10 ก.ค.2558 เวลาประมาณ 17.30 น. ใต้ตึกกิจกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) งานบายศรีสู่ขวัญ สมาชิกขบวนประชาธิปไตยใหม่ (NDM) ทั้ง 14 คนที่ออกจากเรือนจำเริ่มคึกคัก มีนักศึกษา อาจารย์ ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมกว่า 100 คน
อนุสรณ์ อุณโณ หนึ่งในอาจารย์ที่มาร่วมงานกล่าวว่า เรารวมตัวกันเพื่อจะทำอะไรให้นักศึกษาได้บ้าง งานบายศรีมักจัดขึ้นหลังวิกฤตชีวิตและเรื่องไม่เป็นมงคล 14 คนถูกคุมขัง 13 วัน จึงต้องการจัดงานนี้ขึ้นเพื่อต้อนรับพวกเขากลับมา
พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อาจารย์อีกคนที่มาร่วมงาน กล่าวว่า ขอขอบคุณนักศึกษาที่เสียสละเสรีภาพในการต่อสู้ความไม่ชอบธรรม เรียกร้องสิ่งที่ไม่มีในสังคมให้กลับคืนมาด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ เป็นแรงบันดาลใจให้กับอาจารย์และประชาชนคนอื่นๆ ผมรู้สึกขอบคุณทั้ง 14 คน รวมถึงนัชชชา จึงจัดงานบายศรีขึ้นมา เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเรายังยืนอยู่ข้างคุณ ใครก็ตามที่ยึดหลัก 5 ข้อของขบวนประชาธิปไตยใหม่ เราคือเพื่อนกัน และขอต้อนรับ 14 คนกลับมา
พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อาจารย์อีกคนที่มาร่วมงาน กล่าวว่า ขอขอบคุณนักศึกษาที่เสียสละเสรีภาพในการต่อสู้ความไม่ชอบธรรม เรียกร้องสิ่งที่ไม่มีในสังคมให้กลับคืนมาด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ เป็นแรงบันดาลใจให้กับอาจารย์และประชาชนคนอื่นๆ ผมรู้สึกขอบคุณทั้ง 14 คน รวมถึงนัชชชา จึงจัดงานบายศรีขึ้นมา เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเรายังยืนอยู่ข้างคุณ ใครก็ตามที่ยึดหลัก 5 ข้อของขบวนประชาธิปไตยใหม่ เราคือเพื่อนกัน และขอต้อนรับ 14 คนกลับมา
วิบูลย์ บุญภัทรรักษา พ่อของไผ่ ดาวดิน กล่าวว่า ใน ฐานะผู้ปกครองรู้สึกภูมิใจในสิ่งที่เด็กๆ ทำ
“ผมภาคภูมิใจในสิ่งที่เด็กๆ ทำ ภูทิใจที่เขามีวิธีคิดที่ปราศจากการควบคุม ได้คุยกับผู้ปกครองคนอื่นๆแล้ว ไม่คิดว่าสิ่งที่พวกเขาทำเป็นสิ่งเลวร้ายอย่างที่ใครกล่าวหา ขอขอบคุณประชาชนและอาจารย์ที่อยู่ข้างๆ ลูกทั้ง 14 ของผม” วิบูลย์
รังสิมันต์ โรม กล่าวว่า หลังจากนี้อาจจะมีการจับกุมอีกหลายครั้งและคงเกิดการคุกคามอีกหลายครั้ง ตอนอยู่ในเรือนจำเขาอาจจะคิดว่าหยุดพวกเราได้ แต่ว่าทุกวินาที ข้าวทุกจาน น้ำทุกหยด มันคือการต่อสู้ การต่อสู้ที่สั่นสะเทือนคือการที่ทั้งนอกและในคุกต่อสู้ร่วมกัน ตอนนี้เรายังไม่ชนะ คสช. ยังอยู่ คดียังอยู่ เรายังต้องสู้ต่อไป ขอขอบคุณทุกคนที่อยู่ข้างกันและไม่ทอดทิ้งกัน
จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ กล่าวว่า เมื่ออยู่ในคุกสิ่งที่เปลี่ยนไปคือเราบูมรวมพลังเสียงดังไม่ได้ ต้องกระซิบ "ประชาธิปไตย ประชาธิปไตย ประชาธิปไตย" แต่ข้างนอกเองก็ไม่มีเสรีภาพเหมือนๆ กัน คุกทำให้เราเรียนรู้ความยากลำบาก แต่มันได้ยืนยันความเชื่อของเรา ณ วันนี้เราไม่ใช่ 14 แล้ว เรามีทั้ง อาจารย์ และ ประชาชน
“เราต้องข้ามสีเสื้อ เรียนรู้ว่าอะไรอยุติธรรมจริงๆ และนี่จะเป็นการสร้างความสุขกลับมาในสังคมไทยที่แท้จริง คนที่สู้ เราไม่อยากให้ออกมาสู้เพราะว่าเราเป็นนักศึกษา เพราะว่าเราเป็น 14 คนนี้ แต่อยากให้สู้ในฐานะมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีและเสรีภาพ ผมไม่บังคับให้คุณเชื่อหรือคิดตามผม แต่เราปล่อยรัฐประหารครั้งนี้ผ่านไปไม่ได้ เดี๋ยวก็มาอีก เราก็ต้องมานั่งบายศรีอีก เราต่างกลัวถูกขัง แต่เราไม่กลัวที่ต้องสู้เพื่อความถูกต้อง อยากให้ทุกคนมาอยู่ด้วยกัน” ไผ่กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น