วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2558

พิพากษาจำคุก 50 ปี 4 มือระเบิดหน้าราม

20 มี.ค. 2558 เว็บไซต์คมชัดลึกรายงานว่าเมื่อเวลา 11.15 น. ที่ห้องพิจารณา 814 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก  ศาลอ่านคำพิพากษา คดีลอบวางระเบิดย่านรามคำแหง หมายเลขดำ อ.3723/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายอัฟฟาฮัม สะอะ ชาวปัตตานี , นายอิดริส สะตาปอ ชาวนราธิวาส , นายคัมคีร์ ลาเต๊ะ ชาวปัตตานี และนายอิลรอเฮ็ง แวแม ชาวปัตตานี เป็นจำเลยที่ 1 - 4 ในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , กระทำให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์ของผู้อื่น , ร่วมกันทำและมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน โดยไม่มีเหตุสมควร

ตามฟ้องโจทก์ บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 56 เวลากลางคืน จำเลยทั้งสี่ ได้ร่วมกันประกอบวัตถุระเบิดแสวงเครื่อง แล้วนำไปวางไว้ บริเวณจุดทิ้งขยะ หน้าร้านทำผม รามคำแหง จนระเบิดขึ้น ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 ราย และมีร้านค้าแผงลอย อาคารบริเวณใกล้เคียงได้รับความเสียหาย เป็นเงิน 402,000 บาท หลังเกิดเหตุทั้งหมดพากันหลบหนีไป ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง และได้จับกุมจำเลยดำเนินคดีตามกฎหมาย เกิดเหตุที่หน้าร้านทำผม รามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ แต่ให้การปฏิเสธชั้นพิจารณาคดี

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว อัยการโจทก์ มีพนักงานสอบสวนหลายปาก เป็นพยาน เบิกความว่า จากการตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดที่บันทึกเหตุการณ์วันเกิดเหตุ พบจำเลยที่ 1 , 2 และ 4 ได้เดินย้อนไปมาบริเวณจุดเกิดเหตุ โดยจำเลยที่ 3 สวมหมวกแก๊ป ผ้าปิดปาก อำพรางใบหน้า เดินถือถุงหิ้วไปที่จุดเกิดเหตุ และหลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบการใช้โทรศัพท์มือถือของจำเลย รวมทั้งเมื่อได้ประสานงานศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดภาคใต้ ก็พบความเชื่อมโยงการติดต่อระหว่างจำเลยทั้งสี่ ซึ่งในชั้นสอบสวน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้ลงมือก่อเหตุ และยังให้การสอดคล้องกับภาพในกล้องวงจรปิด โดยหลังจากก่อเหตุ จำเลยที่ 2 - 4 ได้แยกย้ายกันหลับหนีไปจังหวัดยะลา

นอกจากนี้ ยังได้ความอีกว่า ในชั้นสอบสวน พวกจำเลยให้การรับสารภาพว่า ได้เดินทางโดยรถไฟจาก จ.ยะลา มาที่สถานีหัวลำโพง โดยนำสารระเบิดใส่ในกระป๋องแป้งมาด้วย แล้วมาอาศัยอยู่ภายในบ้านพัก ซ.รามคำแหง 53 ต่อมาวันที่ 25 พ.ค. 56 จำเลยได้ไปซื้อ ตะปู ท่อน้ำ สี แอลกอฮอล์ และนาฬิกาตั้งเวลา ซึ่งเป็นอุปกรณ์ประกอบระเบิด ที่ร้านค้า และห้างสรรพสินค้าย่านรามคำแหง โดยหลังเกิดเหตุแล้ว จำเลยได้แยกย้ายกันหลบหนีด้วยรถไฟกลับไป จ.ยะลา

จากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาตามบันทึกชั้นสอบสวน แม้จะเป็นเพียงการบันทึกจากคำบอกเล่า แต่ก็มีรายละเอียดเกี่ยวกับสาระสำคัญเรื่องการประกอบระเบิด ซึ่งจำเลยทั้งสี่ให้การในชั้นสอบสวนอย่างละเอียด หากจำเลยไม่ได้เป็นผู้ให้การไว้จริง ก็ยากที่พยานโจทก์จะบันทึกคำให้การขึ้นมาเอง นอกจากนี้ คำให้การยังสอดคล้องกับหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ และในห้องพักที่พวกจำเลยใช้ประกอบระเบิด การที่จำเลยนำระเบิดแสวงเครื่องที่มีความรุนแรง ระยะทำลายรัศมี 10 - 15 เมตร ไปวางบริเวณ ม.รามคำแหง ซึ่งเป็นสถานที่มีผู้คนพลุกพล่าน จำเลยย่อมเล็งเห็นผลที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต

จึงพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.221 , 222 , 224 , 289 , 371 และ พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 55 , 78 วรรคท้าย ประกอบประมวลกฎหมายอาญา ม.80 และ 83 ซึ่งการกระทำของจำเลยทั้งสี่ เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรม

ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และกระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่น อันเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้จำคุกตลอดชีวิตจำเลยทั้งสี่ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นบทหนักสุด และให้จำคุกตลอดชีวิตอีก ฐานร่วมกันทำและมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ไว้ในครอบครอง และให้ปรับจำเลยที่ 1 - 4 อีกคนละ 90 บาท ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านฯ

โดยคำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษเห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้งสี่ คนละ 33 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นฯ และจำคุกอีกคนละ 33 ปี 4 เดือน ฐานกระทำให้เกิดระเบิดฯ โดยปรับคนละ 60 บาท ฐานพาอาวุธไปในเมืองฯ แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงตามกฎหมายแล้ว ให้จำคุกจำเลยที่ 1 - 4 คนละ 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.91 (2) และให้ริบของกลาง รวมทั้งให้จำเลยทั้งสี่ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บ ร้านค้า และหน่วยงานรัฐ ที่ได้รับความเสียหายด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว จำเลยทั้งสี่คนมีใบหน้าเรียบเฉย โดยวันนี้มีญาติจำนวนหนึ่งเดินทางมาให้กำลังใจด้วย ขณะที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้ควบคุมตัวจำเลยทั้งหมดไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น