วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554


จำคุก2ปีการ์ดพธม.ยึดรถเมล์คดีปิดสนามบินเพิ่งถึงอัยการ


        เรื่องจากปก
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
         ปีที่ 12 ฉบับที่ 3051 ประจำวัน พุธ ที่ 11 พฤษภาคม 2011
         ศาลสั่งจำคุกการ์ดพันธมิตรฯพกอาวุธยึดรถเมล์ 3 ปี คำให้การชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์ลดโทษเหลือ 2 ปี ระบุเป็นโทษหนักที่สุด ฐานร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยว ข่มขืนใจผู้อื่นโดยใช้กำลัง ส่วนความผิดฐานพกระเบิด อาวุธปืน ยกประโยชน์ให้จำเลย เพราะโจทก์นำสืบให้เห็นการกระทำผิดตามข้อกล่าวหาไม่ได้ ด้านคดีชุมนุมปิดสนามบินเพิ่งถูกส่งให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้อง เบื้องต้นนัดสั่งคำสั่ง 9 มิ.ย. แต่คาดว่าจะต้องเลื่อนออกไปอีก เพราะจำเลยยื่นขอความเป็นธรรมหลายประเด็น

วันที่ 10 พ.ค. 2554 มีความเคลื่อนไหวสำคัญเกี่ยวกับคดีความของแกนนำและแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 2 เรื่อง

เรื่องแรกเป็นการตัดสินคดีนายธีระเดช วรรณา, นายชัยวัฒน์ ทับทอง, นายธานี อาจสว่าง, นายสมชาย ทองเกียรติ, นายพงษ์พันธ์ กาจันทร์ และนายสมชัย หงสา การ์ดพันธมิตรฯ ของศาลอาญา ในความผิดฐานร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยว ข่มขืนใจผู้อื่นโดยใช้กำลัง, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนและวัตถุระเบิด และพกพาอาวุธเข้าไปในเมือง หมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันควร และความผิดตาม พ.ร.บ.วิทยุโทรคมนาคม จากกรณีพกอาวุธปืน, ระเบิดแสวงเครื่อง (ระเบิดปิงปอง), ท่อน้ำเป็นเหล็กกลมตัดปลายแหลมยาว, ไม้กระบองท่อนกลม, หนังสติ๊ก, มีดคัตเตอร์ และเครื่องรับส่งวิทยุชนิดมือถือ ติดตัวขึ้นไปบนรถโดยสารประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ครีมแดง สาย 53 เทเวศร์-รอบเมือง ขู่เข็ญพนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสาร ผู้เสียหาย เพื่อให้นำรถไปส่งที่บริเวณเวทีปราศรัยของกลุ่มพันธมิตรฯที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งอยู่นอกเส้นทางเดินรถ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2551

นำสืบมัดเรื่องพกระเบิดไม่ได้

คดีนี้ศาลตัดสินว่า เมื่อพิเคราะห์จากพยานหลักฐานและการนำสืบพยานของ 2 ฝ่ายแล้วเห็นว่าฝ่ายโจทก์นำพยานให้เห็นว่าจำเลยทั้งหมดร่วมกันข่มขืนใจพนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสารจริงจากการบังคับข่มขู่ให้นำรถออกนอกเส้นทาง กรณีนี้ถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว ส่วนกรณีพกอาวุธปืนโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยคนอื่นรับรู้การพกพาอาวุธของนายธานี อาจสว่าง จำเลยที่ 3 ที่เสียชีวิตแล้ว ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้พวกจำเลย เช่นเดียวกับความผิดฐานครอบครองวัตถุระเบิด ซึ่งพยานให้การเพียงว่าพบบนรถประจำทางเท่านั้น

ลงโทษหนักสุดจำคุกรายละ 2 ปี

เมื่อพิจารณาแล้วสั่งลงโทษจำคุกจำเลยคนละ 3 ปี ในความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่น อันเป็นบทลงโทษหนักสุด และลงโทษปรับรายละ 100 บาท ฐานพกพาอาวุธเข้าไปในเมือง แต่คำให้การชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยเป็นเวลา 2 ปี ปรับ 66 บาท โดยไม่รอลงอาญา ส่วนจำเลยที่ 1 นายธีระเดช วรรณา มีความผิดฐานพกพาเครื่องวิทยุสื่อสารโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก 1 กระทง ลงโทษปรับ 4,000 บาท คำรับสารภาพเป็นประโยชน์จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือปรับ 2,000 บาท

หลังฟังคำพิพากษาจำเลยทั้งหมดยื่นหลักทรัพย์คนละ 200,000 บาท เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี


พธม. รายงานตัวคดีปิดสนามบิน

ความคืบหน้าอีกเรื่องเกี่ยวกับคดีความของพันธมิตรฯคือ คดีชุมนุมยึดสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ พนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้เรียกผู้ต้องหา 114 คนเข้ารายงานตัวเพื่อนำส่งอัยการพร้อมสำนวนสอบสวนและความเห็นสั่งฟ้อง แต่มีผู้ต้องหาเดินทางมาเพียง 83 คน โดยแกนนำสำคัญที่เข้ารายงานตัว เช่น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายพิภพ ธงชัย นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายศรัณยู วงศ์กระจ่าง และ น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ แต่ไม่ปรากฏตัวนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำคนสำคัญแต่อย่างใด

ทนายเล็งยื่นขอความเป็นธรรม

นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรฯ กล่าวว่า พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องตามมาตรา 113 และ 116 เมื่อเรื่องถึงอัยการแล้วจะยื่นขอความเป็นธรรม เพราะเป็นการเลือกปฏิบัติ เนื่องจากมีบางคนไม่ถูกสั่งฟ้อง เพราะมีอำนาจรัฐมากันตัวออกไป ส่วนนายสนธิที่ไม่ได้เดินทางมาเพราะติดธุระจะนัดหมายกับพนักงานสอบสวนภายหลัง


ที่สำนักงานอัยการสูงสุด พนักงานสอบสวนได้นำผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมสำนวนและความเห็นสั่งฟ้องมามอบต่อนายวิเชียร ถนอมพิชัย อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 เพื่อพิจารณาสั่งคดี

อัยการตั้งทีมพิจารณาสำนวน

นายวิเชียรกล่าวว่า อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญาสั่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาสำนวน โดยมีนายเกียรติ หรูรุ่งโรจน์ รองอธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา เป็นหัวหน้าคณะ ซึ่งคณะทำงานมีหน้าที่พิจารณาภาพรวมคดีที่เกี่ยวกับพันธมิตรฯทั้งหมด โดยจะพิจารณาพฤติการณ์ตั้งแต่เริ่มการชุมนุม บุกยึดทำเนียบรัฐบาล ปิดล้อมรัฐสภา บุกสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 จนกระทั่งยึดสนามบิน ซึ่งอาจนำสำนวนของคดีทั้งหมดมารวมกันเพื่อยื่นฟ้องต่อศาล

“เบื้องต้นนัดผู้ต้องหาทั้งหมดมาฟังคำสั่งคดีในวันที่ 9 มิ.ย. นี้ แต่ไม่แน่ใจว่าจะสั่งคดีได้ทันนัดหรือไม่ เพราะสำนวนที่พนักงานสอบสวนยื่นมามีจำนวนมาก และฝ่ายผู้ต้องหายื่นขอความเป็นธรรมหลายประเด็น”

**************************
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น