วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

รัฐบาล ‘หมาบ้า’ แห่งสุวรรณภูมิ!!!?

รัฐบาล ‘หมาบ้า’ แห่งสุวรรณภูมิ!!!?

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

        เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมส่งต้นฉบับไปให้เจ้าหน้าที่เขาดำเนินการขึ้นเว็ป แต่ทันทีที่ส่งไปเสร็จเรียบร้อย ก็ได้ข่าวว่า ทหารไทยปะทะเขมรที่ชายแดน ผลก็คือ
        ตายและเจ็บอื้อ!        หนังสือพิมพ์ “ข่าวสด” พาดหัวขาวน่าตกใจว่า
        “รบหนัก-ชาวบ้านโซ ขุดมันกิน ซุกหลุมหลบภัย”

        ทั้งยังได้แสดงภาพ ที่สะเทือนใจผู้คนในบ้านนี้เมืองนี้ เพราะชาวบ้านพี่น้องเรา ต้องหลบภัยสงคราม กินข้าวประทังความหิวในท่อน้ำหลบภัย  
        ชนวนเหตุสำคัญ ของความขัดแย้งนั้น แท้ที่จริงก็คือ การแต่งตั้งนายกษิต ภิรมย์ ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งผมเขียนเอาไว้ ในบทความชื่อ  ไอ้คนหนีทหาร มันลากชาติไทยเรา เข้าสู่…สงคราม!!! อย่างนี้ครับ...

        ...การแต่งตั้งนายกษิตฯ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศนั้น ได้แสดงถึงความอ่อนด้อยทางการต่างประเทศของนายมาร์ค มุกควาย ซึ่งดันเสือกไปเลือกเอาบุคคล ที่แสดงตัวเป็นปฏิปักษ์ชัดเจนกับ ‘สมเด็จฮุนเซน’ นายกรัฐมนตรีเพื่อนบ้าน ที่มีแนวชายแดนติดต่อกันยาวนับพันกิโลเมตร มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 
        ต้องขอตอกย้ำอีกทีว่า 
        นายมาร์ค มุกควาย นั้น...สิ้นคิด!
        โง่เสียจนกระทั่ง มองเหตุการณ์ภายหน้าไม่ออกว่า... 
        ถ้าตั้งไอ้ตัวนี้เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ บ้านเมืองจะต้องเดือดร้อน...
        ...โง่ฉิบหายเลยจริงๆ!!

        แล้วก็เป็นไปตามคาด พออีตากษิต ภิรมย์ เข้ามาดำรงตำแหน่ง ความสุขสงบระหว่างสองประเทศ ที่เคยดีมาในยุคนายกฯทักษิณ กลับ ‘ร้อนฉ่า’ ขึ้นมาทันที จนผมต้องเขียนวิพากษ์วิจารณ์ไว้ด้วยบทความ ที่ค่อนข้างรุนแรงหนักหน่วง เอาไว้ก่อนล่วงหน้าเป็นปี ถึง 3 บทความด้วยกันคือ...
        (รายละเอียดและบทความต่อเนื่อง ดูได้ใน ไอ้คนหนีทหาร มันลากชาติไทยเรา เข้าสู่…สงคราม!!! http://vattavan.com/detail.php?cont_id=279)

        ผมรู้สึกแปลกใจ ที่เห็นทหารสนับสนุนรัฐบาลโลซกชุดนี้ โดยให้พรรคประชาธิเปรตเป็นแกนนำ เข้ามาบริหารชาติบ้านเมือง ทั้งๆที่รู้ดีว่า
        ความไม่สงบชายแดน จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!
        การที่ฝ่ายทหารเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่คัดค้านการแต่งตั้งนายกษิต ภิรมย์ ทั้งนี้ อาจเพราะพวกเขาคิดเพียงแต่ว่า 

        นอกจากการไม่คัดค้านรัฐบาล และแสดงท่าทีสนับสนุนพรรคประชาธิเปรตอย่างเต็มที่ด้วยแล้ว จะเป็นประโยชน์กับฝ่ายทหารเอง อีกทั้งการตั้งตนเป็น “บอดี้การ์ด” รัฐบาลโลซก ยังจะเป็นช่องทางที่พวกเขา จะได้รับงบประมาณจากรัฐบาล เป็นการตอบแทนมาปรนเปรอทหารตัวนาย และถลุงกันสนุกสนานอีกด้วย  

        ดังนั้น จึงไม่แปลกใจ ที่มีข่าวการซื้อสิ่งอุปกรณ์ทางทหาร ที่ไม่มีคุณภาพ และภาพการทุจริตของฝ่ายทหารเอง ก็ถูกฉายควบคู่กันมา กับการโกงบ้านกินเมือง ของรัฐบาลประชาธิเปรต! 

        จนประชาชน ก่นด่ากันทั้งเมือง!!

        อย่างไรก็ตาม ผลกรรมที่ทหารได้ทำลงไป ด้วยการให้ความร่วมมือกับพรรคโลซก ตลอดจนการสังหารหมู่ประชาชน ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย อีกทั้งการที่ทั้งรัฐบาลและทหาร ได้แสดงความหวาดกลัวอย่างชัดเจน ต่อแก๊งพันธมาร ที่ยึดสะพานมัฆวาน และโจมตีผู้นำเขมรอย่างต่อเนื่อง ส่งผลไปกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และความไม่สงบสุข ก็คืบคลานเยือนชายแดนไทย- เขมร ซึ่งก็ต้องสังเวยด้วย

        ทั้งชีวิดทหารเอง และชีวิตของคนไทย ชายขอบประเทศ!

        ฉะนั้น จึงไม่แปลกใจเลย ที่ปัจจุบันนี้ พี่น้องประชาชนก็มองทหาร ด้วยความรู้สึกเป็นศัตรู เพราะชาวบ้านเขารังเกียจเดียดฉันท์ในพฤติกรรมที่ทหาร ที่ดันไปร่วมมือกับรัฐบาลโลซก จนชาวบ้านไม่อยากสมาคม และไม่สนับสนุนกิจการของทหาร เพราะพวกเขาเชื่อแล้วโดยปราศจากข้อสงสัย ว่า
        ทหารและรัฐบาลกาลี นำความเดือดร้อน มาสู่ประชาชน!

        ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ

        เมื่อคุณทักษิณฯได้ขึ้นเป็นนายกฯครั้งแรก ผมก็ดีใจด้วย แต่ต่อมาผมขัดเคือง และไม่เห็นด้วย กับการที่ทักษิณฯพยายามตั้งกรมสอบสวนพิเศษ (DSI) ขึ้นมาในประทศ เพราะผมเห็นว่าไม่มีประโยชน์ ทำให้เกิด “ตำรวจสองระบบ” และที่ร้ายกาจก็คือ

        จะทำให้บ้านเรา กลายเป็น “รัฐตำรวจ” เช่นเดียวกับเยอรมัน สมัย
สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อมีการตั้งหน่วย เกสตาโป (Geheime Staats Polizei) ขึ้นมา 
        ดังนั้น ผมจึงเขียนโจมตี นโยบายเรื่องกรมสอบสวนพิเศษ ในเว็บไซด์ผู้จัดการอย่างรุนแรง ทั้งๆที่ในระยะนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างทักษิณฯ กับค่ายผู้จัดการนั้นดีมาก  

        ผมเขียนระบุเอาไว้ อย่างชัดเจนว่า 

        หากนายกทักษิณฯ หล่นจากอำนาจเมื่อไหร่ รัฐบาลใหม่ก็จะใช้ DSI เป็นเครื่องมือไล่ล่าทักษิณฯ แต่เหมือนเป็นคราวเคราะห์ เพราะ
        ทักษิณไม่ฟังผม! 
        เขาผลักดันตั้งกรมนี้ขึ้นมาจนได้ และก็เป็นหน่วยราชการ ที่คอยตามล้างตามเช็ดทักษิณ เหมือนที่ผมบอกเอาไว้ อย่างที่เราเห็นๆกันอยู่ 

        (ดูบทความ คำเตือน...D.S.I. ต้องทำงานอย่าง ‘มืออาชีพ’ http://vattavan.com/detail.php?cont_id=230)

        อย่างไรก็ตาม แม้ผมจะวิพากษ์วิจารณ์ทักษิณฯหนักหน่วงในตอนนั้น แต่พอมีเรื่องที่ทักษิณฯทำถูกต้อง ผมก็ชม เช่น 

        กรณีที่เขมร “เผาสถานทูต” ในพนมเปญ ผมก็เขียนชื่นชมในการตัดสินใจ ในการปฏิบัติหน้าที่ผู้นำประเทศของเขา โดยเขียนบทความเอาไว้ ในคอลัมน์ประจำ ตอนที่ 68 ลงในเว็บผู้จัดการเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2546

        ผมเขียนเอาไว้ อย่างนี้ครับ...

        ....จากเหตุการณ์เขมรนี้ ผมขอให้เครดิตกับบุคคลหนึ่งท่านคือ นายกรัฐมนตรี !       
        ที่ต้องชมนายกฯ เพราะจังหวะจะโคนของนายกฯ กับการเข้า ‘เผชิญเหตุ’ เที่ยวนี้ดี พอเหมาะพอสม ไม่เหมือนหลายๆครั้งที่สื่อต่าง ๆ เคยกล่าวหานายกฯว่า 
        ดูเลิ่กลั่ก ร้อนรนเกินเหตุ!  
      
        การตัดสินใจของนายกฯครั้งนี้ดีมาก ใช้ได้ ไม่ก้าวหน้าหรือ ล่าช้าไปกว่าสถานการณ์ ทำให้ข้อบกพร่อง เรื่องการข่าวกรองเจ้าหน้าที่ของรัฐ เกี่ยวกับสถานการณ์ภายในเขมรลดลง ทำให้การถูกตำหนิ จากประชาชนและสื่อพลอยน้อยลงไปด้วย

        การที่นายกฯออกมาแถลง เรื่องการใช้กำลังคอมมานโดเข้าแก้ไขปัญหา มีผู้คนที่ไม่ชอบขี้หน้านายกฯเป็นทุนเดิม ออกมาพูดกระแนะกระแหนว่า

        อวดเก่ง อวดศักดา เอาคอมมานโดเข้าไปเดี๋ยวก็ถูกฆ่าเรียบเท่านั้นอะไรทำนองนี้       

        ผมว่าท่านเหล่านั้นคิดผิด! 
        เพราะ...

        การที่ประชาชนคนไทยของเรา เดือดร้อนสาหัสในต่างแดน การช่วยเหลือในรูปแบบใด ถ้า “ทำได้ต้องทำ” (ตรงนี้ขีดเส้นใต้คำว่า “ต้องทำ” ไว้ได้เลย) และตำรวจทหารที่เป็นหน่วยรบ ที่จัดไว้โดยเฉพาะอย่างหน่วย “อรินทราช” ของตำรวจพลร่ม ก็แสดงความพร้อมรบ ภายในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หลังจากที่นายกฯสั่งการ นับว่าเป็นเรื่องน่าชมเชย รวมทั้งหน่วยทหารที่มีการเตรียมการอย่างดีเช่นกัน        
        ตรงนี้นายกฯได้แสดงความเป็นผู้นำ ออกมาให้เห็น และเป็นการ Show of force คือการ แสดงกำลัง ประกาศความพร้อมหน่วยรบของประเทศ ว่า       
        หน่วยรบของเรามีศักยภาพ และไม่กลัวที่จะเข้าไปแก้ปัญหาแม้ในดินแดนต่างชาติ หากเขมรไม่สามารถพิทักษ์ชีวิตและทรัพย์สินของคนไทย ในดินแดนของเขาเอง 

        เราจำเป็นต้องเข้าไป!      

        คนไทยจะต้องเข้าไปในแดนเขมร เพื่อช่วยเหลือคนของเรา ไม่ว่ามันจะต้องแลกด้วยเลือด ด้วยเนื้อ ของตำรวจพลร่ม หรือทหารหน่วยรบพิเศษก็ตาม         
        นายกทักษิณฯไม่ได้เพียงแค่แสดงให้ กัมพูชา เท่านั้นที่เห็นว่าเราพร้อมเผชิญเหตุร้าย เหตุวิกฤติ แต่นายกฯแสดงให้ผู้นำต่างชาติทั่วโลกได้เห็นทั่วกันว่า เมื่อคนไทยตกอยู่ในสถานการณ์ ร้ายแล้วนั้น     
  
        รัฐบาลไทย คนไทย ..ไม่มีวันที่จะทอดทิ้งคนไทยด้วยกัน !       
        หัวใจมันอยู่...ตรงนี้ต่างหาก... !!      

        จึงอยากให้คนไทยทราบว่า การป้องกันชีวิต ทรัพย์สิน คนไทย เพื่อนร่วมชาติของเรา เป็นหน้าที่ของรัฐบาล และเป็นหน้าที่ของพวกตำรวจ ทหาร 

        เพราะเขา ‘อาสา’ พวกเรามาทำหน้าที่!

        อยากให้เราระลึกถีงเหตุการณ์เมื่อกำลัง หน่วยปฏิบัติการแม่น้ำโขง (น.ป.ข.) ของเรา เกิดปะทะกับกำลังต่างชาติ ทหารไทยตายบนเกาะกลางน้ำโขง ศพทหารไทยยังคาอยู่บนเกาะ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด สมัยนั้นคือ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ เมื่อท่าน ได้รับรายงานว่า การรบยัง ติดพันเรายังชิงศพคืนไม่ได้ ท่านประกาศว่า        

        “เอาศพทหารไทยคืนมาไม่ได้ .....
        ......ก็เอาศพทหารไทยถมทับเข้าไปอีก !”        
        และแล้วเราก็ชิงศพทหารไทย กลับมาได้       
        คนเป็นผู้นำคนที่จะรักษาชาติบ้านเมือง ต้องคิดอย่างนี้!

        ครั้งนี้ก็เหมือนกัน นายกทักษิณฯบอกชัดเจนตรงไปตรงมาว่า หากคนไทยไม่ปลอดภัย เราพร้อมแลกด้วยชีวิตของตำรวจทหาร และผลตอบรับจากฝ่ายเขมรก็ดี อย่างที่เราเห็นกัน !       
        ผมเองไม่ได้เป็นคนที่ “ปลื้ม” กับนายก แต่การดำเนินการเรื่องเขมร คราวนี้ถ้า เป็นข้อสอบคะแนนเต็มสิบ       
        ผมให้นายกทักษิณฯ...สิบเอ็ดครับ !    

        ท่านผู้อ่าน ที่เคารพ

        เสียดายหรือเปล่าครับว่า หากพรรคเพื่อไทยได้บริหารประเทศต่อไป คนไทยกับเขมรจะก้าวเดินไปด้วยกัน ไทยเราที่ก้าวหน้ากว่า อาจประคับประคอง ช่วยเหลือเขมร เพื่อนบ้านที่ยังไม่แข็งแรงทางเศรษฐกิจ ให้เจริญเติบโต เหมือนอย่างที่นายกทักษิณฯ เคยทำไว้ 

        ความผูกพันส่วนตัวระหว่างนายกฯทักษิณ กับสมเด็จฮุนเซ็น ทำให้ประเทศเราทั้งสอง อยู่ร่วมกันอย่างสุขสงบและสันติ 

        มาบัดนี้ ไอ้รัฐบาลโลซก ทำให้ความหวังพังภินท์ลงโดยสิ้นเชิง แทบจะหารูเลี้ยวทางออกของสันติภาพมิได้ เพราะ

        นโยบายการทูต...ที่เลวร้าย!
        อยากจะขอยืมสำนวน ท่านอาจารย์ วัลลภิศร์ สดประเสริฐ ศิลปินและนักเขียนที่ผมชื่นชอบ มาใช้วิจารณ์นโยบายต่างประเทศ ของรัฐบาลโลซก ว่าเป็นนโยบายแบบ...

        “....หมาบ้าประจำสุวรรณภูมิ!...
        ...เที่ยวพาลรีพาลขวาง หันไปโกรธเขมร เขม่นพม่า ด่าญวน กวนส้นตีนลาว ชวนทะเลาะกับเขารอบโลก จนไม่มีใครอยากคบ!!...”

        ก็เพราะนโยบาย ‘อัปรีย์’ อย่างนี้นี่เอง ชายแดนไทย-เขมร คงต้องเสริมกำลังทหาร ยันกันไป อีกนานนับปีหรือหลายปี

        ยิ่งในตอนนี้ มีข่าวสารแพร่ออกมาว่า การเปิดฉากโจมตีครั้งใหม่ของเขมร ที่ได้ผลมากกว่าครั้งแรก เพราะได้ทหาร ‘เวียตนาม’ ที่ชำนาญศึก เข้าไปคุมฐานปืนใหญ่ เพื่อช่วยปรับการยิงของเขมร ให้มีความแม่นยำดีขึ้น 
        ทหารและชาวบ้านไทย คงจะต้องตาย มากขึ้นไปอีก!

        การที่ประเทศไทยเรา ตกอยู่ในสถานการณ์ ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างสูง ต้องพร้อมที่จะเข้าห้ำหั่น หรือฆ่ากันได้ทุกเมื่อกับฝ่ายเขมรนั้น ทำให้พี่น้องประชาชน ต้องเดือดร้อนหนักขึ้นไปอีก...
        ขวัญและกำลังใจ ของคนไทยชายแดน...ตกต่ำลง! 
        ทั้งทหารและรัฐบาลโลซก ต้องรับผิดชอบ!!

        ดังนั้น ก่อนจบบทความในวันนี้ คงต้องฝากถ้อยคำไปถึงรัฐบาลโลซก และทหารที่ชอบเฝ้าแต่ข้างเขียงว่า

        พวกเอ็ง ทำบ้านเมือง...เสียหายมากนะ!!!

......................

ท้ายบท เมื่อไทย-เขมร เปิดศึกเดือนกุมภาพันธ์ ผมเขียนเตือนรัฐบาลโลซก ว่า เขมรจะจัดฉลอง “วันรบชนะไทย” (http://vattavan.com/detail.php?cont_id=280) 

        รบกับครั้งใหม่เดือนเมษายน เขมรยิงจรวด BM-21 ถล่มไทย ชาวบ้านตายบ้านเรือนเสียหาย ทหารก็ตายและบาดเจ็บ 

        ฝ่ายเขมรออกข่าว ชัยชนะของฝ่ายตน พร้อมกับข่าว พล.อ.ประวิตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเดินทางไปพนมเปญ เพื่อขอ... 

        “ยอมแพ้” 
        แม้ฝ่ายไทยจะปฏิเสธ ว่า “ยังไม่แพ้” แต่ทางการทูต สงครามข่าวสารและการโฆษณาชวนเชื่อ นั้น

        ไทย “แพ้ย่อยยับ” ไปแล้ว!   

        (***บทความประจำสัปดาห์ ตอน รัฐบาล ‘หมาบ้า’ แห่งสุวรรณภูมิ!!!? ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 30 เมษายน 2554) 

http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น