เขียนโดย Go6
http://serichon.com/board/index.php?topic=37396.msg46752;topicseen#new
หมายเหตุ/ บทความนี้มีชื่อว่า "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ"
อาวุธทรงพลังในหมู่ลูกแกะ เขียนโดย อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล
ตีพิมพ์ลงใน www.onopen.com เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2548
และตีพิมพ์ในหนังสือ "พระราชอำนาจ องคมนตรี และผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ
เป็นบทความที่อธิบายเกี่ยวกับกฏหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ได้อย่างชัดเจน
จึงขอนำมาเผยแพร่ในเวปไซด์แห่งนี้และขอบคุณเจ้าของบทความเป็นอย่างยิ่ง
" สงครามแย่งชิง “ความจงรักภักดี” ระหว่างทักษิณกับสนธิ
โดยมีข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”
เป็นอาวุธกำลังดำเนินไปอย่างเผ็ดร้อนและยากจะคาดเดาว่าจะลงเอยเช่นใด
จนกระทั่งมีพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม
เหตุการณ์ก็เริ่มคลี่คลายไปตามลำดับ ด้วยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยเช่นนี้
จึงน่าสนใจว่าที่เรียกกันว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นมีจริงหรือไม่ และมีลักษณะอย่างไร
-๑.-
ความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น
หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ บัญญัติว่า
ความผิดตามมาตรา ๑๑๒ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการกระทำที่ครบ
ทั้งองค์ประกอบภายนอกและองค์ประกอบภายใน
องค์ประกอบภายนอกก็คือ ต้องหมิ่นประมาท ดูหมิ่น
หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท
หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ส่วนองค์ประกอบภายในคือ ต้องมีเจตนา
มีถ้อยคำที่ควรพิจารณาอยู่ ๓ ถ้อยคำ ได้แก่
หมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้าย
อย่างไรจึงเรียก “หมิ่นประมาท”?
“หมิ่นประมาท” ตามมาตรา ๑๑๒ มีความหมายเดียวกับหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไป
ตามมาตรา ๓๒๖ กล่าวคือ เป็นการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม
โดยที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง
เมื่ออ่านมาตรา ๑๑๒ ประกอบกับมาตรา ๓๒๖ แล้ว
การหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ หมายถึง
การใส่ความพระมหากษัตริย์ต่อบุคคลที่สาม
โดยที่น่าจะทำให้พระมหากษัตริย์นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น
หรือถูกเกลียดชัง เช่น
นาย ก.เล่าให้นาย ข.ฟังถึงเรื่องพระมหากษัตริย์อันทำให้พระมหากษัตริย์เสียชื่อเสียง
ไม่ว่าเรื่องที่เล่ามานั้นจะจริงหรือเท็จก็ตาม ถ้าพระมหากษัตริย์เสียหาย
ก็ถือว่านาย ก.หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์แล้ว
อย่างไรจึงเรียก “ดูหมิ่น”?
“ดูหมิ่น” หมายถึงการแสดงเหยียดหยาม อาจกระทำทางกริยา เช่น
ยกส้นเท้า ถ่มน้ำลาย หรือกระทำด้วยวาจา เช่น ด่าด้วยคำหยาบคาย
ส่วน “แสดงความอาฆาตมาดร้าย” หมายถึง
การแสดงว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายในอนาคต เช่น
ขู่ว่าจะปลงพระชนม์ไม่ว่าจะมีเจตนากระทำตามที่ขู่จริงหรือก็ตาม
การหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย
ต้องกระทำต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท
หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เท่านั้น
ไม่รวมถึงเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ
และเช่นกัน
ไม่รวมถึงท่านผู้หญิง คุณหญิง ข้าราชบริพาร สิ่งของ หรือสัตว์เลี้ยง…
โดยทั่วไป การหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา
ผู้กระทำอาจยกเหตุตามมาตรา ๓๒๙ มาอ้างว่าตนกระทำได้
เพราะเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต
เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตน
หรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามทำนองคลองธรรม
หรือในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่
หรือติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคล
หรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ
หรือในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรม
หรือการดำเนินการอันเปิดเผยในศาล
หรือในการประชุม
นอกจากนี้ผู้กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท
อาจอ้างเหตุยกเว้นโทษได้ตามมาตรา ๓๓๐
หากพิสูจน์ได้ว่าที่หมิ่นประมาทไปนั้นเป็นความจริง
แต่ห้ามพิสูจน์ในกรณีที่ข้อที่เป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว
และการพิสูจน์ไปก็ไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
อย่างไรก็ตามคำพิพากษาฎีกายืนยันว่าเหตุให้หมิ่นประมาทได้ตามมาตรา ๓๒๙
และเหตุยกเว้นโทษตามมาตรา ๓๓๐ ไม่นำมาใช้บังคับกับกรณีพระมหากษัตริย์
เพราะ พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ มีสถานะแตกต่างจากบุคคลทั่วไป
ซึ่งมาตรา ๑๑๒ มุ่งคุ้มครองเป็นพิเศษ
ดังนั้นหากใครหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์
และจะอ้างต่อศาลว่าตนติชมด้วยความเป็นธรรม ศาลก็ไม่รับฟัง
อนึ่ง แม้กฎหมายจะไม่อนุญาต
ให้อ้างได้ว่าการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์เป็นไป
เพื่อการวิจารณ์หรือติชมด้วยความเป็นธรรม
แต่เราจะเห็นถึงน้ำพระทัยของในหลวงที่ทรงเปิดกว้าง
รับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ในตัวพระองค์
ดังความบางตอนจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ ที่ว่า
“แต่ว่าความจริงก็ต้องวิจารณ์บ้างเหมือนกัน
และก็ไม่กลัวว่าถ้าใครจะมาวิจารณ์ว่าทำไม่ดีตรงนั้น ตรงนั้นจะได้รู้
เพราะว่าถ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่หัว ไปวิจารณ์ท่านไม่ได้
ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่เป็นคน...
ฉะนั้น ก็ที่บอกว่าการวิจารณ์เรียกว่าละเมิดพระมหากษัตริย์
ละเมิด ให้ละเมิดได้ แต่ถ้าเขาละเมิดผิด
เขาก็ถูกประชาชนบอก เป็นเรื่องขอให้เขารู้ว่าวิจารณ์อย่างไร
ถ้าเขาวิจารณ์ถูกก็ไม่ว่า แต่ถ้าวิจารณ์ผิด ไม่ดี
แต่เมื่อบอกว่าไม่ให้วิจารณ์ ละเมิดไม่ได้
เพราะรัฐธรรมนูญว่าอย่างนั้น
ลงท้ายพระมหากษัตริย์ก็เลยลำบาก แย่ อยู่ในฐานะลำบาก
ถ้าไม่ให้วิจารณ์ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวนี้ต้องวิจารณ์ ต้องละเมิด
แล้วไม่ให้ละเมิด พระเจ้าอยู่หัวเสีย พระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไม่ดี”
-๒.-
ความผิดฐาน “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” มีในระบบกฎหมายไทยจริงหรือ ?
จากการสำรวจประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายอื่นๆ ไม่พบคำว่า
“หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นความผิด
ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่แสดงถึง
เดชานุภาพและบารมีของกษัตริย์ ที่พูดว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ในปัจจุบันนั้นน่า
จะเป็นการพูดที่ติดปากกันมากกว่า (ไม่ว่าจะติดมาเพราะจงใจหรือบังเอิญ)
ข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”
ที่ “ลูกแกะ” เสื้อเหลืองกับ “ลูกแกะ” รัฐบาลยัดเยียดให้แก่กันและกันนั้น
เอาเข้าจริงก็คือข้อหา “หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์” ตามมาตรา ๑๑๒ นั่นเอง
สมควรกล่าวด้วยว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ย่อมกินความกว้างกว่า
“หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์”
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า
ในการประชุมอนุกรรมการตรวจพิจารณาแก้ไข
ประมวลกฎหมายอาญาของคณะกรรมการกฤษฎีกา วันที่ ๗ มกราคม ๒๔๘๔
หลวงประสาทศุภนิติได้ซักถามในที่ประชุมว่าหากจะใช้คำว่า
“หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” จะเป็นอย่างไร
หม่อมเจ้าสกลวรรณกร วรวรรณ ตอบว่า ปัจจุบันนี้ใช้ไม่ได้ ไม่มีข้อหาทางอาญา
“หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” มีแต่ข้อหา “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น
หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท
และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์"
(ดู www.midnightuniv.org/midnight2545/document9554.html )
กล่าวให้ถึงที่สุด ในระบบกฎหมายไทยปัจจุบันไม่มีความผิดฐาน
“หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” มีเพียงแต่ “หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์”
ซึ่งโดยเนื้อหาก็เหมือนกับความผิดฐานหมิ่นประมาทคนธรรมดา
จะหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์
หรือหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาก็ใช้นิยามเดียวกัน คือ
“การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามอันน่าจะทำให้ผู้อื่นเสียหาย”
ที่แตกต่างกันก็มีสามประการ คือ
หนึ่ง หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์มีโทษหนักกว่าหมิ่นประมาทคนธรรมดา
สอง หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ไม่อาจนำเหตุให้กระทำการได้
ตามมาตรา ๓๒๙ และมาตรา ๓๓๐ มาอ้างได้ และ
สาม ความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์เป็นความผิด
เกี่ยวด้วยความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร บุคคลที่ มาตรา ๑๑๒
ประสงค์จะคุ้มครอง คือ
พระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ในขณะที่ความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา ๓๒๖ เป็นความผิด
เกี่ยวด้วยเสรีภาพและชื่อเสียง มุ่งคุ้มครองบุคคลธรรมดา
-๓-
ยุติการยัดเยียดข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” กันเถิด
การฟ้องร้องโดยอ้างว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” แท้จริงแล้ว
เป็นการฟ้องร้องในความผิดฐานหมิ่นประมาท
พระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒
จึงต้องมาพิจารณากรณีฟ้อง
และขู่ว่าจะฟ้องทั้งหลายนั้นเข้าข่ายความผิดตามมาตรา ๑๑๒ หรือไม่
ไม่ว่าจะเป็นกรณีนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์นำสติ๊กเกอร์พระราชดำรัสไปติดตามที่ต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นกรณีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ไม่ยินยอมให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเข้าไปตรวจสอบบัญชี
โดยอ้างว่าจะเป็นการ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”
ไม่ว่าจะเป็นกรณีผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
ไม่ว่าจะเป็นสงครามระหว่างสนธิกับทักษิณ
วิญญูชนพึงตรึกตรองดูเถิดว่า…
กรณีเหล่านี้เป็นการใส่ความพระมหากษัตริย์ให้ผู้อื่นทราบ
อันทำให้พระมหากษัตริย์เสียหาย
อันถือเป็น “การหมิ่นประมาท” พระมหากษัตริย์หรือไม่
กรณีเหล่านี้เป็นการแสดงเหยียดหยามทางกริยา
หรือทางวาจาต่อพระมหากษัตริย์
อันถือเป็น “การดูหมิ่น” พระมหากษัตริย์หรือไม่
กรณีเหล่านี้เป็นการแสดงว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายพระมหากษัตริย์
อันถือเป็น “การแสดงความอาฆาตมาดร้าย” พระมหากษัตริย์หรือไม่
ถ้าไม่เป็น แล้วที่ฟ้องร้องกันทั่วบ้านทั่วเมืองนี่คืออะไร?
ทั้งหลายทั้งปวงเป็นการต่อสู้กันทางการเมืองและผลประโยชน์
โดยเอาข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” มาเป็นอาวุธ
หรือเกราะกำบังทั้งนั้น การกล่าวอ้างลอยๆว่า
“เอ็งกำลังจะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนะเว้ย”
กลายเป็นเพียงการข่มขู่ แบล็คเมล์
หรือหยิบยกขึ้นอ้างเพื่อผลประโยชน์บางประการ
โดยปราศจากซึ่งฐานทางกฎหมาย
เช่นนี้แล้วนักฟ้องร้องและแจ้งความข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
หรือหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ทั้งหลายนั้น
จะกล้าประกาศว่าข้าจงรักภักดียิ่งกว่าใครได้เต็มปากอีกหรือ?
เอาเข้าจริงคนที่ฟ้องร้องก็ไม่ได้หวังผลว่าจะต้องมีใครติดคุก
แต่ขอเพียงปักชนักติดหลังให้ศัตรูว่าโดนแจ้งความ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”
แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
กล่าวได้ว่าสังคมไทยปัจจุบันแปรสภาพโทษ
ทางกฎหมายของข้อหา “หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์”
(ภายใต้เสื้อคลุม “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”)
ให้กลายเป็นโทษทางสังคม
จะทำอย่างไรได้ก็บรรดา “ลูกแกะ” ช่างอ่อนไหวกับเรื่องพรรค์นี้เสียเหลือเกิน
ต้องไม่ลืมว่า
ยิ่งมีการฟ้องร้องข้อหานี้มากเท่าไร
ยิ่งทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศมากเท่านั้น
เพราะถ้าเราตีความในมุมกลับ
หากมีการกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาก ก็หมายความว่า
เดชานุภาพของพระมหากษัตริย์มีข้อบกพร่อง จึงมีคนหมิ่นบ่อยๆ
มิพักต้องกล่าวถึงกรณีหากเป็นคดีความขึ้นในศาล
ซึ่งคู่ความอาจต้องให้การบางอย่างบางประการ
อันอาจกระทบสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้นไปอีก
ความผิดฐานหมิ่นประมาทประมุขของรัฐเป็นความจำเป็น
ที่กฎหมายในทุกประเทศต้องมีเพื่อเป็นการคุ้มครองสถาบัน
อย่างไรก็ตาม ในหลายประเทศ
กฎหมายไม่เปิดโอกาสให้มีการฟ้องว่า
บุคคลหนึ่งหมิ่นประมาทประมุขของรัฐอย่างพร่ำเพรื่อ
หากแต่เจ้าหน้าที่จะสอบถามไปที่สำนักพระราชวัง
(กรณีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข)
หรือสำนักงานประธานาธิบดี (กรณีประธานาธิบดีเป็นประมุข)
ว่าเห็นควรจะให้ฟ้องร้องหรือไม่
น่าคิดว่ากฎหมายไทยควรถึงเวลาทบทวนประเด็นดังกล่าวหรือยัง
และสมควรกำหนดให้องค์กรใดองค์กรหนึ่งเป็นคนแจ้งความ
หรือฟ้องจะดีกว่าหรือไม่
การเปิดโอกาสให้ใครก็ได้เดินไปแจ้งความแก่ตำรวจว่า
มีคนหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์แล้ว
ตำรวจก็รับแจ้งความดำเนินคดีทุกครั้งไปนั้น
ไม่น่าจะเป็นผลดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
กองเชียร์นายกฯกลุ่มหนึ่งไปแจ้งความแก่ตำรวจว่า
นาย “สมาส” หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นายพล “จงเจริญ”
ในฐานะกองเชียร์ของนาย “สมาส” ทนไม่ได้เลยต้องไปแจ้งความกลับว่า
นายกฯต่างหากที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ภาพเช่นนี้ย่อมเป็นภาพที่ไม่น่าดู
ความจริงแล้ว
กรณียัดเยียดข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้กันในสังคมไทย
หากเจ้าหน้าที่มีดุลพินิจสักนิด
ก็ไม่เห็นมีความจำเป็นแต่ประการใด
ที่เจ้าหน้าที่จะต้องรับข้อหานั้นเข้าสู่กระบวนการพิจารณา
จากพระราชดำรัส ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ จะเห็นได้ว่า
พระองค์ทรงเปิดกว้างต่อการวิพากษ์วิจารณ์
และไม่สนับสนุนให้มีการฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาท
พระมหากษัตริย์กันอย่างพร่ำเพรื่อ
พระองค์ทรงแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า “...และมีแปลกๆ
คราวนี้นักกฎหมายก็ชอบให้ฟ้อง ให้จับเข้าคุก
อันนี้นักกฎหมายเขาสอน สอนนายกฯ บอกว่าต้องฟ้อง ต้องลงโทษ
ก็ขอสอนนายกฯ
ใครบอกว่าให้ลงโทษ อย่าลงโทษเขา ลงโทษไม่ดี ไม่ใช่นายกฯเดือดร้อน
แต่พระมหากษัตริย์เดือดร้อน”
เช่นนี้แล้ว
บรรดานักจงรักภักดีและหมู่ลูกแกะทั้งฟากเสื้อเหลืองและฟากรัฐบาล
จะมิพึงสนองพระราชดำรัสหรอกหรือ
http://www.go6tv.com/2011/02/blog-post_25.html
http://serichon.com/board/index.php?topic=37396.msg46752;topicseen#new
หมายเหตุ/ บทความนี้มีชื่อว่า "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ"
อาวุธทรงพลังในหมู่ลูกแกะ เขียนโดย อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล
ตีพิมพ์ลงใน www.onopen.com เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2548
และตีพิมพ์ในหนังสือ "พระราชอำนาจ องคมนตรี และผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ
เป็นบทความที่อธิบายเกี่ยวกับกฏหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ได้อย่างชัดเจน
จึงขอนำมาเผยแพร่ในเวปไซด์แห่งนี้และขอบคุณเจ้าของบทความเป็นอย่างยิ่ง
" สงครามแย่งชิง “ความจงรักภักดี” ระหว่างทักษิณกับสนธิ
โดยมีข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”
เป็นอาวุธกำลังดำเนินไปอย่างเผ็ดร้อนและยากจะคาดเดาว่าจะลงเอยเช่นใด
จนกระทั่งมีพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม
เหตุการณ์ก็เริ่มคลี่คลายไปตามลำดับ ด้วยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยเช่นนี้
จึงน่าสนใจว่าที่เรียกกันว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นมีจริงหรือไม่ และมีลักษณะอย่างไร
-๑.-
ความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น
หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ บัญญัติว่า
ความผิดตามมาตรา ๑๑๒ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการกระทำที่ครบ
ทั้งองค์ประกอบภายนอกและองค์ประกอบภายใน
องค์ประกอบภายนอกก็คือ ต้องหมิ่นประมาท ดูหมิ่น
หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท
หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ส่วนองค์ประกอบภายในคือ ต้องมีเจตนา
มีถ้อยคำที่ควรพิจารณาอยู่ ๓ ถ้อยคำ ได้แก่
หมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้าย
อย่างไรจึงเรียก “หมิ่นประมาท”?
“หมิ่นประมาท” ตามมาตรา ๑๑๒ มีความหมายเดียวกับหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไป
ตามมาตรา ๓๒๖ กล่าวคือ เป็นการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม
โดยที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง
เมื่ออ่านมาตรา ๑๑๒ ประกอบกับมาตรา ๓๒๖ แล้ว
การหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ หมายถึง
การใส่ความพระมหากษัตริย์ต่อบุคคลที่สาม
โดยที่น่าจะทำให้พระมหากษัตริย์นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น
หรือถูกเกลียดชัง เช่น
นาย ก.เล่าให้นาย ข.ฟังถึงเรื่องพระมหากษัตริย์อันทำให้พระมหากษัตริย์เสียชื่อเสียง
ไม่ว่าเรื่องที่เล่ามานั้นจะจริงหรือเท็จก็ตาม ถ้าพระมหากษัตริย์เสียหาย
ก็ถือว่านาย ก.หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์แล้ว
อย่างไรจึงเรียก “ดูหมิ่น”?
“ดูหมิ่น” หมายถึงการแสดงเหยียดหยาม อาจกระทำทางกริยา เช่น
ยกส้นเท้า ถ่มน้ำลาย หรือกระทำด้วยวาจา เช่น ด่าด้วยคำหยาบคาย
ส่วน “แสดงความอาฆาตมาดร้าย” หมายถึง
การแสดงว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายในอนาคต เช่น
ขู่ว่าจะปลงพระชนม์ไม่ว่าจะมีเจตนากระทำตามที่ขู่จริงหรือก็ตาม
การหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย
ต้องกระทำต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท
หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เท่านั้น
ไม่รวมถึงเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ
และเช่นกัน
ไม่รวมถึงท่านผู้หญิง คุณหญิง ข้าราชบริพาร สิ่งของ หรือสัตว์เลี้ยง…
โดยทั่วไป การหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา
ผู้กระทำอาจยกเหตุตามมาตรา ๓๒๙ มาอ้างว่าตนกระทำได้
เพราะเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต
เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตน
หรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามทำนองคลองธรรม
หรือในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่
หรือติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคล
หรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ
หรือในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรม
หรือการดำเนินการอันเปิดเผยในศาล
หรือในการประชุม
นอกจากนี้ผู้กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท
อาจอ้างเหตุยกเว้นโทษได้ตามมาตรา ๓๓๐
หากพิสูจน์ได้ว่าที่หมิ่นประมาทไปนั้นเป็นความจริง
แต่ห้ามพิสูจน์ในกรณีที่ข้อที่เป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว
และการพิสูจน์ไปก็ไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
อย่างไรก็ตามคำพิพากษาฎีกายืนยันว่าเหตุให้หมิ่นประมาทได้ตามมาตรา ๓๒๙
และเหตุยกเว้นโทษตามมาตรา ๓๓๐ ไม่นำมาใช้บังคับกับกรณีพระมหากษัตริย์
เพราะ พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ มีสถานะแตกต่างจากบุคคลทั่วไป
ซึ่งมาตรา ๑๑๒ มุ่งคุ้มครองเป็นพิเศษ
ดังนั้นหากใครหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์
และจะอ้างต่อศาลว่าตนติชมด้วยความเป็นธรรม ศาลก็ไม่รับฟัง
อนึ่ง แม้กฎหมายจะไม่อนุญาต
ให้อ้างได้ว่าการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์เป็นไป
เพื่อการวิจารณ์หรือติชมด้วยความเป็นธรรม
แต่เราจะเห็นถึงน้ำพระทัยของในหลวงที่ทรงเปิดกว้าง
รับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ในตัวพระองค์
ดังความบางตอนจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ ที่ว่า
“แต่ว่าความจริงก็ต้องวิจารณ์บ้างเหมือนกัน
และก็ไม่กลัวว่าถ้าใครจะมาวิจารณ์ว่าทำไม่ดีตรงนั้น ตรงนั้นจะได้รู้
เพราะว่าถ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่หัว ไปวิจารณ์ท่านไม่ได้
ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่เป็นคน...
ฉะนั้น ก็ที่บอกว่าการวิจารณ์เรียกว่าละเมิดพระมหากษัตริย์
ละเมิด ให้ละเมิดได้ แต่ถ้าเขาละเมิดผิด
เขาก็ถูกประชาชนบอก เป็นเรื่องขอให้เขารู้ว่าวิจารณ์อย่างไร
ถ้าเขาวิจารณ์ถูกก็ไม่ว่า แต่ถ้าวิจารณ์ผิด ไม่ดี
แต่เมื่อบอกว่าไม่ให้วิจารณ์ ละเมิดไม่ได้
เพราะรัฐธรรมนูญว่าอย่างนั้น
ลงท้ายพระมหากษัตริย์ก็เลยลำบาก แย่ อยู่ในฐานะลำบาก
ถ้าไม่ให้วิจารณ์ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวนี้ต้องวิจารณ์ ต้องละเมิด
แล้วไม่ให้ละเมิด พระเจ้าอยู่หัวเสีย พระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไม่ดี”
-๒.-
ความผิดฐาน “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” มีในระบบกฎหมายไทยจริงหรือ ?
จากการสำรวจประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายอื่นๆ ไม่พบคำว่า
“หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นความผิด
ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่แสดงถึง
เดชานุภาพและบารมีของกษัตริย์ ที่พูดว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ในปัจจุบันนั้นน่า
จะเป็นการพูดที่ติดปากกันมากกว่า (ไม่ว่าจะติดมาเพราะจงใจหรือบังเอิญ)
ข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”
ที่ “ลูกแกะ” เสื้อเหลืองกับ “ลูกแกะ” รัฐบาลยัดเยียดให้แก่กันและกันนั้น
เอาเข้าจริงก็คือข้อหา “หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์” ตามมาตรา ๑๑๒ นั่นเอง
สมควรกล่าวด้วยว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ย่อมกินความกว้างกว่า
“หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์”
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า
ในการประชุมอนุกรรมการตรวจพิจารณาแก้ไข
ประมวลกฎหมายอาญาของคณะกรรมการกฤษฎีกา วันที่ ๗ มกราคม ๒๔๘๔
หลวงประสาทศุภนิติได้ซักถามในที่ประชุมว่าหากจะใช้คำว่า
“หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” จะเป็นอย่างไร
หม่อมเจ้าสกลวรรณกร วรวรรณ ตอบว่า ปัจจุบันนี้ใช้ไม่ได้ ไม่มีข้อหาทางอาญา
“หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” มีแต่ข้อหา “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น
หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท
และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์"
(ดู www.midnightuniv.org/midnight2545/document9554.html )
กล่าวให้ถึงที่สุด ในระบบกฎหมายไทยปัจจุบันไม่มีความผิดฐาน
“หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” มีเพียงแต่ “หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์”
ซึ่งโดยเนื้อหาก็เหมือนกับความผิดฐานหมิ่นประมาทคนธรรมดา
จะหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์
หรือหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาก็ใช้นิยามเดียวกัน คือ
“การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามอันน่าจะทำให้ผู้อื่นเสียหาย”
ที่แตกต่างกันก็มีสามประการ คือ
หนึ่ง หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์มีโทษหนักกว่าหมิ่นประมาทคนธรรมดา
สอง หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ไม่อาจนำเหตุให้กระทำการได้
ตามมาตรา ๓๒๙ และมาตรา ๓๓๐ มาอ้างได้ และ
สาม ความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์เป็นความผิด
เกี่ยวด้วยความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร บุคคลที่ มาตรา ๑๑๒
ประสงค์จะคุ้มครอง คือ
พระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ในขณะที่ความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา ๓๒๖ เป็นความผิด
เกี่ยวด้วยเสรีภาพและชื่อเสียง มุ่งคุ้มครองบุคคลธรรมดา
-๓-
ยุติการยัดเยียดข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” กันเถิด
การฟ้องร้องโดยอ้างว่า “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” แท้จริงแล้ว
เป็นการฟ้องร้องในความผิดฐานหมิ่นประมาท
พระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒
จึงต้องมาพิจารณากรณีฟ้อง
และขู่ว่าจะฟ้องทั้งหลายนั้นเข้าข่ายความผิดตามมาตรา ๑๑๒ หรือไม่
ไม่ว่าจะเป็นกรณีนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์นำสติ๊กเกอร์พระราชดำรัสไปติดตามที่ต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นกรณีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ไม่ยินยอมให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเข้าไปตรวจสอบบัญชี
โดยอ้างว่าจะเป็นการ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”
ไม่ว่าจะเป็นกรณีผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
ไม่ว่าจะเป็นสงครามระหว่างสนธิกับทักษิณ
วิญญูชนพึงตรึกตรองดูเถิดว่า…
กรณีเหล่านี้เป็นการใส่ความพระมหากษัตริย์ให้ผู้อื่นทราบ
อันทำให้พระมหากษัตริย์เสียหาย
อันถือเป็น “การหมิ่นประมาท” พระมหากษัตริย์หรือไม่
กรณีเหล่านี้เป็นการแสดงเหยียดหยามทางกริยา
หรือทางวาจาต่อพระมหากษัตริย์
อันถือเป็น “การดูหมิ่น” พระมหากษัตริย์หรือไม่
กรณีเหล่านี้เป็นการแสดงว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายพระมหากษัตริย์
อันถือเป็น “การแสดงความอาฆาตมาดร้าย” พระมหากษัตริย์หรือไม่
ถ้าไม่เป็น แล้วที่ฟ้องร้องกันทั่วบ้านทั่วเมืองนี่คืออะไร?
ทั้งหลายทั้งปวงเป็นการต่อสู้กันทางการเมืองและผลประโยชน์
โดยเอาข้อหา “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” มาเป็นอาวุธ
หรือเกราะกำบังทั้งนั้น การกล่าวอ้างลอยๆว่า
“เอ็งกำลังจะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนะเว้ย”
กลายเป็นเพียงการข่มขู่ แบล็คเมล์
หรือหยิบยกขึ้นอ้างเพื่อผลประโยชน์บางประการ
โดยปราศจากซึ่งฐานทางกฎหมาย
เช่นนี้แล้วนักฟ้องร้องและแจ้งความข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
หรือหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ทั้งหลายนั้น
จะกล้าประกาศว่าข้าจงรักภักดียิ่งกว่าใครได้เต็มปากอีกหรือ?
เอาเข้าจริงคนที่ฟ้องร้องก็ไม่ได้หวังผลว่าจะต้องมีใครติดคุก
แต่ขอเพียงปักชนักติดหลังให้ศัตรูว่าโดนแจ้งความ “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”
แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
กล่าวได้ว่าสังคมไทยปัจจุบันแปรสภาพโทษ
ทางกฎหมายของข้อหา “หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์”
(ภายใต้เสื้อคลุม “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”)
ให้กลายเป็นโทษทางสังคม
จะทำอย่างไรได้ก็บรรดา “ลูกแกะ” ช่างอ่อนไหวกับเรื่องพรรค์นี้เสียเหลือเกิน
ต้องไม่ลืมว่า
ยิ่งมีการฟ้องร้องข้อหานี้มากเท่าไร
ยิ่งทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศมากเท่านั้น
เพราะถ้าเราตีความในมุมกลับ
หากมีการกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาก ก็หมายความว่า
เดชานุภาพของพระมหากษัตริย์มีข้อบกพร่อง จึงมีคนหมิ่นบ่อยๆ
มิพักต้องกล่าวถึงกรณีหากเป็นคดีความขึ้นในศาล
ซึ่งคู่ความอาจต้องให้การบางอย่างบางประการ
อันอาจกระทบสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้นไปอีก
ความผิดฐานหมิ่นประมาทประมุขของรัฐเป็นความจำเป็น
ที่กฎหมายในทุกประเทศต้องมีเพื่อเป็นการคุ้มครองสถาบัน
อย่างไรก็ตาม ในหลายประเทศ
กฎหมายไม่เปิดโอกาสให้มีการฟ้องว่า
บุคคลหนึ่งหมิ่นประมาทประมุขของรัฐอย่างพร่ำเพรื่อ
หากแต่เจ้าหน้าที่จะสอบถามไปที่สำนักพระราชวัง
(กรณีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข)
หรือสำนักงานประธานาธิบดี (กรณีประธานาธิบดีเป็นประมุข)
ว่าเห็นควรจะให้ฟ้องร้องหรือไม่
น่าคิดว่ากฎหมายไทยควรถึงเวลาทบทวนประเด็นดังกล่าวหรือยัง
และสมควรกำหนดให้องค์กรใดองค์กรหนึ่งเป็นคนแจ้งความ
หรือฟ้องจะดีกว่าหรือไม่
การเปิดโอกาสให้ใครก็ได้เดินไปแจ้งความแก่ตำรวจว่า
มีคนหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์แล้ว
ตำรวจก็รับแจ้งความดำเนินคดีทุกครั้งไปนั้น
ไม่น่าจะเป็นผลดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
กองเชียร์นายกฯกลุ่มหนึ่งไปแจ้งความแก่ตำรวจว่า
นาย “สมาส” หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นายพล “จงเจริญ”
ในฐานะกองเชียร์ของนาย “สมาส” ทนไม่ได้เลยต้องไปแจ้งความกลับว่า
นายกฯต่างหากที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ภาพเช่นนี้ย่อมเป็นภาพที่ไม่น่าดู
ความจริงแล้ว
กรณียัดเยียดข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้กันในสังคมไทย
หากเจ้าหน้าที่มีดุลพินิจสักนิด
ก็ไม่เห็นมีความจำเป็นแต่ประการใด
ที่เจ้าหน้าที่จะต้องรับข้อหานั้นเข้าสู่กระบวนการพิจารณา
จากพระราชดำรัส ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘ จะเห็นได้ว่า
พระองค์ทรงเปิดกว้างต่อการวิพากษ์วิจารณ์
และไม่สนับสนุนให้มีการฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาท
พระมหากษัตริย์กันอย่างพร่ำเพรื่อ
พระองค์ทรงแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า “...และมีแปลกๆ
คราวนี้นักกฎหมายก็ชอบให้ฟ้อง ให้จับเข้าคุก
อันนี้นักกฎหมายเขาสอน สอนนายกฯ บอกว่าต้องฟ้อง ต้องลงโทษ
ก็ขอสอนนายกฯ
ใครบอกว่าให้ลงโทษ อย่าลงโทษเขา ลงโทษไม่ดี ไม่ใช่นายกฯเดือดร้อน
แต่พระมหากษัตริย์เดือดร้อน”
เช่นนี้แล้ว
บรรดานักจงรักภักดีและหมู่ลูกแกะทั้งฟากเสื้อเหลืองและฟากรัฐบาล
จะมิพึงสนองพระราชดำรัสหรอกหรือ
http://www.go6tv.com/2011/02/blog-post_25.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น