วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

จาตุรนต์ ฉายแสงแถลงข่าว FCCT ระบุพร้อมถูกจับและต่อสู้อย่างสันติ



27 พ.ค. 2557 - ราวเวลา 14.00 น. ที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย จาตุรนต์ ฉายแสดง รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ได้แถลงข่าวท่ามกลางความสนใจของผู้สื่อข่าวต่างประเทศจำนวนมาก โดยเขาระบุว่า เขาไม่มีความตั้งใจที่จะหนี หรือลงใต้ดินเพื่อสู้ แต่พร้อมจะถูกจับเมื่อเวลานั้นมาถึง สิ่งที่ต้องทำต่อไป เขายืนยันว่าจะใช้เสรีภาพของผมเรียกร้องให้ประเทศกลับสู่ประชาธิปไตย โดยเรียกร้องให้ตสช.คืนอำนาจสู่ประชาชนทันที ส่วนการเรียกร้องจะทำโดยสันติและเป็นไปตามมาตราสองของรัฐธรรมนูญและหลักประชาธิปไตย
 
 
“การรายงานตัวต่อคณะรัฐประการเป็นสิ่งที่ขัดต่อสัมปชัญญะของผม ผมผ่านมาหลายการรัฐประหารแต่ ผมไม่เคยถูกสั่งให้ไปรายงานตัวมาก่อน” เขากล่าว
 
"ตอนนี้เมื่อคสช.มีอำนาจถูกต้องตามรธน.แล้ว ผมพร้อมแล้วที่จะถูกจับโดยคสช. และเลือกที่จะแสดงออกตามหลักอารยะขัดขืน ผมพร้อมรับผลการกระทำตามหลักอาารยะขัดขืน และพร้อมต่อสู้คดีตามหลักขั้นตอน และเรียกร้องให้คดีการดำเนินคดีดังกล่าวต่อประชาชนไม่ขึ้นศาลทหาร แต่ไปตามกระบวนการศาลธรรมดา" จาตุรนต์ระบุ
 
เขาอ่านในแถลงการณ์ โดยระบุถึงข้อเรียกร้องต่อคสช. จะขอเรียกร้องให้คืนอำนาจสู่ประชาชน และคืนอำนาจประชาธิปไตยทันที ให้ตสช.หลีกเลี่ยงการใช้อำนาจต่อประชาชนและไม่กดขี่ประชาชนในสังคม และอนุญาตให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นและแสดงออกทางการเมืองอย่างสันติเพื่อเหลีกเลี่ยงความรุนแรง ดีกว่าผลักดันให้เขาต้องไปต่อทางอื่น นอกจากนี้ ขอให้คสช. พยายามหาทางออกให้สังคมไทยหาทางออกที่สันติท่ามกลางความแตกแยกดังกล่าว ความรุนแรงไม่ใช่ทางออก 
 
นอกจากนี้ได้เรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ถูกคุวบคุมตัวทันที ถ้าต้องการมีปฏิรูปจริงๆ ควรเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมีโอกาสด้วย ต่อจากนี้ หวังว่าคณะรัฐประหารจะให้ฟังความคิดเห็นของประชาคมนานาชาติและให้ความสนใจเรื่องความเป็นอยู่ของประชาชนที่ดี
 
สำหรับประชาชนที่ต่อจต้านรปห. เขาเรียกร้องให้เป็นไปอย่างสันติ และเรียกร้องให้กลุ่มที่เรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยต้องให้เห็นว่าประชาชนจะมีส่วนร่วมต่อการสร้างประชาธิปไตยที่เป็นประโยชน์ได้อย่างไร
 
ท้ายที่สุด ขอบคุณประชาคมนานาชาติที่แสดงออกคัดค้านต่อการรัฐประหารและกฎอัยหารศึก และเรียกรเองให้คสช. คืนประชาธิปไตยและกลับสู่การเลือกตั้งทันที ผมหวังว่าจะมีหลักประชาธิปไตยที่เป็นอารยะโดยเร็ว
 
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นหรือไม่ เขาตอบว่า เขา "ไม่รู้เรื่องนี้เลยเนื่องจากไม่ได้รับการติดต่อมา จึงไม่สามารถวิเคราะห์ในเรื่องนี้ได้"
 
"ผมไม่รู้ว่าพล.อ. ประยุทธ์ กำลังคิดอะไรอยู่ตอนที่เขาทำการรัฐประหาร" เขากล่าว "ผมอยากเตือนคุณประยุทธ์ว่ามาตรการที่รุนแรงจะเป็นผลไม่ดี การที่เขามีอคติต่อคนฝ่ายเดียว คนกลุ่มเดียวของสังคมจะเป็นผลร้ายต่อประเทศนี้ ถ้าอยากแก้ปัญหาประเทศนี้ ต้องใช้กระบวนการประชาธิปไตย อย่าใช้วิธีการกดขี่"
 
ต่อเรื่องคำถามเรื่องพรบ.นิรโทษกรรมที่อาจมีส่วนต่อการรัฐประหารครั้งนี้ เขากล่าวว่าเป็นคนสนับสนุนร่างนี้ขึ้นมาเองเพื่อนิรโทษกรรมคนธรรมดา แต่ในร่างสุดท้ายเขาไม่เห็นด้วย เขาเชื่อว่าร่างสุดท้ายของพรบ.นิรโทษกรรมถูกผ่านในสภา เป็นกลยุทธ์ที่ผิดพลาดของเพื่อไทย และทำให้เกิดการต่อต้านรัฐบาล แต่หลังจากนั้นหลายๆ สิ่งก็สมทบขึ้นมา เพราะร่างพรบ.นิรโทษก็หยุดไปแล้ว แต่การชุมนุมดังกล่าวได้ยกระดับขึ้นมาเป็นการต่อต้านชุมนุมรัฐบาล
 
สำหรับการรัฐประหารในครั้งนี้ มองว่าเป็นความผิดของทหารและชนชั้นนำที่ไม่ยอมรับประชาธิปไตย
 
ส่วนเรื่องว่าทักษิณลอยแพคนเสื้อแดงหรือไม่นั้น จาตุรนต์กล่าวว่า การลดบทบาทของทักษิณในขบวนการคนเสื้อแดง คงจะส่งผลกระทบบ้าง แต่คงไม่มากเท่าไหร่ ไม่ว่าจะมีทักษิณหรือไม่ เขาเชื่อว่าขบวนการประชาธิปไตยจะยังมีอยู่อย่างเข้มแข็งโดยนักเคลื่อนไหวที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

ก่อนการแถลงข่าวเล็กน้อย เขาเผยแพร่คำชี้แจงผ่านทางเฟซบุคส่วนตัว เกี่ยวกับความเห็นต่อการรัฐประหาร เหตุผลที่ไม่ไปรายงานตัวต่อ ศสช. และข้อเสนอต่อ ศสช. โดยระบุว่าการรัฐประหารเป็นกระบวนการที่สังคมโลกและคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยไม่ยอมรับ และไม่ใช่ทางออกของความขัดแย้ง และระบุว่า การรัฐประหารจะทำให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น และอาจจะทำให้เกิดความรุนแรงและความสูญเสียมากยิ่งขึ้น
โดยคำชี้แจงในเฟซบุคเรียกร้องให้ ศสช.คืนอำนาจแก่ประชาชนโดยเร็วและจัดให้มีการเลือกตั้ง และระบุว่าหลังมีพระบรมราชโองการตั้งหัวหน้า คสช.แล้ว ก็ถึงเวลาที่เหมาะสมซึ่งเขาพร้อมให้ ศสช.มาควบคุมตัว


..................................

เรียนพี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตย สื่อมวลชน และประชาคมโลก
ตามที่ได้เกิดการรัฐประหารขึ้นดังที่ทราบทั่วกันอยู่แล้ว ได้มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับตัวผมทั้งก่อนและหลังการรัฐประหารอยู่บ้าง ผมจึงขอชี้แจงต่อพี่น้องประชาชนดังต่อไปนี้
ความเห็นต่อการรัฐประหาร
ในหลายสิบปีมานี้ผมได้แสดงความเห็นคัดค้าน ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารมาตลอด และในหลายปีมานี้ก็ได้แสดงความเห็นไว้ด้วยว่าไม่ว่าประเทศจะมีปัญหาร้ายแรงอย่างไร การรัฐประหารก็ไม่ใช่ทางออก หากมีแต่จะทำให้ปัญหาเลวร้ายยิ่งขึ้นเสมอ เมื่อเกิดการรัฐประหารขึ้นในครั้งนี้ ผมก็มีความเห็นเช่นเดิมและได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารไปแล้ว
ขอย้ำในโอกาสนี้ว่า การรัฐประหารโดยตัวมันเองคือการล้มล้างประชาธิปไตยอยู่แล้ว การรัฐประหารจึงจะไม่สามารถทำให้เกิดกฎกติกาที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น หากจะยิ่งทำให้กติกาที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอยู่แล้วไม่เป็นประชาธิปไตยหนักยิ่งขึ้น
การรัฐประหารไม่ใช่ทางออกหรือทางแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคม หากมีแต่จะทำให้เกิดความขัดแย้งมากยิ่งขึ้น ที่น่าเป็นห่วงคือ หากผู้มีอำนาจจัดการได้ไม่ดีอาจจะทำให้เกิดความรุนแรงและความสูญเสียมากยิ่งขึ้นด้วย
การรัฐประหารเป็นกระบวนการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยที่ทั่วโลกและคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยเองไม่ยอมรับ ย่อมจะส่งผลเสียต่อภาพพจน์ของประเทศ ต่อความร่วมมือกับประเทศต่างๆ และซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจของประเทศซึ่งบอบช้ำมามากแล้ว
สำหรับการที่อ้างว่าสังคมไทยมีความขัดแย้งและเกิดความรุนแรงและความสูญเสียอย่างมากจนกระทั่งผู้นำกองทัพจำเป็นต้องประกาศกฎอัยการศึกแล้วทำการรัฐประหารนั้น ความจริงแล้วผู้นำกองทัพมีทางเลือกอื่นมาตั้งแต่ต้นคือ การร่วมมือกับรัฐบาลในการบังคับใช้กฎหมายอย่างยุติธรรมต่อทุกฝ่าย ซึ่งหากทำเช่นนั้นเหตุการณ์ก็จะไม่บานปลายจนกระทั่งกลายเป็นข้ออ้างถึงความจำเป็นในการที่ต้องทำรัฐประหาร

เหตุผลที่ไม่ได้ไปรายงานตัวต่อ คสช.
ผมได้อธิบายผ่านสื่อมวลชนไปแล้วว่า เมื่อผมไม่ยอมรับการรัฐประหาร ผมจึงไม่อาจไปรายงานตัวต่อคณะรัฐประหารได้ ขอชี้แจงเพิ่มเติมอีกด้วยว่าผมมีความเห็นมาแต่ต้นและได้แสดงความเห็นต่อรัฐมนตรีหลายท่านและต่อสาธารณชนด้วยว่า การประกาศใช้กฎอัยการศึกที่ได้ทำไปนั้นไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและขัดต่อพ.ร.บ.กฎอัยการศึกเองเนื่องจากไม่ได้มีประกาศพระบรมราชโองการ ส่วนการรัฐประหารนั้นก่อนที่จะมีพระบรมราชโองการตั้งพลเอกประยุทธ์เป็นหัวหน้า คสช. ย่อมไม่อาจถือได้ว่าการรัฐประหารได้สำเสร็จเสร็จสิ้นแล้ว การกระทำของพลเอกประยุทธ์กับพวกที่ประกาศยึดอำนาจจึงขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 68 คำสั่งต่างๆ  ของ คสช.ในช่วงที่ยังไม่มีพระบรมราชโองการตั้งหัวหน้า คสช.จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ความจริงข้อนี้จะสังเกตได้ไม่ยากว่าต่อไปก็จะต้องมีการนิรโทษกรรมการกระทำต่างๆ ของคณะ คสช.ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่มีพระบรมราชโองการตั้งหัวหน้าคณะ คสช.
ในอดีตเคยมีการพยายามทำรัฐประหาร มีคำสั่งให้ใครต่อใครไปรายงานตัว แต่เมื่อไม่มีพระบรมราชโองการตั้งบุคคลเหล่านั้นให้ควบคุมการบริหารราชการ ต่อมาคณะบุคคลนั้นก็กลายเป็นกบฏไป ผู้ที่ไปรายงานตัวหรือให้ความร่วมมือก็พลอยมีความผิดไปด้วย
จากประสบการณ์ในอดีตและข้อกฎหมายดังกล่าวผมจึงได้ตัดสินใจไม่ไปรายงานตัวต่อ คสช. ทั้งนี้ก็ได้ประกาศไว้อย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการหลบหนี ไม่ต้องการเคลื่อนไหวต่อต้านหรือลงใต้ดินต่อสู้แต่อย่างใด และพร้อมที่จะให้คุมตัวในเวลาที่เหมาะสม

สิ่งที่จะทำต่อไป
ผมยังยืนยันว่า จะใช้สิทธิเสรีภาพเท่าที่มีอยู่ต่อสู้เรียกร้องให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย โดยเริ่มจากการเรียกร้องให้ คสช.คืนอำนาจอธิปไตยให้แก่ประชาชนและให้มีการเลือกตั้งตามกติกาที่เป็นประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้การดำเนินการใดๆ ของผมจะเป็นไปโดยสันติวิธี สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 2 และเป็นไปตามกฎหมายที่ชอบธรรม

การให้จับกุมหรือคุมตัว
ผมได้พูดไว้แล้วว่าพร้อมจะให้ คสช.มารับตัวหรือคุมตัวไปในเวลาที่เหมาะสม บัดนี้เมื่อมีพระบรมราชโองการตั้งหัวหน้า คสช.ขึ้นแล้ว แม้ผมจะยังคงไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร แต่ก็ทราบว่า คสช.ย่อมมีอำนาจตามระบบกฎหมายของไทยในหลายๆ ประการ ผมจึงพร้อมที่จะให้ คสช.มาควบคุมตัวไปดำเนินการต่อไปตามแต่จะเห็นเหมาะสม
ผมได้เลือกการแสดงออกในการคัดค้านตามหลักอารยะขัดขืน ซึ่งก็ต้องพร้อมที่จะยอมรับผลทางกฎหมายที่จะตามมา หากจะมีการดำเนินคดีก็พร้อมจะสู้คดีตามสิทธิ์ที่พึงมีต่อไป
เนื่องจากเข้าใจว่าอาจมีการดำเนินคดีกับบุคคลจำนวนไม่น้อย ผมจึงขอเสนอว่าการดำเนินคดีต่อผู้มีความเห็นแตกต่างทางการเมืองนั้นไม่ควรใช้ศาลทหาร แต่ควรให้ศาลยุติธรรมพิจารณาไปตามปรกติ

ข้อเสนอต่อ คสช.
1. คืนอำนาจอธิปไตยให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด ให้มีการเลือกตั้งตามกติกาที่เป็นประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด
2. ขอให้หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงต่อประชาชน ไม่ปราบประชาชนและไม่เลือกปฏิบัติในการใช้กฎหมาย เพื่อป้องกันความรุนแรงในสังคม ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นและต่อสู้เรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยโดยสันติวิธีได้ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงความรุนแรงได้ดีกว่าจะผลักไสให้ประชาชนหันไปต่อสู้ด้วยวิธีอื่นๆ
3.ส่งเสริมให้มีการแสวงหาความรู้ประสบการณ์เกี่ยวกับการทำให้ผู้คนในสังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขถึงแม้ว่าจะมีความคิดเห็นที่ต่างกัน นี่คือปัญหาพื้นฐานอย่างหนึ่งของสังคมไทย การใช้อำนาจความเด็ดขาดไม่ใช่ทางออก
4.ปล่อยตัวผู้ที่ถูกควบคุมอยู่ทั้งหมดอย่างไม่มีเงื่อนไขโดยเร็วที่สุด
5. หากต้องการปฏิรูปจริงก็ขอให้เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมให้มากที่สุด ขอความกรุณาเข้าใจว่าสังคมไทยมีความเห็นแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งต่อรัฐธรรมนูญปี 50 และต่อการปฏิรูปที่หลายฝ่ายเสนออยู่ การหาข้อยุติจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
6. ในการดำเนินการต่างๆ ต่อจากนี้ไป หวังว่าท่านจะคำนึงถึงความเป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

ข้อเสนอต่อผู้รักประชาธิปไตย
ย่อมเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่ประชาชนจะแสดงความไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร และการดำเนินการใดๆ ที่สืบเนื่องจากการรัฐประหาร
ขอเสนอให้การเรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยเป็นไปโดยสันติวิธี พร้อมที่จะรับกับสภาพที่สังคมไทยอาจจะตกอยู่ในวิกฤตที่ยืดเยื้ออีกนานหลายปี
ปัญหาของบ้านเมืองได้สะสมกันมามาก ในหลายปีมานี้ประชาธิปไตยที่ประชาชนเราพยายามรักษากันตลอดมาได้ค่อยๆ ร่อยหรอลง จนในที่สุดเราก็ต้องสูญเสียประชาธิปไตยไปจากการรัฐประหาร จากนี้ไปกฎกติกาของบ้านเมืองจะเป็นอย่างไรก็ยังมีความเห็นที่ต่างกันอย่างมากในสังคมไทย จำเป็นที่ผู้รักประชาธิปไตยจะต้องช่วยกันคิดว่า กติกาที่เป็นประชาธิปไตยควรเป็นอย่างไร และจะทำอย่างไรให้ประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับและสนับสนุนให้เกิดขึ้นได้อย่างไร

ข้อเสนอต่อประชาคมโลก
ขอขอบคุณรัฐบาลประเทศต่างๆ และองค์กรระหว่างประเทศทั้งหลาย ที่ห่วงใยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในไทย ที่ได้พยายามหาทางระงับยับยั้งไม่ให้เกิดการใช้ความรุนแรงต่อประชาชน และที่ได้แสดงความไม่เห็นด้วยต่อการประกาศใช้กฎอัยการศึกและการทำรัฐประหารครั้งนี้
ขอขอบคุณที่ได้เรียกร้องให้คณะรัฐประหารคืนความเป็นประชาธิปไตย และให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด
หวังว่าความช่วยเหลือตามหลักประชาธิปไตยบนพื้นฐานของความเป็นอารยประเทศนี้จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป

ขอขอบคุณพี่น้องสื่อมวลชน
ขอขอบคุณที่ช่วยเสนอข่าวสารข้อเท็จจริงให้สาธารณชนทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ทราบตลอดมา
ขอบคุณที่เสนอข่าวการชี้แจงครั้งนี้
ขอย้ำว่า"ความจริง"เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการแก้ปัญหาวิกฤตของทุกสังคม


ขอขอบคุณทุกท่าน
จาตุรนต์ ฉายแสง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น