วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ฎีกายืนยกฟ้องสุเทพหมิ่นทักษิณ ชี้ติชมโดยสุจริต-เป็นบุคคลสาธารณะ ปมอยากเป็นประธานาธิบดี


ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.425 /52  ที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้นายอุดม โปร่งฟ้า ทนายความเป็นโจทก์ฟ้องนายสุเทพ  เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กรณีระหว่างวันที่ 3  – 5 กุมภาพันธ์ 2552 นายสุเทพ จำเลย ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายในที่ประชุมสภาและให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนทำนองว่านายทักษิณ โจทก์ไม่ยอมแพ้  พยายามต่อสู้ไปเรื่อยๆ วันหนึ่งจะกลับมาเป็นประธานาธิบดี เชื่อว่านายทักษิณ ชอบระบอบประธานาธิบดีและข้อความอื่นๆ ซึ่งล้วนเป็นเท็จ โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328 ด้วย
หลังจากศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำเบิกความของนายอุดม โปร่งฟ้า ทนายความผู้รับมอบอำนาจโจทก์ที่เข้าเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง และพยานหลักฐานต่างๆ แล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูลความผิด  ให้ยกฟ้อง โจทก์ยื่นอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนให้ยกฟ้อง ตามศาลชั้นต้น  โจทก์ยื่นฎีกา เพื่อขอให้ศาลฎีกา มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นรับคดีไว้พิจารณาเพื่อสืบพยานโจทก์-จำเลยต่อไปด้วย
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์เป็นบุคคลสาธารณะที่สมัครใจเข้ามารับตำแหน่งทางการเมืองเพื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญ มีทั้งอำนาจหน้าที่ในการบริหารประเทศ และต้องรับผิดชอบจากการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วประเทศ จึงจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบสูงกว่ามาตรฐานของบุคคลทั่วไป ทั้งถ้อยคำของจำเลยที่ให้สัมภาษณ์ก็มิได้ปรุงแต่งข้อเท็จจริง แต่มีผลต่อเนื่อง เชื่อมโยงกันมาโดยตลอด จากการกระทำของโจทก์เอง และกลุ่มคนที่ให้การสนับสนุน อาทิ โจทก์เคยพูดต่อข้าราชการ กลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง และกลุ่มคนขับแท็กซี่ว่าผู้มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ แทรกแซงองค์กรอิสระ และศาล รวมทั้งนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เคยมีความเห็นว่า โจทก์ละเมิดรัฐธรรมนูญ และอื่นๆ  ดังนั้น การให้สัมภาษณ์ของจำเลยจึงเป็นการติชม แสดงความคิดเห็นโดยสุจริต จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ฟ้องโจทก์ไม่มีมูลความผิด ที่ศาลล่างพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น