วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ศาลทหารสั่งจำคุก 8 ปี ‘เหน่ง จั๋งหนับ’ รายล่าสุดแชร์คลิปบรรพต –เขาคือใคร?


28 ธ.ค.2558 ที่ศาลทหาร มีนัดสอบคำให้การคดีที่นายธนิตศักดิ์ หรือ เหน่ง จั๋งหนับ วัย 50 ปีตกเป็นจำเลยในคดีหมิ่นประมาทสถาบันจากการเผยแพร่คลิปเสียง ‘บรรพต’ จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลจึงพิพากษาให้จำคุก 8 ปี แต่รับสารภาพจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 4 ปี
ทั้งนี้ ก่อนเริ่มสอบคำให้การอัยการทหารแถลงขอให้ศาลพิจารณาเป็นการลับเนื่องจากอาจมีถ้อยคำที่กระทบความมั่นคง และศาลอนุญาตตามร้องขอ ญาติจำเลยและผู้สังเกตการณ์ทั้งหมดจึงต้องออกจากห้องพิจารณาคดี
ธนิตศักดิ์ ถูกจับกุม เมื่อวันที่ 25 เม.ย.2558 ใน อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ โดยญาติของเขาระบุว่าเป็นการจับ “กลางเถียงนา” เขานับเป็นรายล่าสุดของเครือข่ายบรรพตที่ถูกจับ โดยก่อนหน้านี้ในเดือนมกราคม – มีนาคม 2558 มีการทยอยจับกุมผู้ต้องหารายอื่นแล้ว 12 คนในจำนวนนี้รวมถึง บรรพต หรือนายหัสดิน เองด้วย อย่างไรก็ตาม ทนายความเปิดเผยว่าเขาไม่ได้ถูกนำตัวเข้าค่ายทหารหลายวันก่อนถึงมือตำรวจเหมือนรายอื่นๆ
อัยการทหารฟ้องเขาในข้อหาตามความผิดมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา, มาตรา 14(3),(5) พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และมาตรา 83 ของประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยตัวการร่วม
ในคำบรรยายฟ้องระบุพฤติกรรมของเขา โดยสรุปว่า ตั้งแต่ปี 2553 จนถึง 28 ม.ค.2558 บรรพตได้อัดคลิปเสียงที่มีข้อความหมิ่นอัพโหลดขึ้น medifire.com จากนั้นธนิตศักดิได้ดาวน์โหลดคลิปดังกล่าวออกมาแล้วนำไปเผยแพร่ใน facebook.com, banpodjthailandclips.simplesite.com และ OKTHAI.COM โดยรู้อยู่แล้วว่าคลิปดังกล่าวมีความผิดตามมาตรา  112 (อ่านรายละเอียดคดีได้ใน iLaw)
ในคดี “เครือข่ายบรรพต”  มีจำเลย 14 คนถูกทยอยจับกุมและสั่งฟ้องเป็นคดีเดียวกัน ในความผิด 1 กรรม ตามมาตรา 112 พ.ร.บคอมพิวเตอร์ ในจำนวนนี้ 8 คนรวมถึงบรรพตด้วยให้การรับสารภาพ ศาลทหารพิพากษาเมื่อ 14 ก.ค.2558 ให้จำคุกจำเลย 8 คน คนละ 10 ปี รับสารภาพลดเหลือ 5 ปี อีกอีก 2 คน คือ สายฝน ภรรยาบรรพตและ นที มอเตอร์ไซด์รับจ้างที่รับส่งสินค้าให้จำคุกคนละ 6 ปี รับสารภาพลดเหลือ 3 ปี  
ส่วนอีก 2 รายขอต่อสู้คดี คือ เงินคูนและศิวาพร คดีกำลังพิจารณาในศาลทหาร
ขณะที่มีอีก 2 รายถูกแยกฟ้องต่างหาก โดย ธารา ถูกฟ้อง 6 กรรม และ อัญชัน ถูกฟ้อง 29 กรรม คดีกำลังพิจารณาในศาลทหาร
ธนิตศักดิ์ถูกจับกุมช้ากว่าคนอื่นๆ นับตั้งแต่ถูกจับกุมจนถึงวันนัดสอบคำให้การในวันนี้ (29 ธ.ค.2558) รวมเวลา 8 เดือนเศษ เขาให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน อีกทั้งยังไม่ยื่นขอประกันตัว โดยเขาระบุว่าเนื่องจากเขาไม่มีครอบครัวและอาศัยพี่สาวช่วยเหลือดูแล เฉพาะการมาเยี่ยมและให้เงินไว้ซื้อของใช้จำเป็นในเรือนจำก็นับว่ารบกวนญาติมากแล้ว
พี่สาวของธนิตศักดิ์ ระบุว่า ธนิตศักดิ์เป็นน้องชายเพียงคนเดียว ก่อนหน้านี้ในช่วงปี 2554-2555 เขาเป็นโรคปอดติดเชื้ออย่างรุนแรง จนน้ำหนักลดจาก 90 กว่าก.ก. เหลือไม่ถึง 60 ก.ก. เธอจึงให้ความดูแลจนกระทั่งเริ่มฟื้นจากอาการเจ็บป่วย และคาดว่าในช่วงเวลาที่เขาป่วยและพักอยู่บ้านทำให้มีเวลาว่างมากและติดตามข่าวสารข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตเยอะ จากนั้นเมื่อร่างกายเริ่มแข็งแรงไม่นานก็มาโดนคดีดังกล่าว เธอบอกด้วยว่าก่อนหน้าจะถูกจับกุมธนิตศักดิ์ได้หยุดเล่นเฟซบุ๊กไปแล้วหลายเดือน แต่สุดท้ายก็เข้าไปเช็คข่าวสารข้อมูลในเฟซบุ๊กเดิมอีกครั้ง หลังจากนั้นเพียง 1 วันก็ถูกบุกจับถึงกลางทุ่งนา
ธนิตศักดิ์มีอาชีพเป็นผู้ช่วยช่างภาพของทีมข่าวสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งมายาวนานถึง 22 ปี ติดตามข่าวอาชญากรรมและข่าวการเมืองเป็นหลัก และในช่วงหลังเขาก็ย้ายไปทำข่าวเกษตร
“รู้ไหมว่ากล้วยนี่ถ้าตัดต้น ขุดเอาตอและรากออกมาแล้วกลับหัวฝังดินซะ มันจะออกมาทีสามสี่หน่อ เพราะพืชมันมีสัญชาติญาณของการเอาตัวรอดสูงมาก” ธนิตศักดิ์กล่าวและยังยกตัวอย่างพืชผลทางการเกษตรแปลกๆ อีกหลายรายการซึ่งได้มาจากประสบการณ์การทำข่าวภาคเกษตร
ธนิตศักดิ์ มีบุคลิกพูดจาตรงไปตรงมาและมีอารมณ์ขัน เขาเล่าว่าเขาเป็นคนชอบทำกับข้าวและเบื่อกับการหลบหนี เวลาจ่ายตลาดต้องคอยมองซ้ายขวา ดังนั้นจึงไม่สนใจจะหลบหนีอีกต่อไปและต้องการจัดการทุกสิ่งอย่างให้จบสิ้นตามกระบวนการโดยรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
“เราจะต่อสู้ก็ต้องดูเวทีด้วย มวยรุ่นเฮฟวี่เวดแล้วเรามันน้ำหนักเบาเหมือนหมูหยอง ยังไงมันก็สู้กันไม่ได้” ธนิตศักดิ์กล่าว
ความเปลี่ยนแปลงในวิธีคิดของเขาเริ่มต้นราวปี 2551-2552 โดยเพื่อนคนหนึ่งแนะนำให้รู้จักกับรายการวิทยุของบรรพต โดยนำซีดีของบรรพตมาให้ ในนั้นบรรจุรายการบรรพต ตอนที่ 1-3
“ผมฟังแล้วป่วยเลย จับไข้อยู่สองอาทิตย์ ช็อค” ธนิตศักดิ์กล่าวและเล่าเพิ่มเติมว่าเมื่อฟังคลิปแล้วเขาไม่ได้รู้สึกเกลียดหรือชอบบรรพตในทันทีทันใด เพราะแม้เขามีทัศนคติแบบคนทั่วไปในสังคมแต่ก็ไม่เคยปิดกั้นตัวเองในการรับข้อมูล การฟังคลิปของบรรพตเพียงแต่ทำให้เขาเกิดความสงสัย เมื่อผสานกับการทำข่าวการเมืองมายาวนานก็เหมือนช่วยให้เห็นว่าจิ๊กซอว์ต่างๆ นั้นเชื่อมร้อยกัน จากนั้นจึงสนใจศึกษาค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม เขาเริ่มสนใจประวัติศาสตร์การเมืองมากขึ้น กระนั้นก็ยังยืนยันว่าเขาแยกแยะการทำหน้าที่สื่อมวลชนได้ และไม่ได้สัมพันธ์กับกลุ่มเสื้อแดงในโซเชียลมีเดียอย่างออกหน้าออกตา ส่วนการไปร่วมชุมนุมก็เป็นการไปทำหน้าที่สื่อปกติ
“ตอนช่วงชุมนุม 53 ผมไปทุกวัน แต่ไปทำข่าว ผมต้องเฝ้าเวทีปราศรัยตั้งแต่ทุ่มจนถึงตีห้าทุกวัน ก็ฟังหมด ส.ส.บางคนที่ปราศรัยสะเปสะปะ ผมก็ยังด่า” ธนิตศักดิ์ระบุและว่าในการโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเขาไม่เคยโพสต์ข้อความหยาบคายรุนแรง “ส่วนมากจะเป็นแนวตลกเสียดสีซะมากกว่า แล้วก็แต่งกลอน ผมแต่งบกวีเยอะนะ ถ้ามีชีวิตรอดออกจากคุกไปก็ตั้งใจว่าจะออกพ็อคเก็ตเฟซบุ๊ก”
“ผมไม่ได้โกรธบรรพตที่ทำให้เจอคดีแบบนี้ เพราะแต่ละคนย่อมมีสิทธิในการตัดสินใจตามแบบของตัวเองเต็มที่ ผมชอบฟังเขาเพราะมันเหมือนเขามาเล่าเรื่องราวให้ฟัง ช่วยทุ่นเวลาที่จะต้องไปหาอ่านหนังสือเอาเอง ที่สำคัญในคลิปมันมีเรื่องอายุรเวชด้วยซึ่งมีประโยชน์มาก” เขากล่าวกับคนใกล้ชิด
พี่สาวของธนศักดิ์ระบุว่าเป็นห่วงอาการปอดติดเชื้อของเขา เพราะก่อนเข้าเรือนจำ เขาฟื้นจากโรคและมีน้ำหนักเกือบ 90 ก.ก.และปัจจุบันน้ำหนักเขาเหลือเพียง 60 ก.ก.เศษ เรียกว่าผ่ายผอมลงไปมาก และยังมีอาการเดินลำบาก เนื่องจากประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ล้มเมื่อไม่กี่ปีก่อนแล้วกระดูกแตกไปทับเส้นประสาทตรงต้นขาทำให้มีอาการเดินกระเผลก เจ้าตัวไม่ยอมเข้ารับการผ่าตัดจนต้องกระทั่งเข้าเรือนจำ อาการก็หนักขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ในวันนี้ที่ขึ้นศาลเขาก็เดินด้วยความยากลำบาก
เมื่อถามว่าในเรือนจำสภาพความเป็นอยู่เป็นอย่างไร เขากล่าวว่าขณะนี้ทานอาหารวันละ 1 มื้อเนื่องจากอาหารในเรือนจำไม่สู้จะดีนัก ทำให้ไม่อยากอาหาร ส่วนการทำงานในเรือนจำนั้นเนื่องจากเขาสุขภาพไม่แข็งแรงจึงขอไม่ทำงาน
“ปกติอยู่ในเรือนจำ ผมเป็นพระปางนาคปรกนะ” เขากล่าว
ผู้ใกล้ชิดที่เข้าเยี่ยมถามว่าหมายความว่าอย่างไร
“ผมนอนตอนกลางคืน พอตื่นขึ้นมาก็เป็นปางนาคปรกเลย เพราะตีนใครไม่รู้ห้านิ้วปรกอยู่ที่หน้าผาก” เขากล่าวและหัวเราะกับคนใกล้ชิด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น