิปัตย์ เมื่อกองทัพร้องขออะไรมาก็ให้หมดทุกอย่าง ดังนั้น ตราบเท่าที่มีรัฐธรรมนูญปี 2550 กองทัพไว้วางใจได้ว่าจะได้สิ่งที่ต้องการจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความคุ้มที่จะเอารถถังออกมายึดอำนาจ

         “อย่ามองว่ากองทัพเป็นเครื่องมือของคนใดคนหนึ่ง เพราะเขาก็เป็นเครื่องมือของตัวเอง และย่อมทำอะไรเพื่อประโยชน์ของตัวเองก่อนคนที่จะใช้เครื่องมือ ตั้งแต่คุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับรัฐบาลราบรื่นและดีขึ้นตลอดเวลา”

          3.การรัฐประหารตั้งแต่หลัง 14 ตุลาคมเป็นต้นมาต้องได้รับพระบรมราชานุญาต ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความหลังจากการยึดอำนาจแล้วต้องได้ approval (พระบรมราชานุญาต) เช่น การเปิดโอกาสให้เข้าเฝ้าฯ ดังนั้น ทั้ง 3 ส่วนถ้าไม่ได้รับการร่วมมือตั้งแต่ต้น การทำรัฐประหารด้วยกำลังของกองทัพจะไม่เกิดขึ้น ซึ่งยังไม่ใช่จังหวะของช่วงนี้ จึงจำเป็นต้องระงับการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 โดยวิธีอื่น ซึ่งไม่รู้ว่าใครสั่งการใคร แต่ทิศทางต้องไปแบบนี้

          “รัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นรัฐธรรมนูญที่สร้างสมดุลทางการเมืองที่กล่าวไปแล้วที่ปลอดภัย และเขาคิดว่ายุติธรรมพอสมควร เมื่อคุณมีอำนาจมากขึ้นก็เข้ามาเลือกตั้ง แต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต้องอยู่ในการกำกับบ้าง ไม่ได้ปล่อยให้อิสระ ดังนั้น ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมีความซับซ้อนมากกว่าความผิดถูกทางกฎหมายและความหน้าด้านของคนไม่กี่คน”

           อย่างไรก็ดี เชื่อว่ามีประชาชนจำนวนมากกว่าคนเสื้อแดงและไม่ได้เลือกพรรคเพื่อไทยที่ต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่กระนั้นคนกลุ่มนี้ยังไม่สามารถเป็นผู้นำในการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ เนื่องจากไม่มีเครื่องมือ เช่น พรรคการเมือง และการเคลื่อนไหวของประชาชนที่อาจารย์พนัสอธิบายว่าตัวศาลเองก็เปลี่ยนใจหลังจากเห็นการเคลื่อนไหวของประชาชนจำนวนมาก แต่การเคลื่อนไหวอย่างเดียวแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้

คนเสื้อแดงขาดอำนาจต่อรองกับพรรคเพื่อไทย

         สำหรับความเป็นไปได้ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคตนั้น นายนิธิกล่าวว่า คิดว่าเป็นความยากที่ต้องอาศัยขั้นตอนอย่างมาก มีเอ็นจีโอกลุ่มหนึ่งเคยคิดว่าต้องตั้งพรรคการเมืองของตัวเอง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะพรรคการเมืองไม่สามารถเกิดขึ้นด้วยอุดมการณ์เพียงอย่างเดียว คำถามต่อไปคือคนเสื้อแดงจะจัดองค์กรของตัวเองในลักษณะที่จะเข้าไปต่อรองกับพรรคการเมืองได้หรือไม่ คิดว่าไม่ได้เช่นกัน จากงานวิจัยของนายปิ่นแก้วพบว่าแกนนำของกลุ่มเสื้อแดงที่ฝางมีบางคนเชื่อมโยงถึงแกนนำระดับส่วนกลาง ฉะนั้นจึงมีองค์กรย่อยๆของเสื้อแดงที่ไม่ได้เชื่อมโยงกันเอง ซึ่งหมายความว่าเป็นการให้อำนาจกับคนที่อยู่แกนกลาง

        “ไม่ได้หมายความคนเหล่านั้นเป็นคนไม่ดี ผมไม่รู้ แต่แกนกลางเหล่านี้มีผลประโยชน์ส่วนตัวที่ต้องรักษา และไม่สามารถตอบสนองทุกอย่างของเสื้อแดงได้ ขณะเดียวกันเสื้อแดงแต่ละกลุ่มก็เล็กเกินที่จะบังคับแกนนำตรงกลางได้ เมื่อเป็นเช่นนี้กลไกการควบคุมพรรค หรือการจัดองค์กรในลักษณะแบบนี้ทำให้เสื้อแดงไม่มีอำนาจต่อรองในการดำเนินนโยบายของพรรคหรือแม้กระทั่งกลุ่มอย่างเพียงพอ ได้แต่สวมเสื้อแดงออกไปตามที่แกนนำระดับประเทศเรียกร้องเท่านั้น”


         นายนิธิกล่าวว่า ลองนึกเปรียบเทียบการชุมนุมไม่ว่าจะเป็นเสื้อเหลือง เสื้อแดง กับสมัชชาคนจน เป็นคนละเรื่อง ซึ่งสมัชชาคนจนเป็นองค์กรระดับแนวราบ จะมี “พ่อครัว” ซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มย่อยเหล่านี้มาประชุมกันทุกวัน เพื่อตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไป ถามว่าการเข้าไปจัดการเปลี่ยนองค์กรเหล่านี้เพื่อต่อรองเชิงนโยบายในระดับที่ใหญ่กว่า ไม่ว่าจะเป็นระดับของเสื้อแดง หรือพรรคการเมืองที่เสื้อแดงสนับสนุนก็ตาม คิดว่าในอนาคตอันใกล้ยังทำไม่ได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่พอจะทำได้คือเสื้อแดงทั้งประเทศเรียกร้องสิ่งเดียวกันคือต้องการ primary vote

primary vote ดึงอำนาจคืนมาจากพรรคการเมือง

           “คุณทักษิณเคยสัญญาในช่วงปลายการดำรงตำแหน่งว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้าสำหรับพรรคไทยรักไทยทั้งหมด ซึ่งคิดว่าเป็นเรื่องดี ถ้าพรรคเพื่อไทยจะได้รับการหนุนจากเสื้อแดงต่อไปต้องยอมให้ประชาชนเป็นผู้เลือกผู้สมัครในแต่ละเขตเอง เพราะฉะนั้นถ้ามีเป้าหมายเดียวกันในการเล่นการเมือง อย่าคิดเรื่องการตั้งพรรคการเมืองหรือจัดองค์กรที่จะคุมพรรคการเมืองได้ ต้องขอขั้นแรกให้พรรคเพื่อไทยยอมจัดเลือกตั้งล่วงหน้าในหมู่สมาชิกพรรคที่จะส่งใครในแต่ละเขตเข้าสมัคร ส.ส. ก่อน เพียงแค่นี้จะพบว่าอำนาจในการควบคุม ส.ส. จะกลับมาอยู่ในมือของเราอย่างชัดเจน”

            นายนิธิกล่าวทิ้งท้ายว่า ทรรศนะส่วนตัวมองว่าการอภิปรายเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในสภาเป็นเรื่องปาหี่ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล น่าประหลาดใจเมื่อช่วงแรกที่รองประธานรัฐสภามาทำหน้าที่ประธานก็มี ส.ส.ประชาธิปัตย์เสนอญัตติว่าเราพูดกันได้แต่ห้ามมีการโหวต แล้วสมาชิกพรรคเพื่อไทยทั้งหมดก็นั่งเฉยๆ ไม่มีใครลุกขึ้นค้าน จากนั้นก็เล่นปาหี่ต่อต้านคัดค้านอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญแล้วก็โหวตแพ้ ซึ่งก็รู้ตัวตั้งแต่ต้นว่าหายไป 13 เสียง ดังนั้น ทั้งหมดคือการเตรียมการเพื่อเล่นละครให้คนดูเท่านั้นเอง แต่ควรจะสบายใจได้ อย่างน้อยเมื่อทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านต้องเล่นละคร แสดงว่าประชาชนยังมีกำลังพอสมควรที่จะควบคุมได้ในภายหลัง

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับ 370 วันที่ 28 กรกฎาคม – 3 สิงหาคม พ.ศ. 2555
หน้า 5-8 คอลัมน์ ข่าวไร้พรมแดน โดย ประชาธรรม

วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

รักที่สุดคือในหลวง ห่วงที่สุดคือ คนรักในหลวงจนเสียสติ

 

             ม.ล.มิ่งมงคล โสณกุล เขียนชัดเจนให้สะท้านทุกหัวใจ "รักที่สุดคือในหลวง ห่วงที่สุดคือ คนที่รักในหลวงจนเสียสติ" ทายาทราชสกุล บุตรี ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประกาศจุดยืนไว้จะแจ้ง คนไทยตอนนี้ สั่งสมความสับสนและคับแค้นใจมากๆ มีแต่ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน


           "อย่าเอาแต่ช่วยกันตั้งหน้าตั้งตาปักธงว่าประเทศไทยจะต้องวุ่นวายไร้ทางออก" พร้อมเสนอว่าสิ่งที่ควรช่วยกันคิดคือ ในความขัดแย้งนี้ เมื่อตัดความโมโหและอคติอารมณ์ออกไป เรามีจุดร่วมกันที่ใดบ้าง หากเชื่อว่าจุดร่วมนั้นคือความสงบสุขของประเทศและอนาคตที่ดีของลูกหลาน ต้องมามองอย่างมีสติว่าจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร แต่ถ้าหากอยากจะให้มันวุ่นวายเล็กๆ น้อยๆ ตลอดเวลา


             "หรือทำจนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนส่วนใหญ่เดินหน้าไม่ได้ ถ้าจุดนั้นมาถึงคงจะวุ่นวายแบบยาวๆ คงจะพากันพังหมดแน่ๆ"

            "มติชนสุดสัปดาห์" ฉบับ "เต่านา-ม.ล.มิ่งมงคล โสณกุล"   เป็นเต่านาที่เคยวินิจฉัย "โรค" หนึ่งให้ฮือฮามาแล้ว

           โรคอัน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เปรี้ยงใส่ฝ่ายที่ไม่ใช่ประชาธิปัตย์ "โรคขี้ข้าทักษิณ" สวนผ่านเฟซบุ๊ก Taona Sonaku กระแทกแสกหน้าใครบางคนว่า "วินิจฉัยแล้ว ไม่มีหรอกโรคขี้ข้าทักษิณ มีแต่โรคอยากกลับมาเป็นนายกฯ โดยไม่ต้องชนะเลือกตั้งทักษิณ

          วินิจฉัยแล้วว่า ไม่มีวันหรอกที่จะชนะทักษิณ เพราะหัวหน้าพรรคที่มีความจำเป็นต้องพยายามเลือกตั้งให้ชนะทักษิณ เป็นขี้ข้าที่ไม่มีประสิทธิภาพของอำนาจนอกระบบที่มีความกลัวประชาชนเป็นที่ตั้ง"

          ย้ำยืนยันตัวตน ต่อต้านการรัฐประหาร  เพราะการรัฐประหารคือการล้มล้างทุกอย่าง รวมทั้งการล้มล้างสถาบันด้วย

พนักงานไทยพีบีเอสเคลื่อนไหวต่อ แม้ได้ ผอ.คนใหม่แล้ว

พนักงานไทยพีบีเอสเคลื่อนไหวต่อ แม้ได้ ผอ.คนใหม่แล้ว


แม้ผลการเลือกผู้อำนวยการคนใหม่ขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือไทยพีบีเอสจะสรุปแล้วว่าได้นายสมชัย สุวรรณบรรณ แต่พนักงานของทางไทยพีบีเอสยังไม่หยุดเคลื่อนไหว โดยขอเรียกร้องให้มีการตรวจสอบนายแพทย์พลเดช ปิ่นประทีป ประธานกรรมการนโยบายของไทยพีบีเอส ว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับนางพรพิมล เสณผดุง ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลของไทยพีบีเอส ซึ่งเป็นน้องสาวหรือไม่ รวมถึงตำแหน่งอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับด้านบริหาร และสำนักอำนวยการ

โดยเอกสารฉบับล่าสุด เริ่มจากการนำเสนอแผนภูมิำการบริหารงานของไทยพีบีเอส และสิ่งที่อยากให้มีการตรวจสอบ
ไทยพีบีเอส

พนักงานเรียกร้องให้หน่วยงานภายนอกเข้ามาตรวจสอบดังต่อไปนี้

1. ประธานกรรมการนโยบายเป็นพี่ชายของผอ.สำนักทรัพยากรบุคคล เป็นประเด็นที่ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นร่วมเกือบสามปีที่ผ่านมา

2. ก่อนมีผู้อำนวยการการคลังท่านใหม่ มีผู้บริหารระดับสูงพยายามจัดสรรการเคลื่อนย้ายตำแหน่งผอ.การคลังท่านเดิม จนท้ายสุดท่านตัดสินใจลาออก ดังนั้นเป็นประเด็นที่ควรมีกลไกตรวจสอบเชื่อมโยงกับประเด็นในข้อที่ 3 และ 4

3. เชื่อว่ารองผู้อำนวยการส.ส.สท.ด้านบริหารคือบุคคลที่ผอ.สำนักทรัพยากรบุคคลนำมาหรือชักชวนมา

4. เชื่อว่าผอ.สำนักคลังและสำนักกฎหมายคือคนรู้จักที่ที่รองผอ.ส.ส.ท.ด้านบริหารนำมาเข้าสู่ตำแหน่งฯ

5. เชื่อว่าผอ.การคลังขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้บริหารการคลังของไทยพีบีเอส เนื่องด้วยพื้นเพการทำงานเคยเป็นแค่หัวหน้าในส่วนงานของสหกรณ์ออมทรัพย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผลงานด้านการแสดง Performance ของการบริหารงานที่ลูกน้องในสายงานลาออกไปหลายคน นับตั้งแต่ผอ.การคลังเข้ามาดำรงตำแหน่ง

6. เชื่อว่าผอ.กฎหมายขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้บริหารงานด้านกฎหมายของไทยพีบีเอส ด้วย Performace การบริหารที่เป็นที่ประจักษ์และผ่านการประเมินงานได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีกรรมการการประเมินงานที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมายมาร่วมประเมิน ?

7. ผอ.สำนักบริหารขาดประสิทธิภาพในการบริหารงานตามข้อร้องเรียนของพนักงานที่รายงานชี้แจงข้อเท็จจริงของการบริหารงานที่ล้มเหลวและขาดธรรมภิบาล ตามที่เคยมีการเคลื่อนไหวจากพนักงานเรียกร้องให้พิจารณาคุณสมบัติ ผอ.ท่านนี้เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่ท้ายสุดประเด็นเรียกนี้ก็เงียบไป ไม่มีการชี้แจงใดๆ ที่ชัดเจนเกิดขึ้น เป็นที่รู้กันว่าระดับรองผู้อำนวยการสสท.ด้านบริหาร มีอิทธิพลในการสร้างสมเรื่องการบริหารที่ขาดหลักธรรมาภิบาลไว้มาก ซึ่งขณะนี้กลุ่มพนักงานผู้ร้องเรียน รวมพลังทะยอยยื่นข้อมูลให้แก่หน่วยงานภายนอกเพื่อเข้ามาตรวจสอบโดยเร่งด่วน

8. ตรวจสอบกระบวนการสอบและการประเมินผลผอ.ทุกท่านภายใต้รองส.ส.ท.ด้านบริหาร เพราะเชื่อว่าไม่ผ่านกระบวนการที่ถูกต้องเพราะเริ่มต้นมาจากสานสัมพันธ์ในการเป็นพวกพ้องที่รู้จักชักจูงกันเข้ามาบริหารงานเพื่อเอื้อผลประโยชน์ต่อกัน

9. ตรวจสอบได้จากประสิทธิภาพการบริหารงานที่สามารถชี้วัดในเชิงรูปธรรม เพื่อเป็นกรณีศึกษาสำคัญในเรื่องกระบวนการคัดเลือก/เลือกสรรบุคลากรที่ไร้ประสิทธิภาพเพราะขาดความโปร่งใส

10.ตรวจสอบบุคลากรภายใต้สำนักบุคลากรจะพบว่ามีพนักงานจำนวนมากที่มาจากเครือข่ายเดิมของผอ.สำนักทรัพยากรบุคคล

11.ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านสื่อสารสังคมได้รับการบรรจุเข้าตำแหน่งได้อย่างไร ทั้งที่ไม่มีการประกาศสอบ และตำแหน่งเดิมเป็นเพียงลูกจ้างชั่วคราว ประเด็นที่สำคัญคือการการคุณสมบัติเฉพาะด้านของการทำงานด้านสื่อสารองค์กรในระดับอาวุโส

source : www3.thaipbs.or.th (Image)

คำวินิจฉัยกลาง ตลก.. ฝืด...

คำวินิจฉัยกลางศาลรัฐธรรมนูญ: 
คดีแก้ รธน. คือ ล้มล้างการปกครองฯ หรือไม่ (อย่างเป็นทางการ)

Posted: 26 Jul 2012 04:47 AM PDT (อ้างอิงจากเวบไซท์ประชาไท)

              ออกแล้ว คำวินิจฉัยกลาง (อย่างเป็นทางการ) ที่ 18-22/2555 เรื่องคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68

             26 ก.ค. 55 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เผยแพร่คำวินิจฉัยกลางที่ 18-22/2555 เรื่องคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ตามที่มีผู้ร้องให้ศาลวินิจฉัยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เพื่อจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาทำหน้าที่พิจารณายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เป็นการล้มล้างการปกครองหรือเป็นการให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครอง โดยวิถีทางที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งขัดกับมาตรา 68 หรือไม่ รวมทั้งสิ้น 29 หน้า โดยมีประเด็นวินิจฉัยทั้งสิ้น 4 ประเด็น

            โดยประเด็นที่หนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการรับคำร้องวินิจฉัยคดีนี้หรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ศาลฯมีอำนาจหน้าที่ในการรับวินิจฉัยคำร้องดังกล่าว ตามมาตรา 68 วรรคสอง โดยอัยการสูงสุดมีหน้าที่แค่พิจารณาเบื้องต้นเท่านั้น ไม่มีอำนาจตัดสิทธิการร้องของบุคคลโดยตรง ในประเด็นที่สอง การแก้ไขรัฐธรมนูญ มาตรา 291 ทำได้ทั้งฉบับหรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า แม้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 จะเป็นอำนาจรัฐสภา แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขทั้งฉบับได้ เพราะเมื่อรัฐธรรมนูญผ่านการลงประชามติโดยประชาชน ดังนั้น ควรถามประชาชนก่อนแก้ไข ประเด็นที่ สาม การแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภานี้ เป็นการล้มล้างระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขหรือไม่ ศาลวินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะชี้ชัดได้ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำให้เกิดการล้มล้างการปกครอง เพราะเป็นเพียงการกล่าวอ้าง และแสดงความเป็นห่วงเท่านั้น จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง และเมื่อยกคำร้องแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องพิจารณาในประเด็นที่ 4 เกี่ยวกับการยุบพรรค และตัดสิทธิทางการเมือง

โดยคำวินิจฉัยอย่างเป็นทางการ มีรายละเอียด ดังนี้

คำวินิจฉัยกลางศาลรัฐธรรมนูญ: คดีแก้ รธน. คือ ล้มล้างการปกครองฯ หรือไม่ (อย่างเป็นทางการ)
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai


























โชว์เอกสารมัด “มาร์ค” เลี่ยงทหาร -





“สุกำพล” แถลงละเอียดยิบโชว์เอกสารมัด 
“มาร์ค” เลี่ยงทหาร - แฉ 1 ปีลางานโรงเรียนจปร.ถึง 221 วัน


   วันที่ 27 ก.ค. ที่กระทรวงกลาโหม ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม พร้อมด้วยคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ประกอบด้วยพล.ร.อ.ชัยวัฒน์ พุกกะรัตน์ ที่ปรึกษารมว.กลาโหม พล.อ.วรวิทย์ ชินะนาวิน เลขานุการรมว.กลาโหม พล.อ.ม.ล.ประสบชัย เกษมสันต์ ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ผอ.สำนักนโยบายและแผนกระทรวงกลาโหม พล.ต.พินิจ ฉัตรเสถียรพงษ์ ผู้ช่วยเจ้ากรมเสมียนตรา พล.ต.รณชัย มัญชุสุนทรกุลเจ้ากรมจเรทหารบก พล.ต.สุชาติ หนองบัว เจ้ากรมกำลังพลทหารบก ร่วมกันแถลงข่าวกรณีการปฏิบัติของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกรัฐมนตรี ตามพ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ. 2497 โดยนำเอกสารสำคัญ อาทิ สด.1 ต้นขั้วใบสำคัญ สด. 9 บัญชีรายชื่อทหารกองเกิน และทหารกองหนุนประเภทสอง (สด. 27) บัญชีเรียกทหารกองเกินเข้ากองประจำการ(สด.16) ทะเบียนกองประจำการ (สด.3) มาแสดงแก่สื่อมวลชน

               พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ตนพร้อมด้วยคณะกรรมการสอบสวนขอชี้แจงหลังจากที่เป็นข่าวเรื่องการใช้เอกสารทางทหารของนายอภิสิทธิ์ ซึ่งเอกสารที่ตนมีอยู่มีต้นขั้วที่ทำให้รู้ถึงความเป็นมาว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไรบ้าง โดยมูลเหตุที่มาชี้แจงในวันนี้มาจากการที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ทำหนังสือมาถึงตน เนื่องจากมีนายกมล บันไดเพชร สมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้ดำเนินการร้องเรียนตนไว้กับทางผู้ตรวจการแผ่นดิน และทางผู้ตรวจการแผ่นดินได้ทำหนังสือมาถึงตน ตนจึงได้ส่งเอกสารข้อเท็จจริงทั้งหมดไปให้ โดยให้ตนดำเนินการตรวจสอบนายอภิสิทธิ์ใช้เอกสารเท็จจริงในการบรรจุและแต่งตั้งยศ ทั้งนี้ขอยืนยันว่าตนไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะได้ดำเนินการตามขอบเขตของกระทรวงกลาโหม และจากการตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างที่ประกอบด้วยเอกสารทางราชการพยานบุคคลผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์และผู้ที่ได้ดำเนินการด้วยตนเองได้ดำเนินการสอบสวนไว้หมดแล้ว
               พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2529 นายอภิสิทธิ์ได้ลงบัญชีขอขึ้นทหารกองเกินตามแบบสด.1 และรับแบบสด.9 ตามหมายเรียกการเกณฑ์ทหารสด. 35 เมื่ออายุเกณฑ์ 21 ปี จะต้องมารับใบเกณฑ์ทหารในปีต่อไปนั้นก็คือวันที่ 7 เม.ย. 2530 โดยใบสด.9 เป็นเอกสารจริง เนื่องจากมีใบสด. 1 ยืนยันว่าถูกต้องทุกอย่าง ต่อมาวันที่ 19 มี.ค. 2530 ทางโรงเรียนนายร้อยจปร.เสนอเรื่องของบรรจุนายอภิสิทธิ์เข้ารับราชการในโรงเรียนนายร้อย จปร.ผ่าน เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ได้สมัครเข้ารับราชการทหารในช่วงนั้นแล้ว แต่วันที่ 31 มี.ค. 2530 กรมสารบรรณทหารบกได้ตรวจสอบหลักฐานเอกสารการบรรจุนายอภิสิทธิ์ ปรากฏว่าหลักฐานไม่ครบ จึงได้ทำเรื่องกลับไปโรงเรียนนายร้อยจปร. เพื่อขอเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องหลักฐานการเกณฑ์ทหาร (สด.43) ต่อมาเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2530 นายอภิสิทธิ์ต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร แต่ไม่ได้มาเกณฑ์ทหารหรือเรียกว่าหนีการเกณฑ์ทหาร ทางสัสดีได้ลงในหลักฐาน สด. 16 ถือว่าเป็นคนขาดการตรวจเลือกฯในแขวงคลองตัน ลำดับที่ 229 เลขที่สด. 43ที่675 หลังจากนั้นวันที่ 9 เม.ย. 2530 นายอภิสิทธิ์ได้เขียนใบสมัครเข้ารับราชการที่โรงเรียนนายร้อย จปร. แสดงว่าในช่วงนี้มีการสร้างหลักฐานเรียบร้อยแล้ว

           พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวอีกว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 31 ก.ค.2530 มีหนังสือจากสัสดีกทม.รับรองว่านายอภิสิทธิ์มีชื่อเข้าบัญชีทหารกองเกินเมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2525 และได้รับการผ่อนผันตามมาตรา 29 (3) เพื่อใช้เป็นเอกสารรับรองการบรรจุ ซึ่งเอกสารดังกล่าวชัดเจนว่าเป็นเอกสารที่ไม่อยู่ในระบบทางราชการ ส่วนจะเกี่ยวข้องกับการรับสมัครเข้าเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยจปร.หรือไม่นั้นตนไม่ทราบ แต่ถ้ามีการใช้หนังสือดังกล่าวขึ้นมา ตนบอกได้เลยว่าเป็นเอกสารที่ไม่อยู่ในระบบทางราชการ เนื่องจากพบข้อพิรุธหลายอย่าง ต่อมาเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2530 มีคำสั่งกลาโหมที่ 720/30 ลงวันที่ 7 ส.ค. 2530 บรรจุนายอภิสิทธิ์เป็นข้ารากชารกลาโหมพลเรือนตำแหน่งอาจารย์โรงเรียนส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยจปร. ต่อมาเมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2531 มีการแจ้งว่าใบสด. 9 หาย และขอรับใบแทนฉบับที่ชำรุดเสียหาย โดยได้มีการบันทึกใหม่ว่าเข้าบัญชีทหารกองเกินลงวันที่ 8 เม.ย. 2531 ซึ่งไม่ตรงกับครั้งแรกที่นายอภิสิทธิ์มาลงบัญชีทหารกองเกินเมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2529 ดังนั้นหลักฐานชิ้นนี้ชัดเจนเพราะมีต้นขั้วทั้งสองใบว่าลงวันที่ไม่ตรงกัน เหตุผลที่ต้องทำใบสด. 9 ใหม่ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการขึ้นทะเบียนเอกสารกองประจำการ (สด.3) เพราะหากมีการติดยศร้อยตรีแล้วนายอภิสิทธิ์ต้องขึ้นทหารกองประจำการเพื่อนับเวลาราชการ ซึ่งระเบียบดังกล่าวได้บังคับเป็นกฎหมาย ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่าถ้าใช้เอกสารสด. 9 ใบเดิมจะเห็นชัดว่าขาดการเกณฑ์ทหาร ต่อมาเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2531 นายอภิสิทธิ์ได้รับการแต่งตั้งเป็นว่าที่ร้อยตรีและขึ้นทะเบียนทหารกองประจำการที่


            “ในช่วงนี้นายอภิสิทธิ์ได้นำใบสด. 9 ซึ่งเป็นใบทดแทน ตรงนี้พิสูจน์ได้ว่าเป็นการใช้เอกสารที่ไม่อยู่ในระบบทางราชการ เรามีหลักฐานชัดเจนและระหว่างที่นาอภิสิทธิ์เข้ารับราชการและขอลาออกเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2532 นั้นถือว่านายอภิสิทธิ์เป็นทหารเพียง 1 ปีและในช่วงรับราชการได้ลาไปต่างประเทศ 3 ครั้ง ลากิจ 2 ครั้ง ลาไปราชการ 1 ครั้ง โดยอ้างว่าไปสอนหนังสือ ทั้งหมด 221 วัน มีวันทำงานรวมเพียง 35 วัน ตามระเบียบการลาของทางราชการสามารถลาได้เพียง 70 วันใน1ปีปฏิทิน”พล.อ.อ.สุกำพล กล่าว

           เมื่อถามว่า หลังจากที่แถลงข่าวในวันนี้จะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไปกรณีการหลีกเลี่ยงการเป็นทหารของนายอภิสิทธิ์ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ตนจะทำตามขอบเขตที่กระทรวงกลาโหมกำหนดไว้ว่ามีอะไรบ้าง เมื่อถามต่อว่า ข้อเท็จจริงเหล่านี้จะส่งให้กฤษฎีกาตีความหรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ประเด็นที่เกี่ยวกับกฎหมาย ทางกรมพระธรรมนูญจะดูแลในส่วนนี้ หากมีข้อสงสัยก็จะไปปรึกษากับทางกฤษฎีกา หากปรึกษาเรียบร้อยแล้วก็จะรายงานให้ตนทราบเพื่อดำเนินการต่อไป

             เมื่อถามว่า ข้อเท็จจริงออกมาอย่างนี้ผลที่จะตามมากับนายอภิสิทธิ์เป็นอย่างไร พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า คงไม่ตอบในเรื่องอื่น ตนคงตอบได้เพียงในขอบเขตความรับผิดชอบของกระทรวงกลาโหมเท่านั้น ส่วนที่นอกเหนือจากนั้นเหนือการควบคุมของตนเอง

             เมื่อถามอีกว่า ในส่วนของอำนาจรัฐมนตรีในเมื่อพบว่าเอกสารของอภิสิทธิ์สมัครเข้ารับราชการทางทหารไม่ถูกต้อง สามารถใช้อำนาจในการถอดยศและยึดเงินเดือนคืนได้หรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ในส่วนนี้ทางกระทรวงกลาโหมกำลังดูอยู่ ซึ่งอาจจะไปปรึกษากฤษฎีกา แต่ก็เป็นเรื่องของกรมพระธรรมนูญที่จะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ

            เมื่อถามว่ากรณีดังกล่าวนี้ในเรื่องเอกสารนั้นยังไม่หมดอายุความใช่หรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ทางกรมพระธรรมนูญต้องดำเนินการชี้แจง ตนไม่ทราบเพราะไม่ได้จบกฎหมาย โดยหลังจากนี้กรมพระธรรมนูญจะดำเนินการชี้แจงอีกครั้ง

           เมื่อถามต่อว่า เราสามารถพิสูจน์ได้หรือไม่ว่าใครเป็นผู้ทำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับนายอภิสิทธิ์ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า เรื่องนี้มันลึกและนานมาก ซึ่งระบบการเกณฑ์ทหารตั้งแต่ปี 2497 ยังไม่มีคอมพิวเตอร์จึงได้ใช้เอกสารเป็นใบสำคัญสด.ต่างๆ มากมายจึงทำให้ยุ่งยาก แต่ถ้ามองอีกแง่หนึ่งใบสำคัญต่างๆเหล่านี้ก็เป็นหลักฐานการยืนยันตามขั้นตอนของการดำเนินการได้

          เมื่อถามว่าจากผลการสอบสวนที่ผ่านมาทางกองทัพบกได้ดำเนินการลงโทษทหารนั้นจะเป็นการยืนยันหรือไม่ว่าทหารเหล่านี้เป็นคนทำเอกสารขึ้นมาเพื่อช่วยนายอภิสิทธิ์ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า เป็นเรื่องของกองทัพบกที่ดำเนินการจบไปแล้วและเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นนานมาแล้ว ตัวละครต่างๆได้เสียชีวิตและได้เกษียณอายุราชการไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ผ่านมา 25 ปีแล้ว น่าจะเกินอายุความ

            ต่อข้อถามถึงกรณีที่นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์นำใบสด. 20 ของนายอภิสิทธิ์มาชี้แจงนั้นเป็นเอกสารจริงหรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าเป็นเอกสารจริงหรือไม่ แต่ว่าไม่มีการรับรองสำเนา ทั้งนี้ใบสด. 20 เป็นเอกสารทางราชการ นายอภิสิทธิ์จะถือเพียงอย่างเดียวคือใบสด. 41

           เมื่อถามว่า นายอภิสิทธิ์จะได้รับการลงโทษอย่างไรหรือไม่ และกรณีที่ขาดงานสอนจากโรงเรียนนายร้อยจปร. 200 กว่าวัน ต้องรับผิดชอบอย่างไร พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า เป็นเพียงข้อมูลที่ทางคณะกรรมการได้มีการตรวจสอบและมีผู้อนุญาตให้ลาเรื่องนั้นก็จบไป แต่ทั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าการที่นายอภิสิทธิ์เข้ามาเป็นอาจารย์ในโรงเรียนนายร้อยจปร.นั้นมีความรักทหารจริงหรือไม่ เพราะทำงานแค่ไม่กี่วัน แต่ลากิจเป็นจำนวนมาก เมื่อถามต่อว่า จะมีการทวงถามจริยธรรมคุณธรรมจากนายอภิสิทธิ์ หรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ตนพูดเฉพาะในขอบเขตของตน เรื่องนั้นอยู่นอกเหนืออำนาจ

            เมื่อถามว่าสรุปว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นโฆฆะหรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า อะไรที่จบไปแล้วก็จบไป อะไรที่ยังไม่จบก็ไม่จบ เมื่อถามว่า การที่นำข้าราชการกระทรวงกลาโหมมาแถลงในครั้งนี้จะส่งผลต่อคดีความที่มีอยู่ในชั้นศาลที่บางฝ่ายจะนำไปใช้เป็นประโยชน์ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ตนพูดในขอบเขตของตนตามเอกสารข้อเท็จจริงที่มี เพราะสังคมมีความสงสัย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ตนต้องออกมาตอบโต้ แต่เรามีเอกสารครบเราก็ต้องพูดไปตามข้อเท็จจริง เพื่อตอบผู้ตรวจการแผ่นดิน

ที่มา ข่าวสดออนไลน์ http://www.khaosod.co.th

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?