วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559

คสช. ลุยปราบผู้มีอิทธิพลเมืองกรุง จับตา 6,000 ราย 'เก่ง การุณ-เสธ.ไอซ์' ติดโผ



คสช. ลุยปราบผู้มีอิทธิพลเมืองกรุง จับตา 6,000 ราย 'เก่ง การุณ-เสธ.ไอซ์-ร.อ.มนัส' ติดโผ ผบ.ตร.รับ มีตำรวจทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล 'ประวิตร' โยน ผบ.ทบ. ตอบรายชื่อ บอกตนไม่รู้รายละเอียด ระบุสมองไม่ค่อยดีจำอะไรไม่ได้ 
หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เลขที่ 324/2558 ลงวันที่ 29 ต.ค. 2558 ให้ตั้งคณะกรรมการเรื่องการบูรณาการปราบปรามผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธาน และมีผู้บัญชาการเหล่าทัพเป็นคณะกรรมการ โดยเมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมการปราบปรามผู้มีอิทธิพล โดยที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวภายหลังการประชุมดังกล่าวว่า ได้รับรายงานว่าขณะนี้มีผู้มีอิทธิพลประมาณ 6,000 ราย มีทั้งบุคคลทั่วไป ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น และข้าราชการทหาร ตำรวจ โดยแบ่งเป็น 16 ฐานความผิด แต่ที่ประชาชนต้องการให้เจ้าหน้าที่เร่งกวาดล้างแบ่งเป็น 8 กลุ่มหลัก แต่ที่มากที่สุดคือ ยาเสพติด นอกนั้นก็แบ่งเป็นฮั้วประมูล เงินกู้นอกระบบ นั้น
ผบ.ตร.รับ มีตำรวจทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล
ล่าสุดวันนี้ (7 มี.ค.59) สำนักข่าวไทย รายงานด้วยว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวกรณีกองทัพภาคที่ 1 สั่งขึ้นบัญชีผู้มีอิทธิพลทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ว่า ส่วนตัวยังไม่เห็นรายชื่อ ในส่วนของ ตร. รับผิดชอบการตรวจสอบข้อมูลผู้มีอิทธิพลที่เป็นข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ ขณะนี้ยอมรับว่า มีตำรวจเกี่ยวข้องจริงทั้งในความผิดเกี่ยวกับการฮั้วประมูล ยาเสพติด เงินกู้นอกระบบ และค้าอาวุธ แต่ยังไม่สามารถระบุจำนวนได้ เพราะยังอยู่ในชั้นความลับ หลังจากตรวจสอบข้อมูล จะเข้าที่ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบว่ารายชื่อตรงกันหรือซ้ำซ้อนกันหรือไม่ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันการปราบปรามผู้มีอิทธิพลนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีนโยบายในการปราบปรามอยู่แล้ว

ประวิตรโยน ผบ.ทบ. ตอบรายชื่อ ผู้มีอิทธิพล บอกตนไม่รู้รายละเอียด
ขณะที่ เนชั่น รายงานด้วยว่า พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินหน้าปราบปรามผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศ โดยล่าสุดมีรายชื่อบุคคลและอดีตนักการเมืองบางคนอยู่ในข่ายพูดคุย ว่า ตนไม่รู้รายละเอียดให้ถามจากพล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. เพราะมีหน้าที่สอบสวนในเรื่องดังกล่าว ขณะนี้เริ่มเดินหน้าไปแล้ว 
ผู้สื่อข่าวถามว่ารายชื่อบุคคลที่อยู่ในข่ายมีจำนวนถึง 500 ชื่อหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ไม่รู้ นับไม่ได้ สมองไม่ค่อยดีจำอะไรไม่ได้ ผมยังไม่ได้สอบถามอะไร เพราะยังไม่เจอกับผบ.ทบ.ต้องให้ผบ.ทบ.ตอบ ผมตอบไม่ได้”เมื่อถามย้ำว่าผู้มีอิทธิพลมีทุกสาขาอาชีพหรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่รู้ เพราะมั่วไปหมดคนที่มีอาชีพดีๆจะไปมีอิทธิพลอะไร และไม่ทราบว่ามีรายชื่อสื่อรวมอยู่ด้วยหรือไม่ ต้องขอความร่วมมือทุกฝ่ายให้เลิกให้หยุด ต้องยอมกันบ้างและรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรเพื่อให้บ้านเมืองเป็นมาตรฐานและเดินต่อไปข้างหน้าและทุกคนจะได้อยู่ร่วมกันได้
 
คสช. ลุยปราบผู้มีอิทธิพลเมืองกรุง ขึ้นบัญชีจับตา 'เก่ง การุณ-เสธ.ไอซ์'
 
ขณะที่ เมื่อวันที่ 6 มี.ค. ที่ผ่านมา ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า  คสช. โดยกองกำลัง รักษาความสงบเรียบร้อย กองทัพภาคที่ 1 ได้มีหนังสือไปถึง ผบ.พล.1 รอ. เชิญหัวหน้าฝ่ายการข่าว เพื่อร่วมประชุมเกี่ยวกับ กลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่รับผิดชอบ ของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย กองทัพภาคที่ 1 ในวันที่ 8 มี.ค. เพื่อปราบปราม ผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศ ทั้งนี้ในหนังสือคำสั่งดังกล่าว มีการระบุรายชื่อ ผู้มีอิทธิพล 4 ราย ประกอบด้วย
 
1.นายการุณ โหสกุล หรือ เก่ง อดีต ส.ส.เขตดอนเมืองกว่า 10 สมัย ในนามของพรรคเพื่อไทย และยังเป็นผู้กว้างขวางในเขตดอนเมือง  2.พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต หรือ เสธ.ไอซ์ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กองทัพบก ผู้กว้างขวางที่มีลูกน้องในแวดวงทหารจำนวนมาก อีกทั้งยังมีความใกล้ชิด กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถือเป็นที่รู้จักกันอย่างดีทุกวงการ 3.ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หรือ ร.อ.มนัส อดีตทหาร อีกหนึ่งคนสนิทของ เสธ.ไอซ์ อีกหนึ่งผู้กว้างขวาง ในหลายวงการ อาทิ วงการสลากกินแบ่งรัฐบาล และเคยลงสมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ปัจจุบันมีภรรยาเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ใน จ.พะเยา และ 4.นายชัยสิทธิ์ งามทรัพย์ ผู้กว้างขวางย่านหมอชิต
 
ด้าน พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช. กล่าวว่า ช่วงนี้หน่วยงานความมั่นคงเริ่มเข้มงวดมากขึ้น ในการดำเนินการต่อกลุ่มผู้มีอิทธิพลตามนโยบายของรัฐบาล และ คสช.โดยที่ผ่านมาพบมีเรื่องร้องเรียนเข้าจำนวนมาก ที่ส่งสัญญาณว่าในสังคมไทยยังมีบางบุคคลพยายามเอารัดเอาเปรียบบุคคลอื่นๆ อยู่ ด้วยพฤติกรรมที่หลากหลายรูปแบบ และจากข้อมูลที่ เจ้าหน้าที่ได้รับในบางกรณีก็พบว่ามีมูล แต่ในบางกรณีก็พบว่าเป็นเรื่องของการแอบอ้างชื่อบุคคลอื่นๆ มาแอบแฝงอำพราง เพื่อหาประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง ซึ่งจะอย่างไรก็ตามเชื่อว่า เจ้าหน้าที่จะสามารถพิสูจน์ทราบ และเข้าถึงข้อเท็จจริงได้ตามหลักฐาน และองค์ประกอบที่น่าเชื่อถือ รวมทั้งจะสามารถดำเนินการแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้ โดยอาศัยกฎหมายเป็นหลัก สำหรับรายละเอียดในการดำเนินการคงเป็นเรื่องของแต่ละหน่วยแต่ละพื้นที่ ที่จะบริหารจัดการเพื่อให้เป็นไปตามนโยบาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น