วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

จดหมายเปิดผนึก ศ.ดร.ธงชัย วนิจจะกุล


จดหมายเปิดผนึก ศ.ดร.ธงชัย วนิจจะกุล
คณะผู้แทนไทยพบ ICC ขณะที่ประเทศเผชิญกับความวุ่นวายรอบใหม่
และจดหมายจากอดีตนักโทษ 6 ตุลา

ที่มา เว็บไซต์โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
(อ้างอิงจาก เวบไซท์ ThaiEnews)


               
           ณ กรุงเฮก วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ.2555
       
         -ในอาทิตย์นี้คณะผู้แทนคนไทยได้เข้าประชุมเบื้องต้นกับอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอแลนด์เพื่อสนทนาเกี่ยวกับเรื่องการสลายการชุมนุมอย่างรุนแรงโดยกองทัพเมื่อปี 2553 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 90 ราย


        ดร.ธงชัย วินิจกุล ศาสตราจารย์ทางด้านประวัติศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิลได้เป็นผู้นำคณะบุคคลซึ่งเป็นพยานและผู้รอดชีวิตจำนวนหนึ่งเข้าประชุมร่วมกับไอซีซี ดร.ธงชัยได้ย้ำถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในจดหมายซึ่งส่งไปยังอัยการก่อนหน้าการเข้าประชุมว่าศาลได้สร้างความชอบธรรมให้กับกองทัพซึ่งทำรัฐประหารและใช้ความรุนแรงต่อพลเรือน ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าในประวัติศาสตร์ไทย

             “ผมศึกษาหลายวิชารวมถึงความรุนแรงในปี 2516, 2519 และ 2535 รวมถึงวัฒนธรรมการทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษในประเทศไทย ผมได้ติดตามสถานการณ์การเมืองไทยอย่างใกล้ชิดนับตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 โดยเฉพาะเหตุการณ์นองเลือดในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553 และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น”

              ดร.ธงชัยเขียนในจดหมายของเขา “ผมอยากร้องขอให้ไอซีซีช่วยยุติการทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าที่ทำให้เกิดการสังหารพลเมืองครั้งแล้วครั้งเล่าโดยเริ่มทำการสอบสวนกรณีการสังหารในปี 2553 และนำคดีนี้ขึ้นสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ”

             การเดินทางไปกรุงเฮกเกิดขึ้นสองปีหลังจากมีการรณรงค์กระตุ้นให้คนตื่นรู้เกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะซึ่งถูกกล่าวว่ากระทำอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ แม้ว่าประเทศไทยมิได้ให้สัตยาบัณต่อธรรมนูญกรุงโรม แต่ทางทีมกฎหมายของเหยื่อเสื้อแดงมีหลักฐานยืนยันว่านายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์คือพลเมืองอังกฤษ ดังนั้นจึงเขาจึงอยู่ภายใต้การพิจารณาคดีของศาล

             “การประชุมกับไอซีซีเป็นประโยชน์ และเราต้องปฏิบัติตามระเบียบการปกติเพื่อผลักดันกระบวนการนี้อย่างต่อเนื่อง” นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม นักกฎหมายระหว่างเทศจากสำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัมแอนด์พาร์ทเนอส์ซึ่งเป็นทนายตัวแทนระหว่างประเทศของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือคนเสื้อแดงกล่าว “การประชุมที่สำคัญนี้เกิดขึ้นในสภาวะแวดล้อมที่ตึงเครียด เพราะคนกลุ่มน้อยที่พยายามอย่างต่อเนื่องที่จะใช้กำลังถอดถอนพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยโดยคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่กำลังจะมีขึ้น โอกาสของความรุนแรงและความไร้เสถียรภาพรอบใหม่คือความกังวลอย่างมากของประชาคมโลก และทำให้การร้องขอของเราต่อไอซีซีมีความสำคัญมากขึ้น”


*****************

จดหมายจากอดีตนักโทษการเมืองไทยถึงศาลอาญาระหว่างประเทศ
จดหมายจากศ.ธงชัย วินิจกุลถึงอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ

                                                                               วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ.2555

                                                                             
                                                                               อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี)
                                                                               กรุงเฮก ประเทศเนเธอแลนด์

เรื่อง :    คำร้องขอต่อไอซีซีให้ช่วยเหลือนำความยุติธรรมมาให้เหยื่อผู้ถูกกระทำ
              จากเหตุการณ์นองเลือดปี 2553 ในประเทศไทย


เรียน:     อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ

               ผมเขียนถึงท่านในฐานะพลเมืองไทยคนหนึ่ง ในฐานะอดีตนักโทษทางการเมืองซึ่งรอดชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่ในกรุงเทพฯ ปี 2519 และในฐานะผู้เชียวชาญเกี่ยวกับประเทศไทย ขณะนี้ผมเป็นศาสตราจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน ประเทศสหรัฐอเมริกา

               ผมศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ประเทศไทยและกระบวนการการสร้างประชาธิปไตยเป็นเวลา 30 ปี ผมศึกษาหลายวิชารวมถึงความรุนแรงในปี 2516, 2519 และ 2535 รวมถึงวัฒนธรรมการทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษในประเทศไทย ผมได้ติดตามสถานการณ์การเมืองไทยอย่างใกล้ชิดนับตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 โดยเฉพาะเหตุการณ์นองเลือดในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553 และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เหมือนกัน

               การสังหารครั้งก่อน มีความเป็นไปได้ที่กองทัพและกลุ่มคนที่สั่งฆ่าจะได้รับการยกเว้นโทษอีกครั้งและเหยื่อจะไม่ได้รับความยุติธรรมอีกครั้ง ผมร้องขอไอซีซีให้ช่วยยุติการทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าซึ่งนำไปสู่การสังหารพลเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า โดยให้เริ่มทำการสอบสวนกรณีการสังหารในปี 2553 และนำคดีนี้ขึ้นสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศได้โปรดให้ผมอธิบายประวัติศาสตร์ของการทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษอย่างเป็นระบบในประเทศไทย
                 ในเดือนตุลาคม ปี 2516 การชุมนุมครั้งใหญ่ได้ยุติเผด็จการทหารซึ่งปกครองประเทศไทยเป็นเวลาสามทศวรรษ มีผู้เสียชีวิต 72 ราย และมีผู้บาดเจ็บหลายพันราย ท่ามกลางความตื่นเต้นแห่งรุ่งอรุณแห่งประชาธิปไตย รัฐบาลใหม่ประกาศนิรโทษกรรมให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารทั้งหมดเพื่อความสมานฉันท์ทางสังคมและการเมืองในประเทศ

                 นิรโทษกรรมยังหมายถึงว่าจะไม่มีการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประชาธิปไตยอันอ่อนเยาว์คงอยู่เพียงสามปีเมื่อกองทัพกลับมามีอำนาจอีกครั้งในเดือนตุลาคม ปี 2519 รัฐประหารเกิดขึ้นในวันเดียวกับการสังหารหมู่นักศึกษาและประชาชนที่ชุมนุมในมหาวิทยาลัยเพื่อต่อต้านอุบายของกองทัพในการนำเผด็จการกลับมา ประชาชนราว 40 คนเสียชีวิตและหลายร้อยคนบาดเจ็บ แต่วิธีการที่พวกเขาถูกสังหารนั้นเลวร้ายเกินบรรยาย นอกจากจะถูกสังหารโดยอาวุธหนักแล้ว บางคนถูกเผาทั้งเป็น ถูกข่มขืนและถูกแขวนคอ หลังจากนั้นศพของพวกเขายังถูกประชาทัณฑ์หรือลากไปทั่วสนามฟุตบอล ทุกอย่างเหล่านี้เกิดขึ้นในที่สาธารณะมีคนมุงดูหลายร้อยคน ผู้รอดชีวิตกว่าสามพันรายถูกคุมขังตั้งแต่หลายวันไปจนถึงห้าเดือน และนักศึกษา 19 ราย (รวมถึงผม) ถูกคุมขังสองปี ในปี 2521 เนื่องด้วยเหตุผลของการปรองดองสมานฉันท์

                 มีการผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อยกเว้นการกระทำผิดทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ นักศึกษาที่ถูกคุมขังได้รับการปล่อยตัว ผู้กระทำผิดได้รับการยกเว้นโทษราวกับว่าการสังหารหมู่ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่มีการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

               ข้อเท็จจริงคือ เพื่อการปรองดองสมานฉันท์ มีการส่งเสริมให้ประชาชนลืมเหตุการณ์และปล่อยให้ความทรงจำนั้นเลือนลางไป เหตุการณ์นั้นไม่ถูกกล่าวถึงในที่สาธารณะเป็นเวลาหลายปีหลังจากนั้น และไม่เคยถูกบันทึกไว้ในหนังสือเรียนวิชาประวัติศาสตร์ที่ควบคุมโดยรัฐจึงถึงทุกวันนี้

              ในขณะเดียวกับ ต้องขอบคุณระบบการทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษเพราะผู้มีอำนาจหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ยังคงเสวยสุขกับเอกสิทธิ์ของพวกเขาหลายปีหลังจากนั้น บางคนมีส่วนร่วมในการสังหารหมู่ทางการเมืองอีกครั้งในปี 2535 เพราะพวกเขารู้ว่าพวกเขาจะไม่ถูกนำตัวมาลงโทษ

               กระบวนการสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทยอยู่ในสภาวะขึ้นๆลงๆตลอดเวลาในช่วงยุค 80 ช่วงเวลาที่มีการเปิดกว้างและเป็นประชาธิปไตยกลับมามีมากขึ้นในปี 2531 แต่ก็ไม่ต่างจากในอดีต ช่วงเวลานั้นมีระยะสั้นๆ ในปี 2534 เผด็จการทหารกลับมาอีกครั้ง

               อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้อยู่ไม่นาน เพราะมีการชุมนุมครั้งใหญ่ในปี 2535 อีกครั้ง มีประชาชนมากกว่า 70 เสียชีวิตในระหว่างการต่อสู้หลายวันกับทหารบนท้องถนนที่ยิงประชาชนผู้ต่อต้านรัฐบาล ในที่สุด รัฐบาลทหารก็ยอมแพ้และลาออก แต่พวกเขาทำเช่นนั้นหลังจากล้างความผิดการกระทำอาชญากรรมให้กับพวกเขาโดยการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ประชาชนเรียกร้องให้มีการสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว

             อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะไม่มีอำนาจแม้แต่จะบังคับให้เหล่าผู้บังคับบัญชาการกองทัพให้การ ก็ไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะเอาคนผิดมาลงโทษเลย หลังจากนั้น เหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่คอขาดบาดตาย รายงานการสอบสวนที่ได้ตีพิมพ์หลายปีหลังจากนั้นแสดงให้เห็นถึงการสอบสวนที่ไม่สะเพร่าและขาดความพยายามที่แม้แต่จะค้นหาข้อเท็จจริงขั้นพื้นฐาน และที่แย่ที่สุดคือ มีการเซ็นเซ่อร์รายงานที่ตีพิมพ์ต่อสาธารณะชนอย่างหนัก โดยมีการขีดฆ่าชื่อทั้งหมดและข้อมูลสำคัญถึงขนาดที่ว่าทำให้ไม่สามารถเข้าใจรายงานได้ การทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษคือการเพาะพันธุ์ความไม่แยแสต่อประชาชนอย่างสิ้นเชิง

         ตลอดเหตุการณ์โศกนาถกรรมที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า บทบาทของระบบความยุติธรรมไทยไม่เคยมีความเป็นอิสระในการค้ำจุนความยุติธรรม ระบบตุลาการไทยยึดถือว่าหากรัฐประหารใดที่ทำสำเร็จถือว่ามีความชอบด้วยกฎหมาย ระบบรับใช้ผู้มีอำนาจไม่ว่าพวกเขาจะขึ้นสู่อำนาจอย่างชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม ดังนั้นตุลาการจึงยอมรับว่าคำสั่งและกฎหมายทั้งหมดที่บังคับใช้โดยคนที่มีอำนาจกลุ่มเล็กนั้นชอบด้วยกฎหมาย รวมถึงการนิรโทษกรรมให้กับตนเองของผู้นำทางการทหารจากการกระทำผิดทุกอย่าง เช่นการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตยและฉีกรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยทิ้ง

               นอกจากนี้ตุลาการไทยยังถือว่าคำสั่งประหารชีวิตโดยไม่มีการพิจารณาคดีในศาล การจับกุมและคุมขังโดยไม่มีการตั้งข้อหา และปฏิบัติการสังหารฝ่ายตรงข้ามโดยมิชอบด้วยกฎหมายของกองทัพเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย เช่นเดียวกันกับกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับผู้กระทำผิดในปี 2516, 2519 และ 2535 ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะนำตัวผู้ที่ต้องรับผิดขอบต่อความป่าเถื่อนมาลงโทษในประเทศไทยได้เพราะการสมรู้ร่วมคิดของตุลาการ การทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษสำหรับผู้นำที่มีอำนาจเป็นวัฒนธรรม เป็นระบบและชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีความยุติธรรมให้กับเหยื่อผู้ถูกกระทำจากโศกนาถกรรมเหล่านั้น เมื่อไม่มีความยุติธรรม ประชาธิปไตยจึงไม่ต่างจากละครเวทีตลก

              การทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษคือปัจจัยที่ชัดเจนว่าทำไมการสังหารหมู่ในเดือนเมษายน-พฤษภาคม ปี 2553 เกิดขึ้นอีกครั้ง ผู้นำทางการเมืองและกองทัพในเหตุการณ์นั้นไม่ความกังวลเลยว่าพวกเขาจะถูกลงโทษหลังจากนั้น พวกเขาผลิตข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จและสร้างหลักฐานเพื่อเป็นข้ออ้างในการสังหารประชาชน เพิกเฉยต่อข้อปฎิบัติสากลในเรื่องของหลักการควบคุมฝูงชนอย่างสิ้นเชิงโดยการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุอย่างมหาศาลและวิธีการที่โหดร้ายสังหารพลเรือน มีการใช้อาวุธหนัก กระสุนจริง พลซุ่มยิงและวัตถุระเบิด

              พวกเขาให้ข้อมูลเท็จ โกหก และชี้นำประชาชนในทางที่ผิดอย่างเป็นระบบเพื่อสร้างบรรยากาศของความกลัวและสร้างความชอบธรรมให้กับการสังหาร แม้แต่อาสาพยาบาลก็ถูกขัดขัดขวางการทำงาน ถูกยิงและถูกสังหารด้วยเช่นกัน ประชาชนกว่า 90 รายเสียชีวิต และบาดเจ็บอีกหลายพันราย และมีอีกหลายคนถูกจับกุมและได้รับการปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรม หลักฐานของกระทำอันไร้มนุษยธรรมมีมากมายถูกเเผยแพร่ต่อสาธารณชนโดยนักข่าวในประเทศและต่างประเทศ และยังมีการแบ่งปันข้อมูลกันระหว่างประชาชนกันเองในโซเชียลมีเดีย แต่ผู้นำทางการเมืองและกองทัพมักเมินเฉยต่อหลักฐานและการวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น และบ่อยครั้งแทนที่จะตอบโต้ด้วยเหตุผล ความเห็นใจหรือคำอธิบาย แต่กลับตอบโต้ด้วยมุขตลกหรือคำพูดเสียดสี พวกเขาย่อมรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแน่นอน นั้นคือการทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษคือประเพณีปฏิบัติทั่วไป เป็นวัฒนธรรมของอำนาจ ซึ่งบ่มเพาะความหยาบโลนอันป่าเถื่อน

           อย่างไรก็ตามในครั้งนี้ เหยื่อและประชาชนเปลี่ยนไป ต่างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากความป่าเถื่อนครั้งก่อนหน้านี้ พวกเขาเรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างรอบคอบและปฏิเสธการนิรโทษกรรมที่จะล้างผิดให้ผู้กระทำความผิด พวกเขาประกาศว่า พวกเขาไม่ต้องการการปรองดองสมานฉันท์โดยปราศจากความจริงและความยุติธรรม แต่โชคร้ายคือ ระบบตุลาาร ตั้งแต่ตำรวจไปจนถึงอัยการและตุลาการคืออุปสรรคนการค้นหาความจริงและสร้างความยุติธรรม ผู้นำทางการเมืองถ้าไม่มีส่วนร่วมในความป่าเถื่อนก็มักจะขาดความกล้าหาญที่จะสนับสนุนความยติธรรมเพื่อยุติการทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษอย่างเป็นวัฒนธรรมและเป็นระบบ พวกเขาพยายามที่จะปกปิดอาชญกรรมอีกครั้งในนามของความสามัคคี ปรองดองสมานฉันท์ และความจำเป็นที่ประเทศต้องเดินไปข้างหน้า

           หากการทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษเกิดขึ้นอีกครั้ง จะมีการสังหารหมู่เกิดขึ้นอีกกี่ครั้ง ก่อนที่จะมีการยอมรับว่า หนึ่งชีวิตต้องได้รับการเคารพ? จะมีความป่าเถื่อนเกิดขึ้นต่อประชาชนอีกกี่ครั้ง ก่อนที่ประชาชนทุกคนจะได้รับความเท่าเทียมบนผืนแผ่นดินเดียวกัน? จะต้องมีการบูชายัญความจริงหรือความยุติรรมอีกมากเท่าไร จนกว่าจะมีความยุติธรรมและความจริงจะถูกเปิดเผยโดยปราศจากความกลัว?

            ไอซีซีสามารถช่วยยุติวัฒนธรรมการทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษได้ ผมเข้าใจว่ามีการยื่นคำร้องขอให้อัยการไอซีซีพิจารณาการสังหารหมู่เดือนเมษายน-พฤษภาคม ปี 2553 ในประเทศไทยแล้ว ผมหวังว่าท่านจะพิจารณาคำร้องนี้อย่างจริงจัง ผมเชื่อว่าไอซีซีจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อนำความยุติธรรมมาให้เหยื่อและประชาชนในประเทศที่ระบบความยุติธรรมไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ อย่างน้อยที่สุด การดำเนินการของไอซีซีสามารถสนับสนุนก้าวต่อไปข้างหน้าก้าวใหญ่ในการยุติการทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษในอนาคต

            ในต้นยุค 90 หลังจากการสังหารหมู่ปี 2553 แต่ก่อนที่จะมีการจัดตั้งศาลไอซีซี ผมพยายามหาทางที่จะนำคดีปี 2519 ขึ้นสู่องกรค์ระหว่างประเทศ ผมเรียนรู้ด้วยความผิดหวังอย่างใหญ่หลวงว่ามันเป็นไปไม่ได้ด้วยเหตุผลสองประการ

            ประการแรก ในทางกฎหมาย ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีองค์กรระหว่างประเทศที่มีเขตอำนาจพิจารณาคดีที่จะพิจารณาคดี

            ประการที่สอง ในเชิงทางการทูต ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศสำคัญที่นานาชาติรู้สึกกังวลใจ แน่นอนว่าประเทศเสวยสุขกับการมีชื่อเสียงในทางที่ดี ดังนั้นประเทศอื่นจึงเต็มใจปล่อยให้ประเทศไทยแก้ไขปัญหาตนเอง นอกจากนี้ จำนวนผู้เสียชีวิตในการสังหารหมู่ค่อนข้างน้อย ผมเชื่อว่าสำหรับศาลไอซีซีแล้ว ความยุติธรรมไม่ได้สำคัญน้อยลงตามความเจริญเติบโตของประเทศหรือจำนวนผู้บาดเจ็บเสียชีวิต


           การทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษอาจจะเหนียวแน่นมากกว่าในประเทศอย่างประเทศไทยเพราะนานาชาติไม่ใส่ใจเนื่องจากไม่ใช่ประเทศนานาชาติรู้สึกกังกล ดังนั้นนานาชาติจึงเต็มใจที่จะมองข้าม การทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษถูกเก็บซ่อนดีกว่าในประเทศอย่างประเทศไทยเพราะอาญชากรรมมีขนาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือความรุนแรงขนาดใหญ่ ดังนั้น มันจึงกลายเป็นระบบ ดังนั้นอาชญากรรมจึงเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าและจำนวนคนตายก็พอกพูนขึ้น ความเงียบ ความกลัว และการลืมเลือนยังคงดำเนินต่อไป

             ผมขอร้องไอซีซีว่าได้โปรดใช้ความพยายามเท่าที่จะทำได้ช่วยยุติการทำผิดแต่ไม่ต้องรับโทษในประเทศไทย

ด้วยความเคารพ

ธงฉัย วินิจจะกุล
ศาสตราจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น