โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาตรการเพิ่มรายได้ 1,500-3,000 บาทแก่ผู้มีรายได้น้อย น่าจะเรียกว่าเป็นสวัสดิการแห่งรัฐ มิใช่ประชานิยม เพราะไม่สร้างปัญหาไว้เบื้องหลัง โดยไม่หวังคะแนนเสียงและความนิยมจากประชาชน
24 พ.ย. 2559 จากกรณีเมื่อวาน (22 พ.ย. 59) คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ คือ เห็นชอบในหลักการการดำเนินมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โดยให้เพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยรายละ 1,500-3,000 บาท จำนวน 5.4 ล้านคน เริ่มจ่ายตั้งแต่ 1-30 ธ.ค. 2559 ซึ่งต่อมา วัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็น 'ประชานิยมสิ้นคิด' (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม) นั้น
วันนี้ (24 พ.ย.59) สำนักข่าวไทย รายงานด้วยว่า พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนักการเมืองบางคนบางกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์มาตรการเพิ่มรายได้ 1,500-3,000 บาทแก่ผู้มีรายได้น้อยว่าไม่ต่างจากนโยบายประชานิยมในอดีต ว่า รัฐบาลมีหน้าที่สนับสนุนดูแลพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม ทุกฐานะ ให้สามารถดำรงชีพได้อย่างมีความสุข ลดช่องว่างทางสังคมและมีศักดิ์ศรีตามสมควร ด้วยมาตรการที่แตกต่างกันไปตามความจำเป็นทั้งระยะสั้นและระยะยาว
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือการดำเนินการใดๆ จะต้องไม่มีวาระซ่อนเร้น ไม่ทำเพื่อคะแนนเสียงหรือสร้างฐานความนิยม โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประเทศ กับลูกหลานในภายหน้า แต่จะต้องดำเนินการด้วยความจริงใจ โปร่งใส ชัดเจน รอบคอบ ไม่สร้างผลกระทบต่อระบบการเงินการคลังของชาติ ที่สำคัญผู้นำและผู้บริหารในทุกระดับ จะต้องมีธรรมาภิบาลในการทำงาน เพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ดีต่อบ้านเมืองต่อไป
“สำหรับผมแล้ว การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่สมควรได้รับ โดยไม่สร้างปัญหาไว้เบื้องหลัง น่าจะเรียกว่าเป็นสวัสดิการแห่งรัฐ มิใช่ประชานิยม ในนิยามที่เราเข้าใจหรือคุ้นเคยกัน ว่า คิดทำเพื่อหวังคะแนนเสียง และความนิยมจากประชาชน โดยไม่สนใจผลระยะยาวต่อประเทศชาติ อย่างไรก็ตาม อยากแนะนำให้พี่น้องประชาชนที่เข้าข่ายได้รับการดูแลจากมาตรการนี้ ใช้จ่ายเงินอย่างมีเป้าหมาย เกิดประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัว อย่าคิดว่าได้มาโดยง่าย ก็จะใช้โดยสะดวก เพราะจะผิดวัตถุประสงค์ที่ต้องการแบ่งเบาภาระ มิใช่การสร้างหนี้เพิ่ม” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น