วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

ศาลปค. สั่ง 'ประชา-ทายาทสมัคร' จ่าย 587 ล้าน คดีรถ-เรือดับเพลิง 'อภิรักษ์-วัฒนา' รอด


               ศาลปกครองสั่งประชา มาลีนนท์ และทายาท 'สมัคร' ชดใช้เงิน 587 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ในคดีซื้อรถ-เรือดับเพลิง กทม. ขณะที่ 'อภิรักษ์-วัฒนา' รอด
             30 เม.ย.2557 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกรุงเทพมหานครรวม 4 คดี โดยมีคำพิพากษาให้คุณหญิงสุรัตน์ สุนทรเวช ภรรยานายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ, นางกาญจนากร ไชยลาภ และนางกานดาภา มุ่งถิ่น ทายาทมรดกของนายสมัคร ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 587,580,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี กรณีที่นายสมัครกระทำความผิดเกี่ยวกับการจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิง หลัง ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดว่าร่วมกันกับบริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค สเปเชียล ฟาห์รซอยก์ จํากัด ของประเทศออสเตรีย กำหนดราคาซื้อขายให้สูงเกินจริง
               ศาลเห็นว่า พฤติการณ์ของนายสมัคร และ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีตผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงการลงนามในสัญญา มีลักษณะเป็นการเร่งรีบเพื่อให้มีการดำเนินการตามสัญญาระหว่างที่นายสมัครยังคงดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. แม้จะมีการอ้างเหตุจำเป็นในการดำเนินโครงการจากการเติบโตของ กทม. แต่ทั้งสองไม่ได้ดำเนินการอย่างรอบคอบ ในการพิจารณารายละเอียด สัญญา ลักษณะ รัฐต่อรัฐตามขั้นตอน ที่ ครม. มีมติ และยังไม่ได้นำกรณีอื่นที่หน่วยทหารพัฒนาของ บก.สส. ได้ทำสัญญาแบบรัฐต่อรัฐกับบริษัทสไตเออร์ฯ มาพิจารณาประกอบในการปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆ ให้ครบถ้วนสมกับกรณีทั้งที่นายสมัครก็เป็นผู้ว่าฯ กทม. ย่อมต้องรับรู้และเข้าใจขั้นตอนปฏิบัติ พยานหลักฐานจึงฟังได้ว่าการกระทำของนายสมัครดังกล่าวจงใจประมาทเลินเล่อ ทำให้ กทม. เสียหาย จึงพิพากษาให้ทายาทซึ่งเป็นผู้รับมรดก ชดใช้เงินค่าเสียหายร้อยละ 30 ของความเสียหายทั้งหมดจำนวน 1,958 ล้านบาทเศษ คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 587,580,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้อง โดยให้ชำระเสร็จภายใน 60 วัน ตั้งแต่วันที่มีคำพิพากษา
             ภายหลัง นายสุขสันต์ สุขสวัสดิ์ ทนายความของคุณหญิงสุรัตน์ กล่าวว่า หลังจากนี้จะไปปรึกษากับคุณหญิงสุรัตน์และทายาททั้งสอง เรื่องการอุทธรณ์คดีต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งจะต่อสู้ในประเด็นที่ว่าศาลปกครองไม่มีอำนาจพิพากษาในคดีนี้ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมรดกที่ควรจะต้องยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง
            นอกจากนี้มีคำพิพากษาในคดีที่นายประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย ยื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร และ รมว.มหาดไทย กรณีกรุงเทพมหานครสั่งให้นายประชาชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จากการที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทางอาญากล่าวหาว่าขณะนายประชาดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ มีพฤติการณ์ร่วมกับบริษัทสไตเออร์ฯ กระทำความผิดเกี่ยวกับการจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิงฯ โดยศาลปกครองสั่งให้นายประชาต้องจ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายให้กับกรุงเทพมหานครในจำนวนเดียวกับทายาทของนายสมัคร เนื่องจากขณะเกิดเหตุ นายประชาดำรงตำแหน่ง รมช.มหาดไทย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเริ่มโครงการและกระบวนการจัดซื้อ
             โดยมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งกรุงเทพมหานคร ที่ประกาศกำหนดให้นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม.  และนายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับ กทม. ที่เสียหายจากการทำสัญญาซื้อขายรถ-เรือดับเพลิง และอุปกรณ์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยศาลเห็นว่านายอภิรักษ์มีการแสดงให้เห็นถึงความพยายามการปกป้องผลประโยชน์ของทางราชการ หลังเห็นว่าการซื้อขายมีข้อบกพร่องของกฎหมาย จึงได้ยื่นขอระงับการเปิดหนังสือค้ำประกัน หรือ  LC กับธนาคารกรุงไทย 2 ครั้ง และทำหนังสือถึงอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ และหนังสือถึงนายโภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย 2 ครั้ง ให้ทบทวนการสัญญา แต่นายโภคินก็ยืนยันว่าไม่สามารถทำได้ ขณะที่นายอภิรักษ์ก็ไม่มีอำนาจที่จะบอกเลิกสัญญาซื้อขายที่ได้ดำเนินการไปแล้ว จึงเห็นว่านายอภิรักษ์ได้ระมัดระวังตามกรอบอำนาจหน้าที่ ไม่มีเจตนาทุจริตหรือทำให้เกิดความเสียหาย
              ในส่วนของนายวัฒนา ศาลเห็นว่าแม้นายวัฒนาจะมีส่วนเกี่ยวข้องในบางขั้นตอนกับการทำสัญญาซื้อขายอุปกรณ์ฯ โดยเฉพาะในส่วนสัญญาสินค้าต่างตอบแทน ประเภทไก่ต้มสุกแช่แข็ง แต่ก็สืบเนื่องจากกรณีที่ ครม. มีมติเมื่อ 24 ส.ค. 47 ให้พิจารณาผลักดันการส่งออกสินค้าประเภทไก่ต้มสุกแช่แข็ง เนื่องจากขณะนั้นเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ประสบปัญหาไข้หวัดนก อีกทั้งไม่ปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่านายวัฒนาเข้าไปเกี่ยวข้องกับการไขระเบียบกระทรวงพาณิชย์ในการกำหนดประเภทสินค้าตามที่มีการอ้าง อีกทั้งการผลักดันจะให้มีการทำสัญญาซื้อขายอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยดังกล่าวก็ยังมีปัจจัยอื่นอีกหลายปัจจัย ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของการทำสัญญาซื้อสินค้าต่างตอบแทนเท่านั้น ส่วนการกำหนดส่งสินค้าต่างตอบแทน ตามขั้นตอนปฏิบัติก็ยังต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศด้วย ไม่ใช่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับ รมว.พาณิชย์ เพียงลำพัง หลักฐานในชั้นนี้จึงยังฟังไม่ได้ว่านายวัฒนากระทำประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จนทำให้ กทม. ต้องซื้ออุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยจากบริษัทสไตเออร์ฯ ในราคาแพง อีกทั้งก่อนหน้านี้ทั้งนายอภิรักษ์และนายวัฒนา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็มีคำพิพากษายกฟ้องไปก่อนแล้ว จึงพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่ง กทม. ดังกล่าว โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. 53 ที่มีการออกคำสั่ง
            อย่างไรก็ตาม ทั้ง 4 คดีดังกล่าว ผู้ร้องและผู้ถูกร้องในคดียังสามารถยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลางต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายใน 30 วัน

รวม “ครั้งสุดท้าย” ของ ‘สุเทพ’ ในรอบ 180 วัน

             เมื่อวันที่ 28 เม.ย.57 ที่ผ่านมา กปปส. ได้จัดกิจกรรมเนื่องในวาระครบรอบการชุมนุม 180 วัน ภายใต้ชื่อ “180 วัน 180 องศา” และไม่กี่นาทีที่ครบ 180 วันของการชุมนุม คือคืนวันที่ 27 ต่อ วันที่ 28 ที่ผ่านมา สุเทพ เทือกสุบรรณ, เลขาธิการกปปส. ขึ้นกล่าวบนเวทีปราศรัย ที่สวนลุมพินี เพื่อยืนยันว่าตัวเองจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครและไม่มีการต่อรอง พร้อมเดินหน้าขจัดระบอบทักษิณให้ได้ โดย สุเทพ กล่าวด้วยว่า "การนัดหมายนี้เป็นครั้งสุดท้ายจริง สู้คราวนี้ต้องจบให้ได้ วันที่ 30 เม.ย."[1]

             การปราศรัยครั้งนี้สุเทพ ได้ยืนยันถึง “ครั้งสุดท้าย” อีก และนับเป็นการพูดอีกคัร้งในวาระครบรอบ 180 วันของการชุมนุมนี้ จึงได้รวบรวมคำกล่าว คำประกาศ คำปราศรัยถึง “ครั้งสุดท้าย” “ยกสุดท้าย” และบรรดาคำว่าสุดท้าย(บางส่วน)ของสุเทพ ไว้ดังนี้

              1. ช่วงแรกของการชุมนุมเมื่อวันที่ 17 พ.ย.56 ที่เวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยสุเทพ[2] ประกาศนัดชุมนุมยกสุดท้าย 1 ล้านคน พร้อมปลุกพลังเงียบ ข้าราชการ มาชุมนุมกันในวันที่ 24 พ.ย.

              2. อีกช่องทางหนึ่งที่สุเทพ ใช้สื่อสารคือเฟซบุ๊ก โดยเฉพาะเฟซบุ๊กแฟนเพจชื่อ “Suthep Thaugsuban (สุเทพ เทือกสุบรรณ)” ซึ่งล่าสุดวันนี้มีผู้กดถูกใจ 2.4 ล้าน และเมื่อวันที่ 25 พ.ย.56 ได้โพสต์[3]เพื่อยืนยันว่าตนเองจะต่อสู้กับระบอบทักษิณเป็นครั้งสุดท้าย ข้อความว่า  "วันนี้ผมทุ่มสุดตัว ทุ่มทั้งชีวิต เพื่อสู้กับระบอบทักษิณ ถ้าพี่น้องออกมาสู้กันอย่างเต็มกำลัง ไม่กี่วันเราก็จะชนะแล้วครับ มาร่วมต่อสู้กับระบอบทักษิณเป็นครั้งสุดท้ายกันครับ สู้วันนี้เพื่อลูกหลานของเราจะได้ไม่ต้องเป็นขี้ข้า"

              3. หลังจากนั้น 1 วัน คือวันที่ 26 พ.ย. สุเทพได้โพสต์ในเพจ “Suthep Thaugsuban (สุเทพ เทือกสุบรรณ)” เพื่อเชิญชวนให้คนไปชุมนุมตามกระทรวงต่างๆ เป็นครั้งสุดท้าย โดยโพสต์[4]ว่า  "พรุ่งนี้ขอแรงพี่น้องที่รักชาติรักแผ่นดิน เป็นครั้งสุดท้าย ใกล้กระทรวงไหน ไปกระทรวงนั้น.."
             4. นอกจากนี้ในวันที่ 26 พ.ย. สุเทพ[5] ได้ปราศรัยที่เวทีกระทรวงการคลัง โดยอ้างว่าเป็นคำขอร้องครั้งสุดท้ายต่อผู้ชุมนุมให้สู้ต่อไป แม้ตนเองจะถูกจับกุมตัว โดยระบุว่า นี่คือขอร้องครั้งสุดท้ายของผม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผม การต่อสู้ของประชาชนวันนี้ต้องเข้มข้น ท่านส่งผมตรงนี้ นิมนต์หลวงปู่พุทธอิสระเทศน์ทุกคืน ถ้ามันจับผมไปได้ไม่ต้องไปยุ่งเรื่องประกันตัวผม แต่ล้มระบอบทักษิณให้ได้

              5. วันที่ 27 พ.ย. สุเทพ ได้โพสต์ลงในเพจ “Suthep Thaugsuban (สุเทพ เทือกสุบรรณ)”[6] เชิญชวนให้ร่วมชุมนุมตามจุดที่ กปปส.นัดหมายชุมนุม โดยระบุว่า  "วันนี้ผมจะขอแรงพี่น้องประชาชนทั่วประเทศอีกครั้ง เป็นครั้งสุดท้ายครับ ขอให้ออกกันมาตามสถานที่นัดหมาย มาให้เยอะที่สุด วันนี้เราจะปิดฉากระบอบทักษิณกันครับ.."

            6. วันที่ 3 ธ.ค. สุเทพ ได้ปรากฏตัวที่เวที กปปส. ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ หลังจากที่ก่อนหน้านั้นมีข่าวลือว่าเขาหลบหนีไป โดยเขา[7]กล่าวด้วยว่า จะทำงานต่อสู้เพื่อมวลชนเป็นครั้งสุดท้าย และจะไม่หวนกลับเข้าสู่การเมืองอีก และได้สั่งให้คนไปเก็บของออกจากพรรคประชาธิปัตย์แล้ว

           7. วันที่ 6 ธ.ค. มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์คำปราศรัยของ สุเทพ ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘Mallika Boonmeetrakool’[8] เพื่อเชิญชวนให้ประชาชนออกมาชุมนุมในวันที่ 9 ธ.ค. ว่า  "ถ้ายอมเป็นขี้ข้าทักษิณตลอดชาติ ก็จงนอนเสพสุขอยู่บ้าน ไม่เช่นนั้น วันจันทร์ที่ 9 ธค. 9:39น. ต้องลุกฮือทั่วประเทศ ต่างจังหวัดคุมศาลากลาง กรุงเทพฯ ออกเดินบนถนนทุกสายมุ่งหน้าทำเนียบรัฐบาล ยกสุดท้ายเพื่อชาติ"
          8. วันที่ 13 ม.ค.57 ซึ่งเป็นวันที่ กปปส. ประกาศ ‘Shutdown Bangkok’ โดย สุเทพ[9] ได้ปราศรัยเวทีแยกอโศก ระบุว่า  "วันนี้เป็นยกสุดท้ายต้องทุ่มเทให้ถึงที่สุด ให้โลกจารึกไว้ว่าคือหัวใจของคนไทย สู้ครั้งนี้เพื่อเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่..”
          9. วันที่ 5 เม.ย. สุเทพ ปราศรัยบนเวที กปปส. สวนลุม ระบุว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ให้ถือว่าการต่อสู้ของเราได้มาถึงยกสุดท้ายแล้ว ทุกเครือข่ายต้องเตรียมพร้อม 100% ได้ยินเสียงนกหวีดเมื่อไร ต้องพร้อมเดินทางทันที

         10. คือคำกล่าวของสุเทพ เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา อย่างที่อ้างไว้ตั้งแต่ต้น โดยเขากล่าวว่า "การนัดหมายนี้เป็นครั้งสุดท้ายจริง สู้คราวนี้ต้องจบให้ได้ วันที่ 30 เม.ย.”

         และล่าสุด วันที่ 30 เม.ย. สุเทพ และ กปปส. เดินเท้ามายังบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ซึ่ง สุเทพ[10] ได้ขึ้นเวทีปราศรัย โจมตีการดำเนินงานของรัฐบาล เเละระบอบทักษิณ พร้อมกับเชิญชวนพนักงานเข้าร่วมต่อสู้กับระบอบทักษิณในวันเผด็จศึกครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายของกลุ่ม กปปส. โดยขอให้ทุกคนเตรียมตัว เสบียง เสื้อผ้า พร้อมนอนกลางดินกินกลางถนน ครั้งนี้จะเป็นโอกาสครั้งสุดท้าย เพราะจะสู้ได้หนนี้อีกหนเดียว จึงขอให้ทุกคนพร้อมที่สุด

            อย่างไรก็ตามการประกาศเรื่องการต่อสู้หรือการเคลื่อนไหวเป็นครั้งสุดท้ายไม่ได้มีเพียงแกนนำ กปปส. หากแต่ แกนนำนปช. เอง ก็มีการกล่าวอยู่กัน เช่น เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 55 ซึ่งเป็นช่วงที่มีกระแสการจะทำรัฐประหารสูงมากช่วงหนึ่ง โดย จตุพร พรหมพันธุ์[11] แกนนำ นปช. ได้กล่าวในระหว่างการแถงข่าว นปช.แดงทั้งแผ่นดิน จัดที่อิมพีเรียลเวิร์ลลาดพร้าว ตอนหนึ่งเพื่อนัดหมายมวลชนหากมีการทำรัฐประหารเกิดขึ้นว่า ขอให้พี่น้องประชาชนแต่ละจังหวัดต้องรวมตัวกัน ที่ไหนก็นัดกัน แล้วเดินทางมาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ใช้เป็นจุดต้านการรัฐประหารที่กำลังจะเกิดขึ้น ถามว่าจะถูกปิดล้อมหรือไม่ พี่น้องที่อยู่หลังตู้เย็น อยู่ตามที่ต่างๆ ก็ขอให้เชื่อเถอะว่าขอให้ออกกันทั้งหมด ยิ่งมากเท่าไรเป็นล้านก็จะหยุดความตาย จงสู้เป็นครั้งสุดท้ายเถิดเพื่อประเทศนี้ เพื่อไม่ให้ประเทศนี้ ลูกหลานของเราไม่ต้องรับชะตากรรมแบบพวกเรา มิฉะนั้นจะเหมือน การถูกปล้นชัยชนะทุกครั้งไป โดยไม่ฟังเสียงข้างมากจากประชาชนเลย แบบนี้เขานับเราเป็นประชาชนในประเทศนี้หรือไม่

           หรือล่าสุด จตุพร[12] กล่าวเมื่อวันที่ 16 เม.ย. ที่ผ่านมา ว่า แกนนำ นปช.ทุกคนจะไม่ไปไหนทั้งหมดในช่วงนี้ ทุกคนต้องเตรียมแผนการต่อสู้ครั้งสุดท้าย แบบโอเพ่นเดย์ คือ ทุกคนสามารถทำอะไรได้ทำ เพื่อแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านกระบวนการยุติธรรมล้มเหลว จนทำให้บ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแป

         และที่สำคัญ สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ชอบประกาศ “การต่อสู้ครั้งสุดท้าย” หรือ “สงครามครั้งสุดท้าย” บ่อยครั้งในช่วงที่พันธมิตรฯ ออกมาเคลื่อนไหวมากๆ ดังนี้
  • "..ชุมนุม 25 พ.ค.(51)เป็นสงครามครั้งสุดท้าย.."
  • สนธิ ลิ้มทองกุล, 23 พ.ค.51, ในรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน[13]
  • "..นี่คือสงครามครั้งสุดท้ายเราจะถอยได้อย่างไร"
  • สนธิ ลิ้มทองกุล, 21 มิ.ย.51, กล่าวที่ชุมนุมทำเนียบรัฐบาลขณะนั้น[14]
  • "เราจะไม่ทนกับพวกมึงอีกต่อไป เราจะยืนหยัดสู้ เพราะเป็นสงครามครั้งสุดท้าย.."
  • สนธิ ลิ้มทองกุล, 25 ก.ค.51 กล่าวที่ชุมนุมของพันธมิตรฯ[15]
  • "วันนี้ หรือมะรืนนี้อย่างช้า จะเป็นสงครามครั้งสุดท้าย ซึ่งพวกเราทุกคนจะไม่มีวันยอมแพ้ในสงครามนี้ เราจะสู้ทุกอย่างหากจะตายก็ตาย"
  • สนธิ ลิ้มทองกุล, 31 ส.ค.51, กล่าวบนเวทีปราศรัย[16]
  • "รัฐวิสาหกิจตัดน้ำตัดไฟ พร้อมประกาศ สงครามครั้งสุดท้าย ไม่เลิก ไม่ถอย และให้ลุกขึ้นต่อสู้ให้สิ้นสุดภายในวันนี้.."
  • สนธิ ลิ้มทองกุล, 7 ต.ค.51, กล่าวบนเวทีพันธมิตรฯ[17]
  • "..นี่อาจเป็นสงครามครั้งสุดท้ายกันเลยทีเดียว"
  • สนธิ ลิ้มทองกุล, 28 พ.ค.55, ในประกาศนัดชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ในวันที่ 30พ.ค.55 เพื่อคัดค้านการร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ[18]
  • “การต่อสู้ครั้งนี้ จะต้องเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย"
  • สนธิ ลิ้มทองกุล, 23 ก.ย.55, ปราศรัยผ่านโทรศัพท์ในเวทีเสวนา หยุดเผด็จการรัฐสภา รวมพลังปฏิรูปประเทศไทย ที่โรงแรมสุนีย์ แกรนด์ โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ จ.อุบลราชธานี[19]


ศาลอุทธรณ์ยืน "คุก 2 ปี" เจ๋ง ดอกจิก ปราศรัยหมิ่นประมาทเบื้องสูง ยื่นหลักทรัพย์ 5 แสนประกันตัวสู้ชั้นฎีกา



          วันที่ 1 พ.ค. ที่ห้องพิจารณา 911 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ คดีหมิ่นเบื้องสูงหมายเลขดำ อ.2740/53 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง นายยศวริศ หรือประมวล ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิกอดีตที่ปรึกษา รมช.พาณิชย์ และแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และจำเลยคดีก่อการร้ายเป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ โดยอัยการโจทก์นำคดีมายื่นฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 53 ระบุความผิดสรุปว่า

         เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 53 จำเลยได้ขึ้นปราศรัยบนเวที นปช. เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ และได้กล่าวพาดพิงดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูงด้วยถ้อยคำไม่เหมาะสม ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศชื่อเสียง เกลียดชัง เหตุเกิดแขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กท. ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 2, 8, และ 12 เบื้องต้นจำเลยให้การรับสารภาพ แต่ภายหลังให้การปฏิเสธ สู้คดี

          คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 ม.ค. 56 ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้ 2 ปีโดยไม่รอลงอาญาจำเลยยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้องด้วยศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันโดยละเอียดรอบคอบแล้ว ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นเหมาะสมกับความผิดแล้ว ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

         ภายหลังทนายความของนายยศวริศได้เตรียมยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 5แสนบาทเพื่อขอประกันตัวสู้คดีในชั้นฎีกาต่อไป.

"ม.จ.จุลเจิม ยุคล" ทรงเพี้ยน??? เขียนเฟสบุ๊ค ให้ "หนุมาน" ออกมาปราบยักษ์เสื้อแดง

"ม.จ.จุลเจิม ยุคล" ทรงเพี้ยน??? เขียนเฟสบุ๊ค ให้ "หนุมาน" ออกมาปราบยักษ์เสื้อแดง



         วันที่ 30 เมษายน 2557 (go6TV) พล.ต.ม.จ.จุลเจิม ยุคล ได้โพสต์ในเฟซบุ๊คส่วนตัว Chulcherm Yugala ได้เขียนเฟสบุ๊ค เพ้อเจ้อเรียกหนุมาน ออกมาปราบยักษ์ ไล่เสื้อแดงไปอยู่ใต้ดิน


พล.ต.ม.จ.จุลเจิม ยุคล โพสต์ในเฟสบุ๊คไว้ดังนี้

           ออกมากันเถอะครับ เพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ ของผม  “ พลนิกรทุกเหล่าท้าวพระยา จงออกมาปกปักพิทักษ์ชัย  มาบัดนี้มีไพรีมาบีฑา.......................

         เมื่อมันผู้ใดที่อยู่ในแผ่นดินไทยนี้ที่ ต้องการเหยียบย่ำ โค่นล้มสถาบันเบื้องสูงที่เคารพของพวกเรา เพื่อข้ามไปสู่ระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จครบวงจร พวกหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พระมหากษัตริย์ พวกให้ร้าย อาฆาตมาดร้าย ต่อองค์พระประมุข ที่ทรงเป็นที่ เคารพ บูชา และเทิดทูน ของพวกเรา............

“ไอ้พวก ยักษ์มารราญรอนแต่ก่อนเก่า
ที่หลงลาภโภโมหันคนจัญไร
จึงเปลี่ยนใจเนรคุณพระบุญญา”
ไอ้พวกไปภักดีรับใช้ขบวนการแดงล้มเจ้า
ร่วมกับคนใหญ่ คนโต ที่เคยเฝ้าเอางานใช่หรือไม่
ส่งพวกมันกลับลงไปอยู่ไต้ดิน บ้านเกิดดังเดิม............... !!.

“ขอทวยเทพจงเป็นเห็นพยาน
มือพนมก้มกรานลงตรงหน้า
ทั้งเลือดเนื้อเพื่อพระองค์กษัตรา
สิ้นชีวายอมพลีจักรีวงศ์”
พลนิกรทุกเหล่าท้าวพระยา
จงออกมาปกปักพิทักษ์ชัย..........

           จงออกมากันเถอะครับ เมื่อเราพึ่งใครอีกไม่ได้แล้วที่จะหยุดไอ้พวกยักษ์มาร ที่ราญรอนแต่ก่อนเก่า ที่หลงลาภโภโมหัน จากคนจัญไร ถ้าเราหยุดพวกมันไม่ได้ เราก็สมควร หยุดตัวเรา ได้แล้วไม่ต้องมาโอดควร กันอีกต่อไป..................


บัดนั้น นางกุญชรมอญแม่ศรี
เพ่งพินิจชีวิตองค์จักรี มาบัดนี้ไพรีมาบีฑา
จึ่งขอร้องก้องกังวานขานขับ ถึงคนรับ "หนุมาน" ทหารกล้า
พลนิกรทุกเหล่าท้าวพระยา จงออกมาปกปักพิทักษ์ชัย
อันยักษ์มารราญรอนแต่ก่อนเก่า ก็เคยเฝ้าเอางานใช่หรือไม่
หลงลาภโภโมหันคนจัญไร จึงเปลี่ยนใจเนรคุณพระบุญญา
ขอทวยเทพจงเป็นเห็นพยาน มือพนมก้มกรานลงตรงหน้า
ทั้งเลือดเนื้อเพื่อพระองค์กษัตรา สิ้นชีวายอมพลีจักรีวงศ์.................


          ขอขอบพระคุณ และขออนุญาต คุณ กุญชรศรีหน่อง ครับ
๒๙เมษายน๒๕๕๗



ม.จ. จุลเจิม ยุคล






กระเทยควาย สติแตก! สุดทนโพสต์ด่าประชาธิปัตย์เป็นบัวใต้น้ำ ยอมรับเอากระดูกแขวนคอ

กะเทยควาย สติแตก! สุดทนโพสต์ด่าประชาธิปัตย์เป็นบัวใต้น้ำ 
ยอมรับเอากระดูกแขวนคอ



ภาพถ่าย


          30 เมษายน 2557 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 12.00น. ที่ผ่านมา นายเสรี วงษ์มณฑา หรือ "เจ๊อี๊ด" แม่ยกประชาธิปัตย์และแกนนำ กปปส. ได้โพสต์ข้อความผ่าน Facebook ส่วนตัว โจมตีพรรคประชาธิปัตย์อย่างเผ็ดร้อน ขณะเดียวกัน ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจำนวนมากเชื่อว่าพฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ที่ "เจ๊อี๊ด" โพสต์ข้อความแฉเป็นเรื่องจริง แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ "เจ๊อี๊ด" ว่าจะตัดขาดจากพรรคประชาธิปัตย์ได้

         ทั้งนี้ ข้อความของนายเสรี วงษ์มณฑา หรือ เจ๊อี๊ด มีเนื้อหาดังนี้




             "แต่ทุกครั้งที่ออกมาวิพากษ์พรรคประชาธิปัตย์และอภิสิทธ์ด้วยความสุจริตและปรารถนาดี ก็จะต้องเจอกับคนของประชาธิปัตย์บางคนที่จุดยืนเลยสถานะของการเป็นสมาชิกพรรคแต่ทำตัวเป็นสาวกผู้พิทักษ์(curators) ในลักษณะที่ว่าพรรคของข้า หัวหน้าข้าใครอย่าแตะ แทนที่จะพินิจพิจาณาก่อนว่าคนที่เขาวิพากษ์วิจารณ์นั้นเขาทำในนามของกัลยาณมิตรหรือศัตรู ถ้าหากมีคนอย่างนี้ในพรรคประชาธิปัตย์มากๆ อีกหน่อยประชาธิปัตย์จะถูกโดดเดี่ยว ปล่อยให้สู้กับพรรคเพื่อไทยตามลำพัง ไม่มีใครช่วย ไม่มีใครเตือน เพราะคงไม่มีใครอยากจะอยู่ในสภาพ "เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ต้องเอากระดูกมาแขวนคอ" ไปเรื่อยๆ



           คนท่ีจะเตือนคนพวกนี้ได้ก็เห็นจะมีอภิสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว บอกให้คนพวกนี้หัดใจกว้างรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์จากกัลยาณมิตรผู้หวังดีกันบ้าง ประชาธิปัตย์หรือตัวอภิสิทธิ์เองไม่ใช่ว่าจะเป็นคนที่ทำถูกทุกเรื่อง ดังนั้นเวลามีคนที่คนท้วงติงด้วยความปรารถนาดีเยี่ยงกัลยาณมิตรก็ต้องฟังเขาบ้าง อย่าออกมาเป็นสาวกผู้พิทักษ์ด่าทุกคนที่ออกมาวิพากษ์โดยไม่แยกว่าใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู ขืนเป็นอย่างนี้ระวังนะ เมื่อแนวร่วมหายไปจะกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านตลอดกาล เพราะเลือกตั้งไม่มีวันจะชนะ เหมือนอย่างที่แกนนำ นปช. ปรามาสเอาไว้


           มีทฤษฎการสื่อสารทฤษฎีหนึ่งชื่อทฤษฎี Social Judgment and Individual Involvement กล่าวว่าถ้าคนเรารู้สึกว่าเรื่องใดเกี่ยวข้องกับตนเอง (Individual Involvement) มากเท่าใด ก็จะกลายเป็นคนที่มีจิตใจคับแคบในการฟังข้อมูลใดๆเกี่ยวกับเรื่องนั้น ทำให้เปลี่ยนความคิดเห็น (Social Judgment) ไม่ค่อยได้ มิหนำซำซ้ำยังจะมองคำพูดของคนที่คิดต่างจากตนที่แตกต่างไม่มากนักกลายเป็นความแตกต่างที่มากมายจนไม่อาจจะยอมรับได้


              ถ้าหากคนพวกนี้รักษาระยะของความรักความชอบประชาธิปัตย์ให้ห่างออกมาสักนิดก็จะดี จะทำให้เป็นคนที่ใจกว้างขึ้น รับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์และหัวหน้าประชาธิปัตย์ได้มากขึ้น เปิดโอกาสให้มีการนำคำวิพากษ์เหล่านั้นมาวิเคราะห์และได้ปรับปรุงการทำงานของพรรค



          ณ บัดนี้จะขอเรียนรู้บทเรียนจากประสบการณ์ที่ออกมาวิพากษ์การทำงานของอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์เยี่ยงกัลยาณมิตรผู้หวังดีว่า ต่อไปนี้จะไม่ขอข้องแวะยุ่งเกี่ยวกับการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆทั้งสิ้น ถูกก็จะไม่ชม ผิดก็จะไม่วิจารณ์ ขออวยพรให้ประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านอย่างมีความสุขกับสาวกผู้พิทักษ์ที่ได้ช่วยกันผลักมิตรให้เป็นศัตรูต่อไปเรื่อยๆจนกว่าฟ้าดินสลายก็แล้วกัน น่าเสียดายพรรคที่เราคิดว่าพอจะเป็นบัวโผล่พ้นน้ำได้บ้าง กลับมีผู้พิทักษ์ที่รักมากขนาดไม่รับฟังคำวิพากษ์จากมิตร ยอมที่เป็นบัวใต้น้ำต่อไป"



http://www.redusala.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557

อภิสิทธิ์เผย ผบ.สส.หนุนแนวทางแก้ปัญหา-ยิ่งลักษณ์ยืนยัน รบ.พร้อมพูดคุย

อภิสิทธิ์เผย ผบ.สส.หนุนแนวทางแก้ปัญหา
ยิ่งลักษณ์ยืนยัน รบ.พร้อมพูดคุย
 Mon, 2014-04-28 18:57
          นายกรัฐมนตรีขอทุกฝ่ายให้อภิสิทธิ์ทำงานเต็มที่ หากไปคุยกับสุเทพได้ก็เป็นแนวทางที่ดี เพราะเป็นต้นคิดการปฏิรูป หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะได้ข้อคิดตรงกัน ด้านรัฐบาลพร้อมพูดคุยกับอภิสิทธิ์แต่ตอนนี้ยังไม่ได้นัด ส่วนอภิสิทธิ์เผยไปคุยกับ ผบ.สส. มาแล้ว และจะประเมินผลตลอด 2 สัปดาห์ ถ้าไม่ก้าวหน้าจะเลิกคุย

          ตามที่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เผยแพร่คำแถลง "อภิสิทธิ์เดินหน้าหาคำตอบให้ประเทศ" พร้อมเสนอให้พาประเทศไปสู่การปฏิรูปและเป็นการปฏิรูปภายใต้รัฐธรรมนูญ ตามหลักการประชาธิปไตย มีกระบวนการเลือกตั้งที่ทุกฝ่ายยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูป และระบุว่าจะนำเสนอแนวคิดต่อฝ่ายต่างๆ รวมทั้งพรรครัฐบาล พรรคการเมือง และผู้ชุมนุมทุกฝ่ายนั้น (อ่านข่าวก่อนหน้านี้)
ยิ่งลักษณ์ขอทุกฝ่ายให้อภิสิทธิ์หาทางออกประเทศ รัฐบาลพร้อมคุยทุกฝ่ายแต่ตอนนี้ยังไม่ได้นัด
          ล่าสุดวันนี้ (28 เม.ย.) สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.กระทรวงกลาโหม กล่าวว่าขณะนี้ทุกฝ่ายต้องให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ทำงานอย่างเต็มที่ หากทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดหวังก็ถือเป็นเรื่องดี โดยรัฐบาลพร้อมพูดคุยกับอภิสิทธิ์และทุกฝ่าย แต่ขณะนี้ยังไม่มีการนัดหมายอย่างเป็นทางการ ส่วนจะเป็นถ่ายทอดสดหรือไม่ ต้องขอดูรายละเอียดก่อน
         อย่างไรก็ตาม เห็นว่าฝ่ายการเมืองและภาคประชาชนต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาประเทศ และเห็นว่า หากอภิสิทธิ์พูดคุยกับสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ก่อนพูดคุยกับรัฐบาลจะเป็นแนวทางที่ดี เนื่องจากเป็นผู้ริเริ่มแนวทางการปฏิรูปหาทางออกประเทศ และเป็นบุคคลที่เหมาะสมที่จะพูดคุย และหวังว่าทั้งสองฝ่าย จะได้ข้อคิดเห็นที่ตรงกัน ทั้งนี้ ไม่อยากให้มองว่า การกระทำของอภิสิทธิ์ จริงใจหรือไม่ แต่ขอมองที่ความพยายาม และให้กำลังใจการทำหน้าที่แก้ไขปัญหา
         ส่วนกรณี พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด เสนอแนวทางพึ่งพระบารมีแก้ไขสถานการณ์บ้านเมือง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหว ที่ต้องระมัดระวังและศึกษาอย่างรอบคอบ
         สำหรับการพูดคุยกับ กกต.นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้พูดคุยกับประธาน กกต.เบื้องต้นแล้ว แต่ต้องรอการประสานงานอย่างเป็นทางการ และ รัฐบาลพร้อมให้ความร่วมมือเข้าร่วมประชุม ส่วนการชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ในวันที่ 6 พฤษภาคมหรือไม่ ยังมีเวลาพิจารณา
อภิสิทธิ์บอก ผบ.สส.หนุนแนวทางแก้ปัญหา รับจะประเมินผลตลอด 2 สัปดาห์ ถ้าไม่ก้าวหน้าจะเลิก
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายหลังเข้าพบผู้บัญชาการทหารสูงสุด เมื่อวันที่ 28 เม.ย. (ที่มา: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์)
           ขณะเดียวกัน สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย รายงานว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยภายหลังเข้าพบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ว่า การเข้าพบในวันนี้ได้นำเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาของประเทศ ซึ่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้ให้การสนับสนุนแนวทางการดำเนินการของเขาในการเดินสายหารือหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งเป็นการตอบรับที่น่าพอใจ มองปัญหาตรงกัน นอกจากนี้ยังได้ใช้โอกาสนี้ขอบคุณกองทัพที่ทำหน้าที่ในการดูแลประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด โดยยืนยันว่าการเดินสายครั้งนี้ไม่ใช่การเจรจาเพื่อผลประโยชน์กับฝ่ายใดทั้งสิ้น ซึ่งเป็นเพียงการเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาประเทศ และแต่ละหน่วยงานจะยอมรับและเห็นด้วยหรือไม่ขึ้นอยู่กับการพิจารณา ส่วนฝ่ายรัฐบาลจะมีข้อเสนออะไรนั้น พร้อมรับฟัง ซึ่งปัญหาทางการเมืองนั้น ฝ่ายการเมืองต้องเป็นผู้แก้ไขกันเองไม่ควรนำไปเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งยอมรับว่าเวลาในการดำเนินการมีไม่มาก และการดำเนินการครั้งนี้จะประเมินผลภายในเวลา 2 สัปดาห์ หากไม่มีความก้าวหน้าจะล้มเลิกการดำเนินการ
         ทางด้านกรมกิจการพลเรือนทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ออกเอกสารสรุปผลการหารือครั้งนี้ว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเห็นด้วยกับแนวทางของนายอภิสิทธิ์ที่จะเดินทางไปพบกลุ่มต่างๆ เพื่อเสนอแนวคิดในการแก้ปัญหาบ้านเมือง พร้อมทั้งได้แสดงจุดยืนของกองทัพในการปฏิบัติตามหน้าที่ความรับผิดชอบ ยึดมั่นในรัฐธรรมนูญ เพื่อประโยชน์ประเทศชาติและประชาชน
อกณัฏยืนยันมาร์คเดินสายไม่กระทบ กปปส. เพราะเป็นอิสระจากพรรคการเมือง 
         ส่วนการแถลงข่าวของ กปปส. วันนี้ (28 เม.ย.) นั้น เอกณัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส. ยืนยันว่า กปปส. ไม่มีความขัดแย้งกับอภิสิทธิ์ ตามที่ฝ่ายตรงข้ามพยายามบิดเบือนข้อมูล ขอยืนยันว่าการเดินสายเจรจาของอภิสิทธิ์ไม่กระทบต่อการเคลื่อนไหวของ กปปส. เพราะ กปปส. เป็นอิสระจากพรรคการเมืองและนักการเมือง และพร้อมพูดคุยกับผู้ที่หวังดีต่อบ้านเมือง และเห็นตรงกันกับนายอภิสิทธิ์ที่ต้องการให้มีการปฏิรูปโดยประชาชนเพื่อประชาชน แต่จะไม่พูดคุยเจรจากับระบอบทักษิณ
        ทั้งนี้โฆษก กปปส. กล่าวแสดงความไม่เห็นด้วยกับมติ ครม. ที่จะขยายการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงไปอีก 60 วัน เพราะเชื่อว่าไม่เกิดประโยชน์และทำให้สถานการณ์บานปลาย ที่ผ่านมา ศอ.รส. ก็ไม่สามารถดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนได้ และสถานการณ์ปัจจุบันสามารถใช้กฎหมายปกติได้
         อนึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 26 เม.ย. สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ปราศรัยว่าไม่ว่าใครก็ตามที่เคยรู้จักหรือทำงานด้วย อย่าบังอาจตั้งตัวเป็นคนกลางเจรจา เพราะตอนนี้ไม่มีนายสุเทพแล้ว มีแต่กำนันร่างทรงที่ไม่ฟังใครแล้วนอกจากประชาชนที่ต้องการปฏิรูปและขับไล่รัฐบาล (อ่านข่าวก่อนหน้านี้) ก่อนที่ต่อมาในวันนี้ นายเอกนัฏจะแถลงยืนยันว่าไม่ได้ขัดแย้งกับอภิสิทธิ์ดังกล่าว
http://www.redusala.blogspot.com/

ออกซ์ฟอร์ดดีล!!! ASTV แฉหมดเปลือก "มาร์ค-กรณ์" ดอดเจรจาสงบศึกแลกเก้าอี้นายกฯ

ออกซ์ฟอร์ดดีล!!! ASTV แฉหมดเปลือก 
"มาร์ค-กรณ์" ดอดเจรจาสงบศึกแลกเก้าอี้นายกฯ



          “พล.ร.ท.ประทีป” ตอกกลับ "กรณ์" ยันมีผู้ใหญ่ให้ข้อมูลเชิงลึก “ออกซ์ฟอร์ดดีล” มีความเป็นไปได้สูง ดอดเจรจาตกลงกันเรียบร้อย ก่อน “อภิสิทธิ์” เดินสายเจรจาทุกฝ่าย หวั่นกระทบต่อประเทศชาติ ชี้ ปชป. กระสันเลือกตั้งก่อนปฏิรูปเหมือนพรรคเพื่อไทย

           วันนี้ (27 เม.ย.) พล.ร.ท.ประทีป ชื่นอารมณ์ อดีตผู้บัญชาการหน่วยปฏิบัติการลำน้ำโขง (นปข.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ตอบโต้กรณีที่นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปฏิเสธกรณีที่ได้ไปเจรจากับฝั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นที่มาของการเสนอทางออกให้บ้านเมืองของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะเดินสายเจรจาทุกฝ่าย รวมทั้งไม่เคยพบปะพูดคุยกับ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยดอดไปเจรจากับใครที่ไหน และมีหน้าที่เดียวในพรรคที่ได้รับมอบหมายให้ทำ คือการร่างนโยบายของพรรค ระบุว่า "ผมขอตอบคุณกรณ์ ดังนี้


  • 1. ผมในฐานะนำข้อมูลมาเปิดเผย ได้รับผิดชอบในระดับหนึ่งแล้ว คือ ไม่เปิด/หรือเอ่ยชื่อว่าเป็นใคร? ดังนั้นถ้าคุณกรณ์รีบออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับ Oxford Deal ก็ถือว่าคุณกรณ์เชื่อว่าคนที่ผมพูดนั้นอาจหมายถึงคุณกรณ์เอง คุณกรณ์มีสิทธิ์ปฏิเสธได้ แต่ความจริงเป็นอย่างไรมันก็ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว และสุดท้ายสังคมก็จะใช้วิจารณญาณเองว่าจะเชื่อหรือไม่?
  • 2. ผมเป็นแขกรับเชิญประจำของ ASTV ในการวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองมานาน มีผู้ใหญ่ที่มีเครดิตทางสังคมเมตตาให้ข้อมูลกับผมทั้งเชิงลึกและเชิงกว้างนำมาใช้เสมอและข้อมูลในเรื่องสำคัญๆที่ผ่านมาไม่เคยพลาดและบางข้อมูลที่ไม่มีผลกระทบต่อประเทศชาติ แต่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ผมก็เก็บงำไว้แต่ถ้าเห็นว่าเป็นเรื่องที่กระทบต่อประเทศชาติ ผมจึงจะนำมาเปิดเผย และเปิดเผยข้อมูลนี้(ขอย้ำว่าไม่เปิดเผยว่าเป็นใคร?)เพราะเชื่อมั่นว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และข้อมูลมีความน่าเชื่อถือ และมีความเป็นไปได้สูง
  • 3. เรื่อง Oxford Deal นี้ มีน้ำหนักน่าเชื่อถือและสำคัญแค่ไหน? นั้นมีเหตุผลรองรับตามข้อ 2 และผมเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญมีผลกระทบต่อประเทศชาติ เพราะ สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ชี้ชัดว่า พรรคประชาธิปัตย์มีแนวทางมุ่งสู่การเลือกตั้งก่อนการปฏิรูปเช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทย ตามที่เห็นได้จากปรากฏการณ์ของอภิสิทธิ์และOxford Deal ก็สอดคล้องกับปรากฏการณ์อภิสิทธิ์ ผมจึงตัดสินนำเสนอเพื่อให้สังคมได้รับรู้และพิจารณา



         อย่างไรก็ตามจากเหตุการณ์ทางการเมืองและจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบัน ถ้าให้เลือกเชื่อข้อมูลระหว่างใครคนหนึ่ง? ไม่ว่าจะเป็นคุณกรณ์หรือใครก็ตาม กับผู้ใหญ่ที่มีเครดิตทางสังคมมีข้อมูลเชิงลึกที่เป็นแหล่งข่าวให้ข้อมูลผมไม่เคยผิดพลาดแล้ว ผมยังยืนยันที่จะเลือกเชื่อข้อมูลของผู้ใหญ่ท่านนี้ครับ"

http://www.redusala.blogspot.com/

"ศิริโชค โสภา" เครียด! ย่องเงียบรับทราบข้อกล่าวหาคดีอาวุธปืนเถื่อน

"ศิริโชค โสภา" เครียด! ย่องเงียบรับทราบข้อกล่าวหาคดีอาวุธปืนเถื่อน




          เมื่อวานนี้ (26 เม.ย.) นายศิริโชค โสภา อดีต ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมทนายความ เดินทางเข้าแสดงความบริสุทธิ์ใจ ต่อพนักงานสอบสวนสภ.เทพา จ.สงขลา หลังจากถูกออกหมายเรียกในคดีโอนอาวุธปืนโดยผิดกฏหมาย และนายศิริโชคได้ขอเลื่อนเข้าพบพนักงานสอบสวนมาหลายครั้งแล้ว โดยพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำเบื้องต้น ซึ่งนายศิริโชคได้ให้การปฏิเสธ อ้างว่าปืนกระบอกดังกล่าวได้ขายไปแล้ว หลังจากให้ปากคำแล้วจึงเดินทางกลับ

         สำหรับกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2556 เจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษจังหวัดสงขลา นำกำลังเข้าจับกุมผู้ต้องหา 5 คน ขณะทำการดูดทรายในอำเภอเทพา พร้อมยึดของกลาง

  • รถแบ็กโฮล 1 คัน , 
  • เรือดูดทราย 2 ลำ, 
  • เครื่องยนต์ดูดทราย 
  • รถยนต์บรรทุก 6 ล้อ 
  • ปืนลูกซองยาว 1 กระบอก พร้อมกระสุนปืน 7 นัด 
         บริเวณท่าทราย บริษัททะเลทรัพย์เจริญ จำกัด ที่มีเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ โดยอาวุธปืนดังกล่าวนั้นมีชื่อเป็นของนายศิริโชค โสภา ซึ่งนายศิริโชคอ้างว่าได้ขายไปแล้ว โดยผู้ซื้อไม่ได้มีเอกสารการซื้อปืนอย่างถูกต้อง จึงถูกออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาเพื่อสู้คดีกันต่อไปส่วนข้อหาโอนอาวุธปืนให้แก่ผู้ที่มิได้รับอนุญาตและเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามกฎหมายอาวุธปืนและกฎหมายอาญา นั้นมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

http://www.redusala.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2557

จัดเต็ม! สัมภาษณ์พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล กรณีองค์กรเก็บขยะแผ่นดิน

จัดเต็ม! สัมภาษณ์พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล กรณีองค์กรเก็บขยะแผ่นดิน

         จากประเด็นร้อน "องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน" ที่ถูกก่อตั้งโดย พล.ต.นพ. เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.โรงพยาบาลมงกฎวัฒนะ โดยมีวัตถุประสงคฺเป็น"องค์กรปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มผู้กระทำการหมิ่นสถาบันฯ"

          พุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล นักวิชาการด้านกฎหมายมหาชนจาก ม.สยาม ได้ให้ทัศนะต่อปรากฎการณ์ข้างต้นแบบเต็มๆในฐานะนักนิติศาสตร์
๐๐๐๐
Q.มุมมองของนักกฎหมายต่อ โปรเจคท์ องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน

A. กิจกรรมในลักษณะนี้ มีลักษณะบั่นทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลอื่นที่มีความคิดเห็นทางการเมืองต่อสถาบันกษัตริย์แตกต่างไปจากคณะตน คือต้องเข้าใจว่า ความคิดเห็นเกี่ยวกับกษัตริย์หรือสถาบันกษัตริย์นั้น คือความคิดเห็นทางการเมือง เพราะกษัตริย์เป็นสถาบันทางการเมืองหนึ่งในบรรดาสถาบันทางการเมืองทั้งหลายที่รัฐธรรมนูญก่อตั้งขึ้น การที่ ‘องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน’ นิยามบุคคลที่มีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างจากคณะตนให้มีสถานะเป็น ‘ขยะแผ่นดิน’ ที่จะต้องถูกกำจัดทิ้ง หรือถูกดำเนินคดีด้วยประมวลกฎหมาย มาตรา 112 โดยให้พลเมืองแปลงสภาพเป็น ‘ตำรวจความคิด’ คอยสอดส่องพฤติกรรมและความนึกคิดของพลเมืองคนอื่น ๆ ในสังคม ขจัดพื้นที่ในการสื่อสารเกี่ยวกับองค์กรของรัฐที่ใช้อำนาจสาธารณะและมุ่งดำเนินคดีต่อผู้ที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับองค์กรของรัฐเช่นนี้ตลอดเวลา  การกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่สร้างสรรค์อย่างยิ่งในรัฐที่ประกาศตนเป็นประชาธิปไตย ตลอดจนการลดทอน ‘มนุษย์’ ที่มีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันให้กลายเป็น ‘ขยะ’ หรือวัตถุที่สามารถทำลายได้นั้นเป็นการแสดงออกถึงการไม่เคารพผู้อื่นและมีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นของผู้อื่น
Q.การอ้างเอาใช้ ม.8 และโครงสร้างองค์กรดังกล่าว ตามที่ พล.ต.เหรียญทอง เสนอ ชอบธรรม หรือ ยุติธรรม ตามตัวบทกฎหมายหรือไม่

A. ประเด็นที่ 1. บทบัญญัติมาตรา 8 รัฐธรรมนูญฯ มีสองวรรค ทั้งสองวรรค มีความหมายว่า กษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ (วรรคหนึ่ง) ฉะนั้นผู้ใดจะฟ้องร้องดำเนินคดีไม่ได้ (วรรคสอง) ในทางคำอธิบายตามหลักวิชาเป็นแบบนี้ แต่เดิมมีวรรคแรกวรรคเดียว แต่ภายหลังเหตุการณ์คดีสวรรคตรัชกาลที่ 8 ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ 2492 ได้เพิ่มข้อความในวรรคสองขึ้นมา ก็เพื่ออธิบายความในวรรคแรก ครับ ในประเด็นนี้บิดาของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็คือ พันโท พโยม จุลานนท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบุรี ได้อภิปรายในสภาร่างรัฐธรรมนูญ (2492) ไว้อย่างแหลมคมว่า

“ได้มีการอภิปรายกันมากแล้วในเรื่องว่าผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้ อันนี้ข้าพเจ้าใคร่จะชี้ให้เห็นว่ามันขัดกับหมวด 3 มาตรา 27 ที่บอกว่าบุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย ข้าพเจ้าข้องใจว่าก็เมื่อเช่นนี้แล้วทำไมพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ชาวไทยอย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นก็เอาแบบญี่ปุ่นซิ พระมหากษัตริย์สืบสันตติวงศ์มาจากดวงอาทิตย์ ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าก็ยอมว่าไม่ใช่คนธรรมดา และความจริงมาตรา 5 ก็บัญญัติอยู่แล้ว และรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ ก็ไม่ได้เคยบัญญัติ ฟ้องร้องในทางใด ๆ มิได้ ข้าพเจ้าใคร่จะขอตั้งข้อสังเกตอีกอันหนึ่งว่า การสืบราชสันตติวงศ์นั้นย่อมสืบลงมาเป็นลำดับแต่หากว่าในราชตระกูลนั้น บังเอิญท่านผู้นั้นได้กระทำผิดกฎหมายอาญาขึ้นก่อนแต่คดียังไม่มีการฟ้องร้อง แต่บังเอิญได้ถูกสถาปนาขึ้นครองราชย์บัลลังก์ขึ้นมาแล้ว การฟ้องร้องการกระทำความผิดกก่อนเสวยราชย์ก็ฟ้องร้องไม่ได้เพราะเป็นพระมหากษัตริย์ เช่นนี้ข้าพเจ้าเห็นว่ามันขัดกัน ข้าพเจ้ามีความเห็นอย่างนี้ เราได้รับเราพูดไปอย่างหนึ่ง ข้าพเจ้าตำหนิว่าการที่เราวางหลักเพื่อปลอบใจประชาชนไว้ให้สิทธิว่าบุคคลย่อมเสมอภาคกันในทางกฎหมาย ฐานันดรศักดิ์ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นประชาชนเชื่อว่าต่อไปนี้เราเท่ากันหมด แต่ความจริงในหมวด 2 ยกให้พระมหากษัตริย์เป็นบุคคลที่จุติมาจากสวรรค์ อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าบางทีเราพูดกับทำไม่ตรงกัน” (ดู รายงานการประชุมรัฐสภา ครั้งที่ 15 วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ.2492. ใน เลขาธิการรัฐสภา, สำนักงาน. 'รายงานการประชุมรัฐสภา พ.ศ.2492 เล่ม 1 และ รายงานการประชุมร่วมกันของรัฐสภา พ.ศ.2492 – 2494'. พระนคร : สำนักงาน. หน้า 144.)

ฉะนั้น เวลาเราไปศาลใดก็ตาม หากเราระบุชื่อจำเลย คือ กษัตริย์ เช่นนี้ ศาลก็จะไม่รับคำฟ้องครับ สถานะของรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 8 เป็นแบบนี้ในระบบกฎหมาย แต่สำหรับนัยทางการเมืองนั้น มาตรา 8 วรรคหนึ่ง มีลักษณะเป็นกลไกครอบงำอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างที่เราเห็นผลลัพธ์ในปัจจุบันนี้ด้วย ธรรมดากฎหมายนั้นจะบังคับเฉพาะพฤติกรรมที่แสดงออกของมนุษย์เท่านั้น ธรรมดากฎหมายจะไม่ก้าวล่วงเข้าไปในจิตใจของบุคคล และมีสภาพบังคับโดยมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา การที่  พล.ต.เหรียญทอง นำรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 8 มาบังคับใช้ควบคู่กับมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา จึงเป็นผลผลิตโดยตรงที่บ่มเพาะมาจากการครอบงำอุดมการณ์ทางการเมือง สร้างสถานะศักดิ์สิทธิ์ให้แก่กษัตริย์ ด้วยการปฏิเสธพื้นที่การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์อย่างตรงไปตรงมา ขณะเดียวกันก็ยอพระเกียรติถ่ายเดียวเช่นนี้ ใครที่แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างไปจากกระแสก็จะถูกจับด้วยมาตรา 112 บ่มเพาะเช่นนี้กว่า 70 ปี การครอบงำอุดมการณ์ทางการเมืองแบบกษัตริย์นิยมจึงมีลักษณะเข้มแข็งมากจนกลืนไปอยู่ใน ‘จิตไร้สำนึก’ (Unconscious mind) พลเมืองถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพโดยไม่รู้สึกว่าตนกำลังถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพ และพร้อมเป็น ‘นักล่า’ บรรดาผู้ที่ไม่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำด้วยอุดมการณ์ชุดเดียวกับตน อย่างที่เราเห็น ‘องค์กรกำจัดขยะ’ กำลังจะทำกัน ก็เป็นผลมาจากเหตุนี้ทั้งสิ้น

ประเด็นที่ 2. หากถามว่า การบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีความยุติธรรมตามกฎหมายหรือไม่? ในเรื่องนี้ผมขอเรียนอธิบายอย่างนี้ก่อนครับว่า เป็นความเข้าใจผิดนะครับที่นิยมกล่าวกันว่า ‘กฎหมายที่อยุติธรรมอย่างรุนแรง’ ถ้ายังไม่ถูกยกเลิก ก็ต้องบังคับใช้ จึงจะได้เป็นนิติรัฐ

‘นิติรัฐ’ นั้นจะดำรงอยู่ควบคู่กับกฎหมายที่ยุติธรรมครับ หากกฎหมายใดขัดต่อนิติรัฐอย่างรุนแรง (ตลอดจนวัฒนธรรมในการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวของกระบวนการยุติธรรมในรัฐนั้น) การบังคับใช้กฎหมายนั้น ในกระแสนิติศาสตร์หลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ถือว่า การบังคับใช้กฎหมายที่อยุติธรรมอย่างรุนแรง มีค่าเป็น ‘การก่ออาชญากรรม’ ครับ ไม่ใช่ ‘นิติรัฐ’

คนไทยจำนวนไม่น้อยยังติดกับ ‘นิติรัฐ’ ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ไม่สนใจในคุณค่าหรือเนื้อหาของบทบัญญัติกฎหมาย (ในทำนองว่ากฎหมายต้องเป็นกฎหมาย) โดยไม่ต้องใช้สมองตรึกตรองความรุนแรงโดยสภาพของการบังคับใช้กฎหมายนั้น เช่น มาตรา 112 ในกระแสนิติศาสตร์ยุคใหม่ย่อมถือว่า มาตรา 112 คือ เครื่องมือในการก่ออาชญากรรมครับ ใครบังคับใช้มาตรานี้ ก็คือ อาชญากร และใครสนับสนุนมาตรานี้ก็คือ ผู้สนับสนุนให้เกิดอาชญากรรม ในประเด็นนี้มีบทความหนึ่ง “Statutory Lawlessness and Supra-Statutory Law”  ของ Gustav Radbruch นักนิติศาสตร์เยอรมันที่มีบทบาทสำคัญที่สุดท่านหนึ่งในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ดู Gustav Radbruch, “Statutory Lawlessness and Supra-Statutory Law” Oxford Journal of Legal Studies, vol.26, No.1 (2006), pp. 1-11. http://goo.gl/fHCchJ ) หากท่านอ่านบทความดังกล่าว จะพบตัวอย่างคดีหนึ่งครับ ขออนุญาตเล่าโดยย่อ เรื่องมีอยู่ว่า ในรัฐนาซีเยอรมัน มีกฎหมายห้ามหมิ่นประมาทประมุขแห่งรัฐ ทีนี้ นาย ก. ก็ไปแจ้งความจับ นาย ข. ว่าหมิ่นประมาทประมุขแห่งรัฐ ศาลพิพากษาประหารชีวิตนาย ข. ต่อมาหลังสงครามโลก ทายาทนาย ข. ฟ้องนาย ก. และผู้พิพากษาในองค์คณะที่ตัดสินประหารชีวิตนาย ข. ว่าร่วมกันฆ่านาย ข. ด้วยอิทธิพลของกระแสนิติศาสตร์ยุคใหม่ ศาลสูงพิพากษาว่ากฎหมายห้ามหมิ่นประมาทประมุขแห่งรัฐ ขัดต่อความยุติธรรมถึงระดับที่ไม่อาจทนรับได้อีกต่อไป (intolerable level) จนถือได้ว่าเป็น ‘กฎหมายปลอม’ หรือ ‘กฎหมายที่ไม่ใช่กฎหมาย’ (Unrichtiges Recht) ตลอดจนความคาดหมายได้อยู่แล้วของนาย ก.ว่า การดำเนินคดีต่อ นาย ข. ภายใต้วัฒนธรรมการบังคับใช้กฎหมายของศาลนาซีที่ไม่อาจนำมาซึ่งความยุติธรรมได้ และเล็งเห็นผลได้ว่าถึงอย่างไร นาย ข.ก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษสูงสุด ศาลสูงพิพากษาว่า ผู้พิพากษาองค์คณะดังกล่าวและนาย ก.ที่ไปแจ้งความนั้น มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ครับ

จะเห็นได้ว่า เช่นกันกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 การดำเนินคดีเกี่ยวกับความผิดฐานนี้ มีค่าเท่ากับ ‘การทรมานจำเลย’ (ในคุก แม้ศาลจะยังไม่พิพากษาก็ตาม – ศาลจะปฏิเสธการประกันตัวทุกกรณี) และวัฒนธรรมการบังคับใช้กฎหมายมาตรานี้ของศาลยุติธรรม ก็ปฏิเสธหลักยกเว้นความผิด หลักยกเว้นโทษ ที่โดยธรรมดาของกฎหมายหมิ่นประมาทจะนำมาบังคับใช้ ซึ่งบทยกเว้นความผิด บทยกเว้นโทษ ล้วนมีรากฐานมาจากการยินยอมให้จำเลยพิสูจน์ความจริงที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และการยอมรับการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ซึ่งหลักสุจริตเป็นพื้นฐานของระบบกฎหมาย แต่เมื่อหลักสุจริตเผชิญหน้ากับมาตรา 112 รากฐานหรือคุณค่าพื้นฐานของระบบกฎหมายก็จำต้องศิโรราปลง นี่คือ ความไร้ศีลธรรมขั้นมูลฐานทางกฎหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ครับ เราไม่อาจเรียกเครื่องมือในการก่ออาชญากรรมว่า ‘ความยุติธรรม’ ได้หรอกครับ
Q.ภายหลังข้อเสนอดังกล่าว อันอาจนำไปสู่สถานการณ์ความรุนแรงทางการเมือง หรือ ทำลายความสงบสุขของสังคม สามารถเอาผิดตามกฎหมายได้หรือไม่

A. ดังที่ผมได้เรียนอธิบายไปในสักครู่นี้ว่า การรณรงค์ให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นการสนับสนุนให้เกิดอาชญากรรมโดยรัฐ และผู้บังคับใช้มาตรา 112 ในสายตาของความยุติธรรมถือเป็น ‘อาชญากร’ เช่นนี้ แต่ในราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กฎหมายที่ขัดต่อความยุติธรรมอย่างรุนแรงเป็นกฎหมายบ้านเมือง และใช้ ‘เครื่องมือก่ออาชญากรรม’ ปกครองบ้านเมืองแล้ว ทำลายความสงบสุขตลอดเวลานับแต่เราคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกจนกระทั่งเติบโตขึ้น เพียงแต่เราถูกทำให้เคยชินกับสภาพบรรยากาศปิดกั้นสิทธิเสรีภาพนี้เท่านั้นเอง ภายใต้ระบบกฎหมายของราชอาณาจักรไทยย่อมไม่สามารถเอาผิดอะไรพวกเขาได้ครับ แต่เมื่อใดที่ระบบกฎหมายภายใต้โครงสร้างอุดมการณ์นี้พังทลายลง การดำเนินคดีเอาผิดดังเช่นคดีที่ Gustav Radbruch ยกตัวอย่างนั้น ก็อาจเกิดขึ้นได้ แต่คงไม่ใช่ในเร็ววันนี้

แต่ในแง่การถูกละเมิดสิทธิก็อาจเป็นเหตุให้ดำเนินคดีแพ่ง ฐานละเมิดได้ เพราะศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ถูกลดทอนให้กลายเป็นวัตถุนั้น เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานทางรัฐธรรมนูญ และสิทธิขั้นพื้นฐานนี้ผูกพันการใช้และการตีความกฎหมายทั้งปวงขององค์กรรัฐ ฉะนั้น การตีความมาตรา 420 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คำว่า “สิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด” นั้น ศาลยุติธรรมก็ต้องผูกพันตนตีความให้ครอบคลุมถึง สิทธิทางรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งเป็นเรื่องของการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกัน แต่นั่นก็หมายถึงคุณกำลังถูกคุกคามด้วยภยันตรายที่รุนแรงกว่า และภยันตรายนั้นก็คือกฎหมายจำกัดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ด้วยมาตรา 112 นั่นเอง.

หมายเหตุ: บทสัมภาษณ์บางส่วนเผยแพร่ใน มติชนออนไลน์
http://www.redusala.blogspot.com/

ระยำรายวัน! การ์ด กปปส.โล้นอิสระ "ยิงเด็กอายุ 15" กลางดึก

ระยำรายวัน! การ์ด กปปส.โล้นอิสระ "ยิงเด็กอายุ 15" กลางดึก


          วันที่ 25 เมษายน 2557 (go6TV) เด็กวัยรุ่นขับมอเตอร์ไซต์ผ่านม็อบ กปปส.แจ้งวัฒนะกลับบ้าน ถูกยิงเจ็บ 5 สาหัส 2 ราย ตร.ตรวจสอบกล้องวงจรปิดและหาข่าว

           กรณีเหตุการณ์เมื่อคืน 22 เม.ย.57 เวลา 03.30 น.ร.ต.อ.รักเกียรติ ปทุมวัลย์ พงส.สน.ทุ่งสองห้องรับแจ้งเหตุคนร้ายยิงปืนเข้าใส่กลุ่มรถจักรยานยนต์ ขณะที่ขับขี่ผ่านบังเกอร์ของกลุ่มผู้ชุมนุมกปปส.แจ้งวัฒนะ หน้าศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ

          จากการสอบสวน น.ส.รุ่งอรุณ รถหวั่น อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 144 แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง ให้การว่าตนเองพร้อมพวก ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์มารวมกันประมาณ 7 คัน ก่อนเกิดเหตุได้ไปทานเข้าต้มที่บริเวณแยกปากเกร็ด หลังจากนั้นจึงได้ขับขี่รถจักรยานยนต์มาทางถนนแจ้งวัฒนะ มุ่งหน้าหลักสี่ เพื่อจะเข้าสู่ถนนวิภาวดีรังสิต เมื่อมาถึงบริเวณกลุ่มผู้ชุมนุมได้ขับขี่กันมาตามปกติ จนกระทั่งมาถึงที่เกิดเหตุ หน้าแนวบังเกอร์ของกลุ่มการ์ดกปปส. ได้มีกลุ่มคนร้ายไม่ทราบจำนวน ไม่ทราบอาวุธ ยิงเข้าใส่กลุ่มของตนหลายนัด กระสุนปืนได้ถูกเพื่อนและตนเองได้รับบาดเจ็บกันไปตามกัน ตนพร้อมพวกจึงรีบขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีด้วยความเร็ว ก่อนจะแยกย้ายกันไปรักษาตัวตามโรงพยาบาลใกล้เคียง

           เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งว่ากลุ่มรถจักรยานยนต์ที่ถูกยิงนั้น มีผู้บาดเจ็บทั้งหมด 5 รายได้แก่

  • น.ส.รุ่งอรุณ รถหวั่น อายุ 26 ปี 
  • นายศักดิ์ดา จำปาวงศ์ อายุ 15 ปี ถูกยิงที่บริเวณแขนซ้าย รักษาตัวโรงพยาบาลภูมิพล 
  • นายฤทธิชัย ช้างงาม อายุ 18 ปี ถูกยิงที่มือรักษาตัวโรงพยาบาลเปาโล 
  • น.ส.ภาวิณี อุ่นเดช อายุ 19 ปี และ
  • น.ส.ม่านฟ้า มุสิกะสินธร อายุ 18 ปี ถูกยิงเข้าที่หลัง อาการสาหัส รักษาตัวโรงพยาบาลเซนทรัลเยนเนอรัล
        ต่อมาเมื่อเวลา12.00 น. พ.ต.อ.เจริญ ศรีศศลักษณ์ รองผบก.น.2เปิดเผยว่าทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว เบื้องต้นได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.สำอาง ขาวสะอาด สว.สส.สน.ทุ่งสองห้อง พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ตรวจสอบกล้องวงจรปิดและหาข่าว พร้อมสอบปากคำผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่สามารถให้การได้อย่างละเอียด เพื่อให้ความกระจ่างและเป็นธรรมแก่ทั้ง 2 ฝ่าย อย่างไรก็ตามจะดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุตามกฎหมายต่อไป

http://www.redusala.blogspot.com/

กองทัพสุดแมน! ประกาศหน้าตาเฉย "การ์ด กปปส." ยิง "พันเอก" เพราะเข้าใจผิด?

กองทัพสุดแมน! ประกาศหน้าตาเฉย "การ์ด กปปส." ยิง "พันเอก" เพราะเข้าใจผิด?



          “การ์ดกปปส.”ยิง”พันเอก” บก.ทัพไทยอ้างเข้าใจผิด ไปเยี่ยมขอโทษ แล้วผบ.สส.”สั่งประสานม็อบ -ปรับแผนรปภ. ทหาร

             เพจเฟสบุ้คของนางสาววาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร ได้เผยแพร่ข้อความว่า การยิงพันเอกเมื่อคืนก่อน เป็นความเข้าใจผิดของการ์ด ได้ขอโทษแล้วไม่ติดใจ

            "พล.ท.สีหนาท วงศาโรจน์ เจ้ากรมข่าวทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.)ได้เดินทางไปเยี่ยมอาการของพ.อ.วิทวัส วัฒนกุล รองผู้อำนวยการกองวิเทศสัมพันธ์ สำนักวิเทศสัมพันธ์ กรมข่าวทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย (รองผอ.กวส.สวส.ขว.ทหาร) ที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ
หลังจากถูกการ์ด กปปส.ยิงที่ขาและทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บเมื่อคืนวันที่24 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยมีหัวหน้าการ์ด กปปส เวทีแจ้งวัฒนะเดินทางมาพูดคุย เพื่อขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยบอกว่า เป็นความเข้าใจผิดของการ์ดที่รักษาความปลอดภัยในบริเวณนั้น เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นกลุ่มที่มักจะมาก่อกวนและก่อเหตุยิงกลุ่มผู้ชุมนุม


          ทั้งนี้ทางหน่วยงานต้นสังกัดได้ให้สิทธิ์ พ.อ.วิทวัส ตัดสินใจว่า จะดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ที่ทำร้ายร่างกายหรือไม่

            ด้าน พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งสั่งวางมาตรการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ใกล้เคียงกองบัญชาการกองทัพไทย และ กำลังพลที่ต้องเดินทางผ่านในเส้นทางใกล้เคียงกับพื้นที่การชุมนุมเวทีกปปส. แจ้งวัฒนะ

           พล.อ.ธนะศักดิ์ ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบไปประสานกับทางกปปส. เพื่อรับแจ้งข่าวสาร และ เวลาในการตั้งด่าน ปิดเส้นทางในการเฝ้าระวังผู้ก่อเหตุรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุม รวมทั้งการวางกำลังของการ์ดที่ทำหน้าที่โดยรอบบริเวณ เพื่อเป็นข้อมูลให้กับหน่วยนำไปแจ้งกับกำลังพลไม่ให้ผ่านเข้าในบริเวณดังกล่าว เพื่อลดการกระทบกระทั่ง และ ความเข้าใจผิดที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต"

http://www.redusala.blogspot.com/

"อ.ธิดา" แฉ! ทีมยิงขวัญชัยออกมานอกคุกหมดแล้ว ให้แกนนำทุกระดับระวัง "แผนเด็ดหัว"

"อ.ธิดา" แฉ! ทีมยิงขวัญชัยออกมานอกคุกหมดแล้ว 
ให้แกนนำทุกระดับระวัง "แผนเด็ดหัว"




             เวลา 13.00 น. วันที่ 25 เม.ย. ที่ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แถลงข่าวในสถานการณ์พิเศษ โดยนางธิดา โตจิราการ ประธานที่ปรึกษานปช. กล่าวว่า ขณะนี้มีการใช้วิธีการนอกระบบพยายามเด็ดหัวแกนนำคนเสื้อแดงทุกระดับ กรณีที่เกิดกับนายขวัญชัย ไพรพนา ถูกยิงบาดเจ็บ ล่าสุดอัยการสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดแล้ว แต่ผู้ต้องหาปฏิเสธ และสุดท้ายได้ประกันตัวไป 

            นปช.ขอเรียกร้องให้เร่งสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้โดยเร็ว กรณีไม้หนึ่ง ก.กุนที ก็เช่นกันต้องสืบสวนให้รวดเร็ว เราเชื่อว่าเป็นเรื่องการเมืองแน่นอน และเชื่อว่าเครือข่ายที่จัดการอาจเป็นเครือข่ายเกี่ยวข้องกับอำนาจรัฐเช่นเดียวกับกรณีของนายขวัญชัย หรือองค์กรเก็บขยะแผ่นดินซึ่งเรามองว่าองค์กรนี้มีความพยายาม แต่ไม่น่าทำได้รวดเร็ว และปกติคนทำงานแบบนี้จะไม่บอกกันก่อน  


http://www.redusala.blogspot.com/

อย่าสะเออะ แปลว่า อย่าเสือก

"เทือก" ด่า อย่าสะเออะ!!!!




             นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ปราศรัยในขณะเข้าพบมวลชนที่การบินไทย ยืนยันถึงจุดยืนว่า การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อใคร หรือพรรคการเมืองใด และไม่ว่าใครก็ตามอย่าบังอาจตั้งตัวเป็นคนกลางมาเจรจา ไม่ว่าจะเป็นคนที่รู้จัก เคยทำงาน หรือสนิทสนม เพราะขณะนี้ตนเป็นเพียงกำนันสุเทพ ที่เป็นร่างทรงของประชาชน ดังนั้นจึงไม่ฟังใครนอกจากประชาชน

          "ไม่ว่าใครก็ตามอย่าบังอาจตั้งตัวเป็นคนกลางมาเจรจา ไม่ว่าจะเป็นคนที่ผมรู้จัก เคยทำงาน หรือสนิทสนม ก็อย่ามาสะเออะ และขอบอกว่า นายสุเทพ ที่เล่นการเมืองมา 36 ปี ขณะนี้ไม่มีแล้ว วันนี้ผมเป็นเพียงกำนันสุเทพ ที่เป็นร่างทรงของประชาชนเท่านั้น ดังนั้นผมจึงไม่ฟังใครนอกจากประชาชน โดยประชาชนต้องการให้มีการปฏิรูป เราจึงต้องขับไล่รัฐบาลออกไป เพื่อที่จะเดินหน้าปฏิรูปประเทศให้ดีขึ้นด้วยมือของประชาชน"

http://www.redusala.blogspot.com/

องค์กรเก็บขยะ ข่มขู่คนที่เห็นต่างกับตัวเอง

องค์กรเก็บขยะ ข่มขู่คนที่เห็นต่างกับตัวเอง.


            20 เม.ย.57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊คเพจชื่อว่า “องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน” เกี่ยวกับกรณีมีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวน 3 คันรถมาป้วนเปี้ยนหน้าบ้านพัก หลังจากที่ประกาศต่อสู้กับกลุ่มจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยที่ปากซอยทางเข้าบ้านมีป้อมตำรวจ

             “ผมขอฝากบอกด้วยว่า ...ถ้าผมจะต้องเสียชีวิต ก็ขอให้คนไทยทั่วราชอาณาจักร ทราบทั่วกันด้วยว่า ...อย่าได้ทอดทิ้งพระเจ้าอยู่หัวฯ และพระบรมวงศานุวงศ์ อย่างเด็ดขาด ...และจงจำคำพูดของผมด้วยว่า ...ชีวิตนี้ขอถวายเป็นราชพลี”
พล.ต.นพ.เหรียญทอง ระบุด้วยว่า จะไม่ยอมให้กองกำลังติดอาวุธทำเหมือนที่เคยทำเมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 ที่ยิงพล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม และน้องๆ ทหารเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

ข้อความที่พล.ต.นพ.เหรียญทองโพสต์ลงเฟซบุ๊ค

          แชร์ให้ถึงพวกหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและแนวร่วมโลกสวยด้วยว่า...ที่ท่านทั้งหลายอ้างสิทธิเสรีภาพแล้วมาจาบจ้วงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกันนั้น ...พอผมประกาศต่อสู้กับพวกท่านแล้วท่านก็ยกพวกติดอาวุธมา 3 คัน มาข่มขู่ผมและครอบครัว ...อย่างนี้เรียกว่า เสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย ของท่านใช่หรือไม่

          ....ถ้าใช่ ผมก็จะใช้ประชาธิปไตยแบบพวกท่านที่หน้าบ้านผม ดูสิว่าท่านจะยอมรับกันได้มั๊ย ...ผมบอกแล้วไงว่า ...ผมคนเดียว ผมก็จะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ...แค่ ผมคนเดียว ทำไมท่านต้องใช้กำลังถึง 3 คันรถ ...ผมคนเดียว มือเปล่า ผมก็กล้าเผชิญกับกองกำลังเป็นพัน ...ผมบอกให้รู้ไว้เสียด้วยตอนนี้ว่า เมื่อผมรู้แล้วว่าพวกท่านซึ่งหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมีแนวร่วมกองกำลังติดอาวุธแสดงแสนยานุภาพต่อหน้าผมและครอบครัว .... ผมบอกได้เลยว่าคราวนี้ ผมไม่เยอมให้กองกำลังติดอาวุธทำเหมือนที่เคยทำ เมื่อ 10 เมษายน 2553 ที่ พวกคุณยิง พลเอก
ร่มเกล้า ธุวธรรม และน้องๆ ทหารของผมแน่

พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา
19 เม.ย.57 21.37 น.
http://www.redusala.blogspot.com/

เปิดคลิปวงจรปิด บันทึกวินาทีสังหาร "ไม้หนึ่ง ก.กุนที" ที่ร้านครกไม้ไทยลาว

เปิดคลิปวงจรปิด บันทึกวินาทีสังหาร "ไม้หนึ่ง ก.กุนที" ที่ร้านครกไม้ไทยลาว



            เปิดภาพกล้องวงจรปิด ร้านอาหารครกไม้ไทยลาว ตั้งแต่นาทีที่นายกมล ดวงผาสุก หรือ ไม้หนึ่ง ก.กุนที รับประทานอาหารกับเพื่อนๆ จนกระทั่งทานอาหารเสร็จ จ่ายเงิน และเดินกลับไปที่รถ และมีชายต้องสงสัยดักรอยิงในรถและขึ้นมอเตอร์ไซต์หนีหลบออกไปทางปากซอยลาดปลาเค้า 24

http://www.redusala.blogspot.com/