วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ก้าวย่างสู่ชัยชนะต่อเผด็จการอมาตย์อย่างมั่นคงของพรรคเพื่อไทย


ก้าวย่างสู่ชัยชนะต่อเผด็จการอมาตย์อย่างมั่นคงของพรรคเพื่อไทย

ก้าวย่างสู่ชัยชนะต่อเผด็จการอมาตย์อย่างมั่นคงของพรรคเพื่อไทย
(บทความจาก webboard IF ขอขอบคุณ webboard IF http://www.internetofreedom.com)
ปูนนก           ระยะที่ผ่านมานี้ ผมได้เฝ้ามองดูสถานการณ์ทางการเมือง และการทำงานของพรรคเพื่อไทยอย่างใกล้ชิด พยายามพิจารณา และวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่าจะดำเนินต่อไปในรูปแบบใด ซี่งจะส่งผลอย่างไรในอนาคตต่อการต่อสู้กับเผด็จการอมาตย์ในสงครามครั้งนี้

            ต้องขอย้ำเตือนให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า ทุกๆ ท่านคงไม่ลืมว่า “ขณะนี้พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยในประเทศนี้กำลังทำสงครามทั้งเย็น และร้อนกับฝ่ายเผด็จการอมาตย์ เพื่อให้ได้มาซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย” ซึ่งในการสงครามครั้งนี้จะไม่สามารถจบลงได้ด้วย Win Win จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะหรือแพ้กันอย่างเด็ดขาด และฝ่ายประชาชนประชาธิปไตยจะต้องชนะ ซึ่งนี่คือ “เป้าหมาย และเป็นยุทธศาสตร์” ที่ตัวแทนของประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย (โดยอนุโลมเฉพาะหน้า) คือ พรรคเพื่อไทย และ นปช. จะต้องก้าวเดินไปสู่เป้าหมายนี้ ผมเชื่อว่าก่อนการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมาท่านนายกทักษิณ และประชาชนไทยผู้รักประชาธิปไตยทุกคนต่างก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่า “เจ้าของอำนาจเผด็จการที่ครอบประเทศไทยมาอย่างยาวนานนี้ จะโหดเ..หี้ยม และร้ายกาจต่อประชาชนในประเทศได้ถึงเพียงนี้” ผมมั่นใจว่าใครที่ไม่ได้ผ่านสถานการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 มาจะไม่มีทางซาบซึ้งถึงความร้ายกาจที่ เจ้าของอำนาจเผด็จการได้ปิดซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิดตลอดระยะเวลาอันยาวนานนี้ได้เลย.. 

             แต่ทว่านับแต่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมาภาพแห่งความโหดร้าย การแสดงความเป็นเผด็จการโดยไม่สนใจต่อกฏหมายที่เป็นหลักในการปกครองประเทศ ได้ถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า โดยผ่านทางกลุ่มเครื่องมือของอำนาจเผด็จการหลายกลุ่มด้วยกัน เช่นกลุ่ม พธม. (กรณียึดสนามบิน, ยึดทำเนียบรัฐบาล และยึดสถานีดาวเทียมไทยคม อันนี้ชัดเจนที่สุด) กลุ่มองค์กรอิสระต่างๆ ที่แสดงความเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจนต่อผู้ที่อยู่ฝ่ายประชาธิปไตย องค์กรศาลต่างๆ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ ที่ตัดสินคดีการเมืองอย่างเลวทรามที่สุดโดยปลดนายกสมัคร ออกจากตำแหน่งด้วยข้อหาที่ไม่มีใครเขาคิดกันได้ (ถ้าไม่ชั่วร้ายจริงๆ) ยุบพรรคการเมืองที่เป็นเครือข่ายของท่านนายกทักษิณถึง 2 ครั้งคือ ไทยรักไทย และพลังประชาชน ตัดสิทธิ์นักการเมืองที่อยู่ฝ่ายนายกทักษิณคนละ 5 ปี 

             และที่สำคัญก็คือพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทำงานการเมืองด้วยความเมามัวในอำนาจเผด็จการ และคดโกงอย่างหาที่เปรียบได้ยาก ซึ่งสุดท้าย ทหารที่เป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่สุดของอำนาจเผด็จการก็ออกมา “สังหารหมู่ประชาชน” กลางเมืองหลวงในเวลากลางวันแสกๆ ภาพเหล่านี้ได้ถูกฉายซ้ำเดิมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมากขึ้นจนทำให้ประชาชนไทยผู้รักประชาธิปไตยและความเป็นธรรม ได้เข้าใจและรู้ซึ้งแล้วว่า “เจ้าของอำนาจเผด็จการที่ครอบประเทศไทยอยู่นี้ เขาไม่ได้รักประชาชนอย่างที่พยายามสร้างภาพมาตลอดหลายสิบปีนี้เลย” สิ่งที่เขารักและต้องการก็คือ “อำนาจ และเงินตรา” ที่ได้สูบเลือดเนื้อไปจากประชาชนไทย อย่างชั่วร้ายที่สุด ใครบางคนที่ประชาชนเคยคิดและเทิดทูนว่าเป็น “เทวา” แต่ในที่สุดก็ได้รู้ว่าเป็นเพียง “ซาตาน” ที่ชั่วร้ายที่สุด เท่านั้นเอง

             ท่านนายกทักษิณได้รับบทเรียนอย่างเจ็บแสบมาแล้วหลายครั้ง และมี 2 ครั้งสำคัญมาก ก็คือ การรัฐประหารล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทย และตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย และล้มรัฐบาลท่านนายกสมชาย และตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน ด้วยเหตุนี้แนวทางการต่อสู้ของท่านนายกทักษิณ และพรรคเพื่อไทยที่จะกำลังต่อสู้ต่อไปก็คือ “การที่จะถือครองอำนาจรัฐให้ได้ยาวนานที่สุด และเปิดโปงความชั่วร้ายของเครือข่ายอำนาจเผด็จการที่แสดงตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยให้ได้มากที่สุด” โดยอาศัยภาพแห่งความเน่าเฟะแห่งความเลวร้ายเหมือนช้างตายทั้งตัว ที่ฝ่ายเผด็จการพยายามเอาใบบัว แห่งความศรัทธาจากภาพที่ถูกสร้างไว้ในอดีต มาปกปิดนั้น มาเปิดเผยต่อประชาชนทั้งประเทศ และต่อทั่วโลก ซึ่งสิ่งที่ท่านนายกทักษิณ และพรรคเพื่อไทยกำลังพยายามทำนี้ก็คือ “การจัดตั้งทางความคิด และอุดมการณ์แห่งประชาธิปไตยให้กับคนไทยทั้งชาตินั่นเอง” 

ทักษิณ
              ในเบื้องแรกผมก็ไม่เข้าใจวิธีคิดของผู้บริหารพรรคเพื่อไทยว่า “ทำไมถึงไม่ยอมแสดงความเข้มแข็งในทางรัฐสภา เพื่อชนกับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญอย่างตรงไปตรงมา” ซึ่งเมื่อพิจารณาดูในเบื้องแรกแล้ว ก็น่าที่จะได้เปรียบในทางการเมือง และได้ใจประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยให้ฮึกเหิมในการต่อสู้กับอำนาจเผด็จการมากขึ้น แต่การที่พรรคเพื่อไทยถอย ไม่ยอมเข้าปะทะ นอกจากเสียเปรียบทางเมืองแล้ว ยังทำให้ประชาชนที่สนับสนุนพรรคถอดใจ หรือปฏิเสธที่จะให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทยอีกด้วย นี่คือความคิดในเบื้องแรกของผม และเชื่อว่าคนเสื้อแดงโดยเฉพาะนักคิดจำนวนมากก็คิดเช่นนี้ดุจเดียวกัน

              แต่จากการชุมนุมรำลึกครบรอบ 80 การเปลี่ยนแปลงการปกครองที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่ผู้คนเรือนแสนมาร่วมชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียง ได้มีปรากฏการณ์สำคัญเกิดขึ้นก็คือ มีประชาชนจำนวนมากให้ความสำคัญกับ “หมุดคณะราษฎร และร่วมกันอ่านประกาศฉบับที่ 1 ของคณะราษฎรกันอย่างมากมาย” แสดงว่าประชาชนผู้รักประชาธิปไตย เริ่มเข้าใจถึง “หลักแห่งการต่อสู้ในครั้งนี้มากขึ้นแล้วว่า เรากำลังต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย มิใช่สู้เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง” ดังนั้นการโจมตีจากกลุ่ม พธม. และพรรคประชาธิปัตย์ ที่กล่าวหาว่าประชาชนคนเสื้อแดง สู้เพื่อนายกทักษิณ จึงไม่มีผลใดๆ เกิดขึ้นในทางการเมืองเลย

               การเลือกตั้งนายก อบจ. ที่เชียงใหม่ และเลือกตั้ง อบต. อีกหลายแห่ง ที่พรรคเพื่อไทยชนะพรรคประชาธิปัตย์อย่างขาดลอย แสดงให้เห็นว่าประชาชนยังไม่เสื่อมคลายการสนับสนุนพรรคเพื่อไทย.. 

               ดังนั้นด้วยยุทธศาสตร์ที่จะต้องเอาชนะเผด็จการอมาตย์ให้ได้อย่างเด็ดขาด ผมเชื่อว่าทีมงานของพรรคเพื่อไทยต้องการวางแผนเอาชนะเผด็จการอมาตย์ด้วยการ “จัดตั้งทางความคิด และอุดมการณ์ ประชาธิปไตยให้กับคนไทยทั้งชาติ” ด้วยการเปิดเผยให้เห็นความชั่วร้ายของอำนาจอิทธิพลมืด.. ความเสื่อมทรามของระบบยุติธรรมของประเทศ.. การโกหกโดยอาศัยความหน้าด้านและไร้ยางอาย ของเผด็จการผู้ครองอำนาจอยู่ และชี้ให้ประชาชนเห็นถึงความชั่วร้ายของรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 ของเผด็จการที่สร้างเอาไว้ว่า ทำให้ประชาชนและคนไทยทั้งชาติสูญเสียประโยชน์มากเพียงใด

               การที่รัฐบาลตัดสินใจที่จะนำเอาข้อพิจารณาว่าจะอนุญาตให้องค์การนาซาของสหรัฐอเมริกา มาใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานในการปฏิบัติการด้านอุตุนิยมวิทยา และฝุ่นละอองในอากาศของภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค เข้าสู่กระบวนการทางรัฐสภาโดยไม่ตัดสินใจอนุมัติหรือไม่อนุมัติโดยมติคณะรัฐมนตรีเองนั้น ผมมองว่าเป็นความชาญฉลาดและเป็นเหลี่ยมคูทางการเมืองที่แหลมคม และสอดคล้องกับการที่รัฐบาลยอมถอยจากการปะทะกับศาลรัฐธรรมนูญในกรณีการลงมติวาระ 3 ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะสิ่งที่รัฐบาลกระทำทั้ง 2 กรณีนั้นส่งผลให้เกิดขึ้นในภาคประชาชนในทางสาธารณะ คือ 

            1. ประชาชนได้เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ในความชอบธรรมในการต่อสู้ทางระบบรัฐสภา ซี่งพรรคประชาธิปัตย์ที่อ้างตลอดมาว่า “ยึด มั่นในระบบรัฐสภา” แต่ได้เป็นผู้ทำลายระบบรัฐสภานั้นเสียเอง


            2. ประชาชนได้เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้โกหก และไม่รับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเองกระทำในกรณีสนามบินอู่ตะเภานี้ โดยอาศัยการหลอกลวง..หน้าด้าน.. อย่างไร้ยางอาย และกระทำให้ประชาชนไทยทั้งชาติสูญเสียสิ่งที่เป็นประโยชน์และสำคัญยิ่งไปอย่างน่าเสียดาย 


           3. ประชาชนได้เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์พยายามปลุกกระแสให้เกิดความหวาดวิตกต่อประชาชนถึงการเข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการของนาซาในเบื้องแรก เพื่อให้เกิดแรงต่อต้านจากประชาชนทั้งๆ ที่จุดเริ่มแรกของเรื่อง นาย กษิต ภิรมย์ ซึ่ง่เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์เองได้เป็นผู้เริ่มต้นอนุมัติให้นาซาเข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการในไทยได้


            4. ประชาชนได้เห็นว่า ความเลวร้ายและกับดักแห่งความชั่วทั้งมวลได้ถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 นี้ อย่างเลวร้ายที่สุด เพราะเหตุว่า ถ้า ครม. ของรัฐบาลนี้ อนุมัติให้นาซา เข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการในไทยตามที่มีการตกลงเอาไว้ก่อนหน้านั้น ก็อาจจะเป็นช่องทางให้ศาลรัฐธรรมนูญ ยกเอาเหตุนี้มาเป็นข้อที่จะสามารถตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย หรือปลดนายกรัฐมนตรีได้ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 มาตรา 190 ได้ระบุเอาไว้ว่า

             “หนังสือ สัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขต ซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมาย ระหว่างประเทศ หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ในการนี้ รัฐสภาจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่องดังกล่าว ก่อนการดำเนินการเพื่อทำหนังสือสัญญากับนานาประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศตาม วรรคสองคณะรัฐมนตรีต้องให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และต้องชี้แจงต่อรัฐสภาเกี่ยวกับหนังสือสัญญานั้น ในการนี้ ให้คณะรัฐมนตรีเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบด้วย”

              ซึ่งด้วยกับดักนี้ การที่ ครม. จะพิจารณาอนุมัติโดยลำพังก็จะเข้าทางที่จะถูกปลุกปั่นกระแสให้กลายเป็นเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้เป็นข้ออ้างในการปลดคณะรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีได้ทันที ตามแผนล้มอำนาจรัฐด้วยศาลปกครองที่ฝ่ายเผด็จการอมาตย์วางเอาไว้              5. ประชาชนได้เห็นว่า ท่านนายกยิ่งลักษณ์มีความตั้งใจจริงและแน่วแน่ในการทำงานให้กับบ้านเมืองและประชาชนอย่างแท้จริง โดยไม่เอาเวลาไปต่อล้อต่อเถียงทางการเมืองเลย ไม่ว่าจะถูกรุมกระหน่ำ โจมตีให้ร้าย หรือแม้กระทั่งถูกจ้องจับตัวเพื่อบีบบังคับให้ลาออก แต่ท่านนายกยิ่งลักษณ์ ก็ยังตั้งใจทำงานสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนและประเทศชาติโดยรวม ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไป สิ่งนี้ทำให้เห็นข้อแตกต่างและเปรียบเทียบการทำงานระหว่างนายกยิ่งลักษณ์ กับนายกอภิสิทธิ์ ได้อย่างชัดเจน

 ยิ่งลักษณ์             พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายครับ ไม่มีสงครามการต่อสู้ใดที่ไม่มีการนำแม้จะเป็นสงครามทางความคิดก็ตาม คนเสื้อแดงผู้ต้องการประชาธิปไตยทุกท่านต้องการให้ได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตย หรืออย่างน้อยก็ทำลายอำนาจเผด็จการอมาตย์ที่ครอบงำประเทศนี้ให้หมดสิ้นไป ซึ่งคณะราษฎรได้พยายามกระทำเมื่อปี 2475 แต่ไม่สำเร็จ ซึ่งเป็นโอกาสของเราที่จะรับหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ต่อไปเพื่อลูกหลาน และคนรุ่นต่อไปจะได้ไม่ต้องตกเป็นผู้อยู่ใต้อำนาจเผด็จการเถื่อนของอมาตยาธิปไตยอีกต่อไป 

               คณะราษฎรเอาชนะอำนาจอันยิ่งใหญ่ของสมบูรณาญาสิทธิราชได้ ก็ด้วยความสมัครสมานสามัคคีกันอย่างแน่นแฟ้น มีเป้าหมายมั่นคงและมุ่งมั่นต่ออุดมการณ์อย่างแน่วแน่ในเบื้องต้น ทำให้ไม่มีใครเอาชนะได้ พี่น้องพวกเราที่รักประชาธิปไตยทุกท่าน “จะต้องยึดมั่นใน อุดมการณ์แห่งความเป็นประชาธิปไตย เชื่อมั่น และยอมรับการนำของพรรคเพื่อไทย และ นปช. (แม้ว่าหลายอย่างเราจะไม่เห็นด้วยก็ตาม)” เพราะจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีกลุ่มการเมืองใด หรือใคร ที่จะศักยภาพพอที่จะต่อกรกับอำนาจเผด็จการที่ครอบงำประเทศนี้อยู่ได้เลย 

               ดังนั้นเราทุกคนต้องช่วยเสริมกำลังซึ่งกันและกัน ไม่ใช่การทำลายกัน การติเพื่อก่อ เป็นสิ่งที่ต้องทำและต้องสนับสนุนให้ทำกันมากๆ เพื่อที่การนำของพรรคเพื่อไทย จะได้มีมุมมองกว้างขึ้น มากกว่าจะฟังเพียงแค่ผู้ที่อยู่ใน War Room เท่านั้น.. แต่ขณะเดียวกัน การติเพื่อทำลายกันจะส่งผลให้เกิดการแตกแยก และการนำพังทลาย ซึ่งเมื่อการนำพังทลาย รัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็จะพ่ายแพ้ในการต่อสู้.. เมื่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ในการต่อสู้ นปช. ก็จะพ่ายแพ้ในการต่อสู้.. เมื่อ นปช. พ่ายแพ้ในการต่อสู้ คนเสื้อแดงก็พ่ายแพ้ในการต่อสู้ด้วย เมื่อคนเสื้อแดงพ่ายแพ้ในการต่อสู้ ประชาธิปไตยที่เราต้องการมอบและส่งต่อให้กับลูกหลานของเราในอนาคตก็จะพ่ายแพ้ไปด้วย 

*** หมายเหตุคำว่า “พ่ายแพ้” ผมหมายความว่าเผด็จการอมาตย์กลับมามีอำนาจครอบงำประเทศได้เหมือนเดิมโดยไร้การต่อต้านอย่างเป็นรูปธรรมเหมือนเช่นปัจจุบันนี้..มิได้หมายความว่า   ประชาชนจะพ่ายแพ้โดยไม่ต่อสู้อีก แต่การต่อสู้จะยากและยาวนานกว่าที่ควรจะเป็นมาก*** 


“เนื่องจากตะปูเล็ก ๆ ตัวหนึ่งหลุดหายไปเกือกม้าจึงหลุดหายเนื่องจากเกือกม้าหายไปม้าจึงเสียหลักเนื่องจากม้าเสียหลักขุนพลจึงตกหลังม้าเนื่องจากขุนพลพลัดตกจากหลังม้าการสู้รบจึงพ่ายแพ้เนื่องจากการสู้รบพ่ายแพ้จึงสูญชาติ

ปูนนก 

--------------------------------------------------------------------------
ต่อไปนี้เป็นข้อเขียนของคุณ Redstar

"ปูนนก เขียน"

              ดังนั้นด้วยยุทธศาสตร์ที่จะต้องเอาชนะเผด็จการอมาตย์ให้ได้อย่างเด็ดขาด ผมเชื่อว่าทีมงานของพรรคเพื่อไทยต้องการวางแผนเอาชนะเผด็จการอมาตย์ด้วยการ “จัดตั้งทางความคิด และอุดมการณ์ประชาธิปไตยให้กับคนไทยทั้งชาติ” 
..........
มีคำถามว่า เป็นเช่นนั้น จริงหรือ 

            หากทีมงานพรรคเพื่อไทย และ องค์การ นปช ประสงค์จะจัดตั้งทางความคิดจริง สองปี ที่ผ่านมา ทำไมจึงพยายาม ฉุด รั้ง ให้ความคิดอ่านของมวลชน หยุดนิ่ง อยู่กับที่ การที่มวลชน คิดก้าวหน้า มาในปัจจุบัน ควรเป็นผลงาน ของ แดงก้าวหน้า กลุ่มอื่นๆ เช่น แดงสยาม กลุ่ม 24 มิย ฯลฯ หรือนักวิชาการก้าวหน้า เช่น คณะนิติราษฎร์ อ สุธาชัย อ จรรยา ยิ้มประเสริฐ อ สมศักดิ๋ เจียม ฯ และ วิทยากรหัวก้าวหน้าคนอื่นๆ ฯลฯ ไม่ใช่ผลงานโดยตรง ของ นปช หรือ ทีมงานพรรคเพื่อไทย 

ตัวอย่าง ของการฉุดรั้งความคิดอ่านของมวลชน เช่น 

           เมื่อไร ก็ตาม ที่มีใคร เสนอ แนวความคิดที่ก้าวหน้า ต่อมวลชน จะถูก กล่าวหา ว่า สร้างความแตกแยก ให้คนเสื้อแดง ถูกโจมตี ให้ร้าย ตลอดมา ไม่ว่าจะเป็น อ สมศักดิ๋ เจียม ฯ อ จรรยา และวิทยากร อีกหลายท่าน ในอดีต คุณปูนนก ก็เป็นคนหนึ่ง ที่เคยแสดงความเห็นที่เฉียบคม ว่า รถโดยสารของ นปช ต้องการไปแค่นครสวรรค์ แต่คนขับรถ ของ รถ นปช ไม่เคยบอก ผู้โดยสาร ว่า รถ นปช คันนี้ ไปแค่ นครสวรรค์ ไม่ใช่หรือ 

            ความคิดอ่านที่เฉียบคม เช่นนี้ ของคุณปูนนก หายไปไหน ? ผมรู้ว่าหลายคนคงไม่ชอบความเห็นแบบนี้ แต่ก็ไม่คิดที่จะขออภัย ที่อยากแย้ง ก็คือ การจัดตั้งทางความคิด สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ ต้องทำให้มวลชนคิดเองเป็น ไม่ใช่ต้องรอการชี้นำ จากแกนนำ แต่เพียงอย่างเดียว 

             ถ้าคิดเองไม่เป็น ต้องรอการชี้นำ อย่างเดียว แต่ปากบอกว่า คิดเองเป็น แบบนี้ไม่เรียกว่า การจัดตั้งทางความคิด 

-----------------------------------------------------------------------------------
คุณปูนก ได้โต้แย้งว่า...
             สวัสดีครับคุณ redstar

              ผมดีใจที่ได้มีโอกาสสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนร่วมรบ นักรบร่วมอุดมการณ์ที่เคยต่อสู้ร่วมกันมาหลายปี ทั้งในโลกไซเบอร์ และบนท้องถนนจริงๆ ขอบคุณที่ยกข้อความที่ผมเคยเขียนเอาไว้ในอดีตว่า "รถโดยสารของ นปช ต้องการไปแค่นครสวรรค์ แต่คนขับรถ ของ รถ นปช ไม่เคยบอก ผู้โดยสาร ว่า รถ นปช คันนี้ ไปแค่ นครสวรรค์" ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคุณ redstar ก็เป็นท่านหนึ่งที่สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่ ร่วมกันกับนักรบประชาธิปไตยท่านอื่นๆ มาอย่างยาวนาน เพราะข้อความนี้ผมเชียนเอาไว้ในบทความหลายปีมาแล้ว ดูเหมื่อนจะเป็นสมัยท่านนายกสมัคร หรือท่านนายกสมชายนี่แหละ ซึ่งผมต้องขอบคุณอย่างมากที่คุณ redstar ได้ย้ำเตือนความเข้าใจให้กับผมอีกครั้งหนึ่งถึงแนวทางที่ผมเคยมีจุดมุ่งหมายเอาไว้

               ก่อนอื่นผมต้องขอยืนยันกับคุณ redstar ว่า ผมนายปูนนก คนที่เขียนบทความชิ้นนั้น กับนายปูนนกที่เขียนบทความชิ้นนี้ ยังคงเป็นคนๆ เดียวกัน ยังคงมีความรู้สึกนึกคิด และความปรารถนาที่จะต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทว่านายปูนนกวันนี้ กับนายปูนนกวันนั้น "มีความเข้าใจสถานการณ์การสู้รบแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงครับ" เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นคนละคนกันเลยก็ว่าได้..ความหมายก็คือเวลานี้ผมมองการต่อสู้ไปที่ศัตรู ไม่ได้มองการต่อสู้ไปที่มิตรร่วมรบ ผมไม่ไว้ใจศัตรู แต่ไว้ใจพันธมิตรร่วมรบ พูดง่ายๆ ก็คือ ศัตรูของผมก็คือ อำนาจเผด็จการอมาตยาธิปไตย และเครือข่ายทั้งหมด ซึ่งผมจะต้องเข้าร่วมกับพันธมิตรเพื่อทำลายอำนาจเผด็จการอมาตยาธิปไตยนี้ให้สิ้นซากไปจากประเทศไทยให้ได้ และขณะนี้มิตรร่วมรบ และนักรบร่วมศึกของผมก็คือ พรรคเพื่อไทย และ นปช. ครับ

                เพราะถ้าเราไม่มีพันธมิตรเหล่านี้ ก็ยากที่จะประชาชนผู้รักประชาธิปไตยจะเอาชนะเผด็จการอมาตย์ที่ครองประเทศนี้มาอย่างยาวนาน และมีอำนาจเต็มในมือได้ในเร็ววัน บอกตรงๆ ครับ ความคิดของผมขณะนี้ สำหรับการสู้รบในสงครามกับเผด็จการอมาตย์ที่เป็นอยู่นี้ผมต้องการชัยชนะอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และผมจะไม่เปิดศึก 2 ด้านโดยเอาอุดมการณ์ประชาธิปไตยขั้นที่ 10 มาไว้ใน การต่อสู้ขั้นที่ 1 

               ผมไม่ใช่นักการเมือง ผมไม่ใช่แกนนำ นปช. หรือผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการเป็นรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ผมไม่เคยได้รับการช่วยเหลือทางการเงินใดๆ จากท่านนายกทักษิณแม้แต่น้อย ผมก็ยังคงมีสภาพเป็นนายปูนนกเช่นเดิมเหมือนที่เคยเป็นมา แต่ทว่าเวลานี้ผมต้องการมิตรร่วมรบ มากกว่าศัตรูรอบข้าง เพื่อจะเอาชนะต่อเผด็จการอมาตย์ให้ได้ในเบื้องแรก... และจากนั้นเมื่อเผด็จการอมาตย์พ้นออกไปจากอิทธิพลการครอบครองประเทศนี้แล้ว


                การต่อสู้กับมิตรที่เคยร่วมรบกันมากรณีที่จะไม่ร่วมเดินต่อกันไปจนถึงฝั่งฝัน ย่อมอาจจะต้องเกิดขึ้นได้ (แต่นั่นเป็นเรื่องในอนาคต) และผมก็จากการเป็นมิตรก็อาจจะต้องเป็นศัตรูกับเพื่อนที่เคยร่วมศึกมาด้วยกัน.. แต่นั่นคือเรื่องของอนาคตครับ ไม่ใช่วันนี้

               ดร. ซุนยัดเซน มีขุนพลคู่กายอยู่ 2 คนที่ทำการปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์ชิงสำเร็จ คือ เจียงไคเช็ค และเหมา เจ๋อ ตง เมื่อเจียง กับเหมา มีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างกัน แต่ก็ร่วมมือกันกับซุน ยัดเซน ล้มล้างราชวงศ์ชิงได้ แต่พอซุนยัดเซน ตาย อุดมการทางการเมืองที่ต่างกันก็ทำให้ เจียง กับ เหมา รบกัน ทั้งๆ ที่เคยเป็นสหายศึกมาแต่เก่าก่อน และในที่สุดก็อย่างที่ทราบๆ เจียงไคเช็ค พ่ายแพ้ ต้องหนีไปอยู่เกาะฟอร์โมซา (ใต้หวัน) มาจนทุกวันนี้

               คุณ redstar ครับ ผมมีคำถามให้คิดง่ายๆ ครับ แต่คำตอบไม่ง่ายนักให้คุณคิดพร้อมอธิบายเหตุผล ถ้าเป็นคุณ คุณ redstar จะเลือกทำอย่างไรระหว่าง 

              1. เป็นวีรชนต่อสู้กับข้าศึกที่มีกำลังเหนือกว่าทั้งๆ ที่รู้ว่าสู้ไม่ได้จนตัวตาย และในที่สุดการศึกก็พ่ายแพ้บ้านเมืองถูกยึดทำลาย (เหมือนชาวบ้านบางระจัน) 

              2. เป็นผู้ได้ชื่อว่าทรยศด้วยการหลีกหนีการต่อสู้ปล่อยให้บ้านเมืองถูกทำลาย แต่ไปซ่องสุมกำลังแล้วกลับมาเอาชนะข้าศึกกู้บ้านกู้เมืองได้ (ดังเช่นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) 

              เรียนตามตรงครับ ผมขอเลือกทำอย่างที่ 2 เพราะคนที่ตายแล้ว เอาชนะข้าศึกไม่ได้ครับ (ยกเว้น เอลซิด คนเดียว)

              ปูนนก

------------------------------------------------------------
ความเห็นของคุณ Redstar
คุณปูนนก 

             ที่คุณบอกว่า "ความหมายก็คือเวลานี้ผมมองการต่อสู้ไปที่ศัตรู ไม่ได้มองการต่อสู้ไปที่มิตรร่วมรบ ผมไม่ไว้ใจศัตรู แต่ไว้ใจพันธมิตรร่วมรบ พูดง่ายๆ ก็คือ ศัตรูของผมก็คือ อำนาจเผด็จการอมาตยาธิปไตย และเครือข่ายทั้งหมด " 

             ผมหรือ redstar คิดไม่แตกต่างจากคุณ อาจจะแตกต่างกันในเรื่อง ที่ผมมองว่า องค์กร นปช และ พรรคเพื่อไทย ไม่อาจที่จะผูกขาด การนำทางความคิด แต่เพียง 2 องค์กรนี้ เหมือนแต่ก่อน และต้องขอยืนยันว่า ทั้งองค์กร นปช และ พรรคเพื่อไทย เป็นมิตร และ เป็นแนวร่วมของคนเสื้อแดง ดังนั้น การกระทำใดๆ ของทั้ง 2 องค์กร 

             ถ้าเป็นเรื่องที่ ก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางความคิด ย่อมต้อง สนับสนุน และเชิดชู แต่ถ้าเรื่องใด เป็นเรื่องที่ ฉุดรั้ง ความคิดอ่านของมวลชน ให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ ก็จำเป็นต้องติติง กันบ้าง แต่จำกัดวง แค่ "การติเพื่อก่อ" ไม่ใช่ "ติเพื่อทำลาย" 

             การติเพื่อก่อ เช่นนี้ต่างหาก ที่สะท้อน ความรัก ความห่วงใย ที่มีต่อ นปช พรรคเพื่อไทย และ ท่านทักษิณอย่างแท้จริง เรื่อง ที่ผมเห็นต่างและโต้แย้ง เป็นเรื่อง ที่ว่า จะต้องทำอย่างไร จึงจะเรียกว่า เป็นการจัดตั้งทางความคิด ให้แก่มวลชนเพื่อให้มวลชน คิดเองเป็น เพราะ ถ้าไม่ทำเช่นนั้น ก็จะไม่เรียกว่า การจัดตั้งทางความคิดแต่เป็นการ ครอบงำ ทางความคิด ต่างหากสาระสำคัญ ของผม อยู่ที่นี่

คุณปูนนก ได้ตั้งคำถามมา สอง คำถาม 

             คำถามแรก 1. เป็นวีรชนต่อสู้กับข้าศึกที่มีกำลังเหนือกว่าทั้งๆ ที่รู้ว่าสู้ไม่ได้จนตัวตาย และในที่สุดการศึกก็พ่ายแพ้บ้านเมืองถูกยึดทำลาย (เหมือนชาวบ้านบางระจัน) 
ผมขอตอบแบบนี้ 

             ในขั้นตอนนี้ ยังอยู่ในขั้นของการ แสดงความเห็นที่หลากหลาย โต้แย้ง และ ถกเถียงกัน เพื่อก่อให้เกิดการตกผลึกทางความคิดร่วมกัน และเมื่อ เกิดการตกผลึกทางความคิดร่วมกัน การคิดหาหนทางการต่อสู้ ใหม่ๆ จึงจะเกิดตามมา 

              ขอย้ำว่า นี่ไม่ใช่การปลุกระดม ให้เร่งออกไปลงมือปฎิบัติการ เพราะ หนทางการต่อสู้ใหม่ๆที่ดีกว่า ยังไม่เกิดขึ้น การเร่งรีบลงมือ ปฎิบัติการ แบบที่สะใจพวกฮาร์คอร์ด จึงเป็นการ ฆ่าตัวตาย และ นำความพ่ายแพ้มาให้ รู้ทั้งรู้อยู่ว่า คนเสื้อแดง ยังเป็นรองอำมาตย์ อยู่อีกหลายขุม ผมคงไม่สนับสนุน พวกที่เอาแต่สะใจ หรือ ฮาร์คอร์ด เพียงอย่างเดียว ..หาเรื่องฆ่าตัวตายชัดๆ

              ความกล้าหาญ เป็น สิ่งทีดี แต่ถ้าใช้แต่ความกล้าหาญ เสียสละ โดยละเลยปัญญา ..ละเลยหลัก "รู้เขา รู้เรา ร้อยศึกบ่พ่าย" ก็จะพากันไปฆ่าตัวตาย แบบวีรชนชาวบางระจัน ซึ่งผมก็ขอคัดค้าน เช่นกัน

ผมจะตอบคำถามข้อ 2 ของ คุณแบบนี้ 

             ในสภาพที่ขบวนการคนเสื้อแดง เป็นรองฝ่ายอำมาตย์ เช่นในขณะนี้ หลักการที่ผมยึด ก็คือ 

              หลักแรก "สะสมกำลัง รอคอยโอกาศ และเร่ง ให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่มวลชน ไม่ฉุดรั้งมวลชน "  และหลักหลัง " เองมาข้ามุด เองหยุดข้าแหย่ เองแย่ข้าตี เองหนีข้าตาม " 

              ซึ่งทั้ง 2 หลัก ต่างล้วน อยู่ภายใต้ หลักใหญ่ คือ " รู้เขารู้เรา ร้อยศึกบ่พ่าย" 

              ถ้าสถานการณ์ บังคับ ให้ต้องทำแบบ พระเจ้าตากสิน มันก็ต้องทำ ไม่เห็นจะผิดตรงไหน 
              แต่ถ้าสถานการณ์ ยังไม่ถึงขั้นที่ ต้องทำแบบนั้น จะรีบห่วงใย ไปทำไม

               ผมตอบคุณปูนนกแล้ว ไม่ทราบว่า คุณปูนนก มีความเห็นอย่างไร 

---------------------------------------------------------
ข้อคิดเห็นของคุณ nokkapood


            เห็นด้วยในประเด็นของความสามัคคคีร่วมใจในการต่อสู้กับศัตรูคนเดียวกัน ที่ผ่านมานั้นรัฐบาลหรือพรรค เพื่อไทย รวมทั้ง นปช. เดินไปในแนวทางเดียวกัน คือสู้แบบมีข้อจำกัด สู้ไปกราบไป หรืออาจมีการเจรจาต่อรองอะไรกันบ้าง คนวงนอกอย่างผมก็มิอาจรู้ได้ แต่ก็เชื่อว่ามีเหตุผลเพียงพอ โดยเฉพาะจากสถานะการณ์ล่าสุด (เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องนาซ่า) ซึ่งเลือกที่จะถอยเพื่อลดความเสี่ยงที่จะนำไปสู่กระบวนการยุบพรรคหรือถอดถอนรัฐบาล ก็เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ การถอยอาจเป็นการต่อสู้อย่างหนึ่ง แต่ขอให้เป็นการถอยในรุกบ้าง ที่ผ่านมารัฐบาลยินยอมปฏิบัติตามความต้องการของผู้มีอำนาจตลอดมา หรือเรียกได้ว่าเอาอกเอาใจ ซึ่งเชื่อกันว่าจำเป็นต้องทำให้เขาไว้วางใจเพื่อให้รัฐบาลอยู่รอดปลอดภัยจนเป็นที่ขัดใจผู้รักประชาธิปไตยอย่างน่าเป็นห่วง มาถึงวันนี้แล้วอยาก

             ฝากท่านปูนนกไปถึงรัฐบาล พรรคเพื่อไทย หรือ นปช. ว่า ท่านจะเอาอกเอาใจเพียงใดเขาก็ไม่เอาท่านไว้แน่นอน สิ่งใดที่เป็นการรุกเพื่อเอาชนะก็ควรเร่งดำเนินการ เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ นปช.เดินทางศาลโลกซึ่งถือป็นเกมรุกทางหนึ่ง แต่ก็หวังว่าจะไม่ทำเพื่อเป็นแต้มในการต่อรองอีกต่อไปนะครับ 


----------------------------------------------------------
ความเห็นของคุณ Maquidd


                ขอบคุณ คุณปูนนก บทความยอดเยี่ยมค่ะ เห็นด้วยกับข้อสรุปเพื่อให้ได้ชัยชนะอย่างมั่นคง 

                พี่น้องพวกเราที่รักประชาธิปไตยทุกท่าน“จะต้องยึดมั่นใน อุดมการณ์แห่งความเป็นประชาธิปไตย เชื่อมั่น และยอมรับการนำของพรรคเพื่อไทย และ นปช. (แม้ว่าหลายอย่างเราจะไม่เห็นด้วยก็ตาม)” เพราะจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีกลุ่มการเมืองใด หรือใคร ที่จะศักยภาพพอที่จะต่อกรกับอำนาจเผด็จการที่ครอบงำประเทศนี้อยู่ได้เลย 

               ดังนั้นเราทุกคนต้องช่วยเสริมกำลังซึ่งกันและกัน ไม่ใช่การทำลายกัน การติเพื่อก่อ เป็นสิ่งที่ต้องทำและต้องสนับสนุนให้ทำกันมากๆ เพื่อที่การนำของพรรคเพื่อไทย จะได้มีมุมมองกว้างขึ้น มากกว่าจะฟังเพียงแค่ผู้ที่อยู่ใน War Room เท่านั้น.. แต่ขณะเดียวกัน การติเพื่อทำลายกันจะส่งผลให้เกิดการแตกแยก และการนำพังทลาย ซึ่งเมื่อการนำพังทลาย รัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็จะพ่ายแพ้ในการต่อสู้.. เมื่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ในการต่อสู้ นปช. ก็จะพ่ายแพ้ในการต่อสู้.. เมื่อ นปช. พ่ายแพ้ในการต่อสู้ คนเสื้อแดงก็พ่ายแพ้ในการต่อสู้ด้วย เมื่อคนเสื้อแดงพ่ายแพ้ในการต่อสู้ ประชาธิปไตยที่เราต้องการมอบและส่งต่อให้กับลูกหลานของเราในอนาคตก็จะพ่ายแพ้ไปด้วย
*
*
...ฝ่ายอำมาตย์ มีเครื่องมือ คือ ทหาร และ อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ
...เครื่องมือของฝ่ายประชาธิปไตย คือ ประชาชน(เสื้อแดง) รัฐบาล(ส.ส.พรรคเพื่อไทย) และรัฐสภา... เพื่อไทยเป็นรัฐบาลก็จริงแต่มิได้มีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ


ฉะนั้น รัฐบาลเพื่อไทยจะต้องอยู่ในวาระให้ยาวนานที่สุด
คนเสื้อแดงต้องแสดงพลังออกมา ด้วยการเข้าร่วมการชุมนุมทุกแห่งให้มากที่สุด


คนเสื้อแดงต้องเสริมความแข็งแกร่งให้รัฐบาลเพื่อไทย ด้วยการเลือกส.ส.เพื่อไทยเข้ารัฐสภาให้มากๆ เพื่อผลักดันให้รัฐบาลแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญให้จงได้ 
และในการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นหรือองค์กรต่างๆ เลือกตัวแทนของพรรคเพื่อไทย เข้าไปให้มากที่สุดเพื่อช่วยรัฐบาลบริหารประเทศ 


...เมื่อรัฐบาลแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญได้สำเร็จ รัฐบาลมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ เมื่อนั้นแหละเราจึงจะได้ชัยชนะเผด็จการอำมาตย์ และได้ประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ 
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น