วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เปิดตัวตำรวจว่าที่ ดร. กลางม๊อป กปปส.



         คำว่าเกลือเป็นหนอนนั้น โบราณท่านเปรียบเอาไว้ถึงญาติสนิท มิตรสหาย หรือลูกน้องเพื่อนร่วมงานที่ไว้วางใจกัน คิดคดทรยศ เอาความลับของฝ่ายเราไปบอกฝ่ายตรงข้าม ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ทันและสร้างความเสียหายอย่างมากต่องานของฝ่ายเรา




เปิดตัวตร.ว่าที่ ดร.พุทธ!กลางกปปส.บุกศรส.
เปิดตัวตำรวจว่าที่ดร.พุทธ!กลางกปปส.บุกศรส. 

: สำราญ สมพงษ์รายงาน(FB-samran sompong)

           "สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งเห็นโคลนตม คนหนึ่งตาแหลมคม เห็นดาวอยู่พราวแพรว" นี้เป็นคำอบรมสั่งสอบของครูบาอาจารย์ที่ต้องการให้มองโลกตามความเป็นจริง

          คำนี้ใช้ได้กับภาพของตำรวจนายหนึ่งกลางวงล้อมของกลุ่มกปปส.บุกศรส.เมื่อวัน ที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมาเผยแพร่ทางสังคมออนไลน์ อย่างเช่นบางคนเห็นว่า "ตร.นายนี้เดินออกจากกลุ่มแถวตร. เพื่อมานั่งร่วมชุมนุมกับมวลมหาประชาชน ที่สโมสรตำรวจ เขาคือรองผู้กำกับการ..หัวหน้าหน่วยงานปราบจราจลปรากฏการณ์เช่นนี้จะเกิด ขึ้นอีกกับตำรวจหลายๆคนหนึ่งในตำรวจกล้า ที่ตัดสินใจอยู่ข้างประชาชน จะไม่ยอมให้เฉลิมเป็นนาย ไม่ยอมตายเพื่อยิ่งลักษณ์"

           ขณะที่เฟซบุ๊ก Suthep Thaugsuban (สุเทพ เทือกสุบรรณ) ยังได้ระบุว่า "ในการต่อสู้ครั้งนี้ พวกเราประชาชนพยายามจะทำในสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน เราจึงได้เห็นภาพที่คนไทยไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นภาพของมวลมหาประชาชนเป็นล้านๆคนออกมาบนท้องถนน หรือ ภาพประชาชนนั่งสวดมนต์ต่อสู้อย่างสันติอหิงสา

           วันนี้ภาพที่เราเคยเห็นแต่ในต่างประเทศอีกภาพหนึ่งก็ได้เกิดขึ้นแล้วใน ประเทศไทย คือ ภาพของพี่น้องตำรวจที่ถูกสั่งมาให้มาปราบประชาชน ถอดหมวกออก แล้วเดินมานั่งในฝ่ายของประชาชน ผมของชื่นชมอย่างสุดหัวใจ

           ผมเชื่อว่านี้คือภาพที่สวยงาม ยิ่งใหญ่ และจะมีพี่น้องตำรวจอีกจำนวนมาก เอาเป็นแบบอย่าง ตัดสินใจออกมาร่วมกับมวลมหาประชาชน และ วันนั้นเองจะเป็นจุดจบของระบอบทักษิณ"

          บางคนก็เห็นว่า "ตำรวจท่านนี้เข้าไปเจรจานะคับ" พร้อมกับระบุชื่อคือ พ.ต.ท.ปรีชา สาวม่วง ผบ.ร้อย 3 กก.ควงคุมฝูงชน 1 บช.น. ได้รับคำสั่งเป็นชุดเจรจากับกลุ่มกปปส. ผลเป็นไปด้วยดีเพราะเป็นผู้มีความ อ่อนน้อมมีวาทะในการพูด

          ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรก็ตามที แต่ความจริงก็คือว่า พ.ต.ท.ปรีชา นั้นกำลังจะจบการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านพระพุทธศาสนาที่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) และได้เข้าร่วมโครงการฝึกอบรมหลักสูตรอนุศาสนาจารย์ของ สตช. ที่จัดฝึกอบรมให้กับข้าราชการตำรวจผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อทำหน้าที่อนุศาสนาจารย์ ประจำหน่วย รุ่นที่ 1 จำนวน 60 นาย ซึ่งมียศตั้งแต่ระดับ ร.ต.ต.ไปจนถึง พ.ต.อ.ระดับ ผกก.ทั่วประเทศเมื่อปีที่แล้ว (http://www.komchadluek.net/detail/20130219/152179/แสงแรก!ปั้นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์วิถีพุทธ.html)

         ในคราวนั้น พ.ต.ท.ปรีชาได้แสดงความเห็นว่า ที่สมัครใจเข้ามาอบรมครั้งนี้เพราะต้องการที่จะรู้และมีความรู้ยุทธศาสตร์ ด้านคุณธรรมจริยธรรมตามหลักวิถีพุทธนำไปเผยแผ่ให้กับพี่น้องตำรวจที่ยังไม่ รู้เท่าทันโลกและหลงโลกอยู่ได้หลุดจากหลุมดำนั้น โดยจะทำตัวเป็นหิ่งห้อยตัวเล็ก ๆ บินเข้าไปในถ้ำมืดให้มีแสงสว่าง

         "ผู้ที่รับฟังความรู้จากผมนั้น จากจำนวน 100 นาย แม้นจะมีความรู้ความเข้าใจเช่นผมเพียง 1 นายก็ถือว่าประสบผลสำเร็จแล้ว ส่วนที่เหลือนั้นเวลาที่เห็นทุกข์เห็นธรรมคงจะคิดถึงคำที่ผมได้กล่าวแล้ว ปฏิบัติตามก็เป็นได้ และต้องการเป็นจอบแรกที่ค่อยขุดคุณธรรมจริยธรรมให้เกิดขึ้นในเหล่าตำรวจ ตามสุภาษิตจีนที่กล่าวว่าการเดินทางหมื่นลี้ต้องเริ่มที่ก้าวแรก การที่ผบ.ตร.ได้เห็นด้วยกับการขยายจำนวนอนุศาสนาจารย์ตำรวจให้เพิ่มมากขึ้น ในหน่วยงานตำรวจต่างๆนั้น ก็ถือว่าได้เริ่มจอบแรกและก้าวเดินแล้ว" พ.ต.ท.ปรีชาระบุ

           จากผลการศึกษาพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาแห่งสันติภาพระดับปริญญาเอกของ   พ.ต.ท. ปรีชาคงได้ทราบแนวทางสันติวิธีซึ่งมีวิชาสันติศึกษาที่ต้องเรียน และ มจร กำลังเปิดสอนหลักสูตรปริญญาโทสันติศึกษาโดยตรงและกำลังเปิดรับสมัครรุ่น 2 อยู่ขณะนี้ด้วย รวมถึงเทคนิควิธี "แนวทางการควบคุมฝูงชนตามแนวพุทธ" ซึ่งเขียนโดย ด.ต.สุรชัย แก้วคูณ นิสิตปริญญาเอก สาขารัฐประศาสนศาสตร์คณะสังคมศาสตร์ 'มจร' (http://www.komchadluek.net/detail/20130929/169290/แนวทางการควบคุมฝูงชนตามแนวพุทธ.html) จึงทำให้ภาพออกมาอย่างที่เห็น และหากการขอคืนพื้นที่เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมาใช้สันติวิธีและการควบคุมฝูงชนตามแนวพุทธก็คงจะไม่มีคนบาดเจ็บ ล้มตาย

        เชื่อว่าพ.ต.ท.ปรีชาจะทำหน้าที่ในการห้ามญาติและดำรงตนในแนวทางที่สมควรต่อ ไป การดูเหรียญต้องดูรอบด้าน บ้างครั้งดูแล้วก็ยังไม่รู้จริงว่าเป็นเหรียญจริงหรือเหรียญปลอม จึงควรใช้หลักกาลามสูตรเข้ามาจับ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วเราก็คือเหยื่ออันโอชะดี ๆ นี้เอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น