วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ค่อย ๆ จับไปที่ละตัว





ชุดสืบนครบาล รวบตัว "ตั้ม-พิชิต ชัยมงคล" แกนนำม็อบคปท. ตามหมายจับ

 เวลา 20.00 น. วันที่ 29 ธ.ค. หัวหน้าการ์ดม็อบคปท. แจ้งกับสื่อมวลชนว่า ตำรวจเข้าควบคุมตัวนายพิชิต ชัยมงคล หรือ ตั้ม โฆษกกลุ่มคปท. ตามหมายจับกรณีปิดล้อมกระทรวงการต่างประเทศ โดยนายพิชิตถูกจับระหว่างทำธุระที่ห้างซีคอนสแควร์ 

 รายงานข่าวระบุว่าชุดสืบนครบาลเป็นผู้จับกุมนายพิชิต และคุมตัวไปที่ตชด.ภาค 1 จังหวัดปทุมธานี 

 ประวัตินายพิชิต เป็นอดีตเลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ปี 2546 เคยร่วมขึ้นเวทีกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต่อมาเป็นรองเลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ จัดเป็นคนใกล้ชิดของนายสุริยะใส กตะศิลา อดีตผู้ประสานงานพันธมิตรฯ และผู้ประสานงานกลุ่มกรีน

 ล่าสุด นายสุริยะใสโพสต์เฟซบุ๊กยืนยันข่าวการจับกุมนายพิชิตเช่นกัน

 นายธาริต เพ็งดิษฐ์  อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้สัมภาษณ์ “ข่าวสด” กรณีตำรวจจับกุมนายพิชัย โฆษกกลุ่มคปท. ว่า เนื่องจากนายพิชิตเป็นหนึ่งใน 38 แกนนำม็อบที่ดีเอสไอออกหมายเรียกให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการชุมนุม ซึ่งดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษแล้ว ทำให้นายพิชิตต้องถูกส่งตัวมาอยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นายพิชิตถูกควบคุมตัวอยู่ในสถานที่ที่เตรียมไว้ ซึ่งไม่ใช่ดีเอสไอ โดยมีตำรวจช่วยดูแล ทั้งนี้ หากศาลเปิดในวันพรุ่งนี้ (30 ธ.ค.) ดีเอสไอจะส่งตัวไปขออำนาจศาลฝากขังและขอคัดค้านการประกันตัว 

นายกรัฐมนตรี อวยพรปีใหม่คนไทย "ขอให้หันหน้าเข้าหากัน เพื่อจะได้มีทางออกอย่างสันติ"

นายกรัฐมนตรี อวยพรปีใหม่คนไทย "ขอให้หันหน้าเข้าหากัน เพื่อจะได้มีทางออกอย่างสันติ"



ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ปี๒๕๕๗ ดิฉันขอให้พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนร่วมจิตร่วมใจ ร่วมขอพรเพื่อให้คนไทยได้กลับมารักและสามัคคีกัน ให้ผู้ที่มีความคิดเห็นขัดแย้งไม่ว่าจะมีอุดมการณ์ทางการเมืองหรือความเชื่อที่แตกต่าง ได้หันหน้าเข้ากัน เพื่อบ้านเมืองของเราจะได้มีทางออกที่สันติ

และดิฉันขอยืนยันต่อพี่น้องประชาชนคนไทยว่า ดิฉันจะตั้งใจทำงานอย่างไม่ย่อท้อ จะอดทน ท่ามกลางสถานการณ์ช่วงนี้ ในขณะเดียวกันดิฉันจะทำงานอย่างหนักเพื่อให้เกิดความสามัคคีปรองดอง และปกป้องรักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างสุดความสามารถ

สุดท้ายนี้ ดิฉันขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ตลอดจนพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ คุ้มครองคนไทยให้อยู่รอดปลอดภัย สุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ คิดหวังสิ่งใดให้สมปรารถนา และดลบันดาลให้ประเทศชาติสงบสันติเพื่ออนาคตของลูกหลานไทยทุกคน

"พานทองแท้" ซัด อภิสิทธิ์ ปฏิรูปตัวเองก่อน ปฏิรูปประเทศ

"พานทองแท้" ซัด อภิสิทธิ์ ปฏิรูปตัวเองก่อน ปฏิรูปประเทศ

วันที่ 31 ธันวาคม 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ภาพกาตูนพร้อมข้อความลง เฟสบุ๊กส่วนตัว Oak Panthongtae Shinawatra โดยมีเนื้อหาดังนี้




ปฏิรูป + ล้มการเลือกตั้ง + ฉีกรัฐธรรมนูญ + ตั้งนายกขึ้นมาเอง = การปฏิวัติรัฐประหาร


ผมว่าสมการข้างบนนี้ต่างหาก ที่นายอภิสิทธิ์ฯ อยากให้เป็นของขวัญปีใหม่ แด่พี่น้องคนไทยทั้งชาติ ไม่ใช่คำพูดที่งดงามตามรูปหรอก ครับ


3ข้ออะไรที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประดิษฐ์ประดอยคำพูดมาสวยหรูนั้น เป็นความคิดของอดีตรองหัวหน้าพรรค นามว่าอาจ้อน อลงกรณ์ พลบุตร นักประชาธิปไตยตัวจริง-ชัดเจน ที่กล้าเอากระดิ่งไปผูกคอแมว เสนอการปฏิรูปพรรคฯแต่กลับถูกต่อต้าน จนถูกปลดลงจากรองหัวหน้าพรรคฯ ต้องเก็บข้าวของออกจากห้อง แทบจะไม่เหลือที่ยืนในพรรคฯต่อไป ปลดเขาแล้วอย่าไปขี้ตู่ผลงานของเขาครับ


ขณะนี้เสียงพี่น้องประชาชนสงสัยกันมากว่า หากพรรคประชาธิปัตย์มีความจริงใจที่จะปฏิรูปจริงๆแล้ว ทำไมจึงต้องปลดรองหน.อลงกรณ์ฯ ทำไมจึงมีข่าวว่าถูกอภิสิทธิ์ฯตำหนิเรื่องการปฏิรูป และทำไมไม่คิดจะปฏิรูปตอนปชป.เป็นรัฐบาล แต่จะต้องมาเพิ่มวิกฤติให้ประเทศถึงทางตัน กันในตอนนี้วะครับ


ยิ่งถึงตอนนี้ประชาชน ได้เห็นภาพรวมได้กระจ่างชัดยิ่งขึ้น เขาก็ต่อยอดความคิดกันไปอีกว่า ตลอด2ปีกว่าๆที่อภิสิทธิ์ฯดำรงตำแหน่งนายกฯ ไม่เห็นคิดจะทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันเลย จำได้ก็เพียง นโยบายขายไข่ชั่งกิโล นโยบายเคารพธงชาติเช้าเย็น นโยบายที่ลงท้ายด้วยคำว่าเข้มแข็ง ที่โดนครหาเรื่องการทุจริตอย่างมากมาย แล้วก็มีอดีตนายกฯชวนมาช่วยเสนอ ให้ประชาชนกินของนึ่งแทนของทอด ตอนที่มีการปั่นราคาน้ำมันปาล์ม ประชาชนเค้าจำได้แค่นี้จริงๆ


แต่พอเป็นฝ่ายค้านนายอภิสิทธิ์ฯขยันจังครับ ลงพื้นที่ ติโน่น ตินี่ ตำหนิติเตียนผู้อื่นตลอดเวลา พอประเทศชาติเกิดวิกฤติ แทนที่จะลดความขัดแย้งทางการเมือง กลับแบ่งหน้าที่กันกับนายสุเทพฯ รวมกันเดิน-แยกกันตี ทำอะไรสอดคล้องกัน ไปในทิศทางที่จะผลักดัน ให้ประเทศถึงทางตันอยู่ตลอดเวลา


สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ควรจะให้เป็นของขวัญให้กับพี่น้องประชาชนคือ พรรคประชาธิปัตย์ควรยอมรับความผิดพลาดของพรรคฯตัวเอง แข่งกันทางด้านบวก ในเมื่อนโยบายสู้เขาไม่ได้ ประชาชนเขาไม่เอา มันก็ต้องแพ้เลือกตั้งเป็นธรรมดา ควรจะกลับไปแก้ไขปรับปรุงตัวเสียใหม่


ไม่ใช่สู้ทางด้านบวกไม่ได้ก็ใช้ด้านลบ สร้างความหวาดกลัว สร้างความเกลียดชัง ในหมู่พี่น้องไทยจนแทบจะฝังรากลึก ไปจนเป็นสันดานไปชั่วลูกชั่วหลาน ทำแบบนี้อาจจะเป็นประโยชน์ทางการเมืองของพรรคฯตัวเอง แต่วัฒนธรรมที่ดีงามของไทยฉิบหายกันหมดแล้วครับ



ปฏิรูปพรรคฯตัวเอง ปฏิรูปความมีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้-รู้ชนะ-รู้อภัย ปฏิรูปนิสัยตัวเองให้ดีเสียก่อน จึงค่อยมาเสนอหน้าเป็นผู้ปฏิรูปประเทศไทยครับ

"กลุ่มแพทย์พยาบาล" มอบดอกไม้ให้กำลังใจ ผบ.ตร. และตำรวจทั้งประเทศ


"กลุ่มแพทย์พยาบาล" มอบดอกไม้ให้กำลังใจ ผบ.ตร. และตำรวจทั้งประเทศ







           วันนี้ (31 ธ.ค.56) เวลา 15.00 น. กลุ่มแพทย์พยาบาลศรัทธาประชาธิปไตย และกลุ่มแพทย์และประชาชนผู้รักความยุติธรรม ได้มาร่วมให้กำลังใจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยมี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. และผู้บังคับบัญชาระดับสูงให้การต้อนรับ ณ ห้องรับรอง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556

กวนตีนทีวี ปรี๊ด ๆ ๆ ๆ

http://www.youtube.com/user/matakihi

ปรี๊ดดดด




http://www.youtube.com/watch?v=7MrBW0076vA&list=UUBnu4zHXVJwsTNB00ddYmkw

MV รอดูเทือกผูกคอตาย



มันด่าใครวะ

สุดมัน ไอ้เมือก ด่าไอ้ชวน



และ เหี้ยยยยยยยยยยย บุกสภา


จงรู้ไว้ว่า หยุดเหี้ยไม่ได้

คลิ๊ปฮาแห่งปี จิตอาสา ..... ลูกพี่ "ผมเผารถมันแล้ว"


ฉบับย่อ


ฉบับเต็ม

"โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร" เตือน "เทพเทือก" คิดให้ดีๆ ก่อนปิดกรุงเทพเป็นของขวัญปีใหม่



"โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร" เตือน "เทพเทือก" คิดให้ดีๆ ก่อนปิดกรุงเทพเป็นของขวัญปีใหม่


นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายอดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความบนไอดี @Oak Panthongtae Shinawatra กล่าวถึงมาตรการปิดกรุงเทพของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ว่าเป็นของขวัญปีใหม่ที่นายสุเทพแสนภูมิใจมอบให้ประชาชน ย้ำให้นายสุเทพ คิดให้ดีว่า แท้จริงแล้วคนไทยต้องการ “เลือกตั้ง หรือ เทือกตั้ง”


"ยุทธการ...ปิดกรุงเทพฯ...!!" คือของขวัญปีใหม่ พุทธศักราช 2557
ที่แก๊งค์ อดีตสส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ภูมิใจมอบให้กับพี่น้องไทยทุกคนครับ


ม็อบประชาธิปัตย์คิดแปลกครับ คิดจะนำพาประเทศย้อนยุคไปเหมือนกับเขมรแดงในปีพ.ศ.2518 ซึ่งได้กระทำการปิดกรุงพนมเปญ จนยึดอำนาจได้สำเร็จ และในที่สุดก็ปิดทั้งประเทศ โดดเดี่ยวตัวเองออกจากประเทศอื่นๆทั่วโลก และจัดตั้งระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมพึ่งตัวเอง ทำให้เขมรซึ่งมีความเจริญทางอารยธรรม สูงสุดในอดีตกาล กลับต้องล้าหลังประเทศเพื่อนบ้าน ไปอย่างน่าเสียดาย


ผ่านมาเกือบ 40 ปีให้หลัง สุเทพ เทือกสุบรรณ คิดจะกระทำซ้ำรอยเขมรแดง ด้วยการปิดกรุงเทพครับ นำม็อบป่วนไปทั่วเมือง เรียกร้องให้รัฐบาลลาออก และไม่ยอมให้มีการเลือกตั้ง โดยอ้างว่าจะต้องปฏิรูปการเมืองให้เสร็จก่อน จึงจะอนุญาตให้มีการเลือกตั้งได้ ประท้วงมาจนถึงวันนี้ เศรษฐกิจไทยคิดแค่ธุรกิจการท่องเที่ยวอย่างเดียว ก็เสียหายยับเยินไปนับแสนล้านบาทแล้ว ล่าสุดนายสุเทพฯยังจะประกาศ ซ้ำเติมความฉิบหายอีกว่า หลังปีใหม่นี้ คนกรุงเทพฯต้องเตรียมตัว รับชะตากรรม "คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า" กับแผนการหลุดโลกสไตล์ม็อบประชาธิปัตย์ ได้แก่ ยุทธการ...ปิดกรุงเทพฯ...!!


พานทองแท้ขอเตือนไว้เลยว่า ถ้าม็อบประชาธิปัตย์ล้มการเลือกตั้งได้สำเร็จ ประเทศไทยจะกลับมาสู่ระบบการเลือกตั้ง ตามระบอบประชาธิปไตยได้ยากแล้วครับ ครั้งนั้นกว่าเขมรจะกลับเข้ามาสู่กระบวนการเลือกตั้งได้ ต้องใช้เวลาถึง16ปี โดยเขมรแต่ละฝ่ายต้องลงสัตยาบันกันว่า จะให้สหประชาชาติเข้ามาจัดการเลือกตั้ง และแล้วในที่สุดฝ่ายเขมรแดง ที่ได้กระทำการปิดล้อมกรุงพนมเปญเมื่อ16ปีก่อน ก็เบี้ยวสัตยาบันอีก โดยไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ที่สหประชาชาติเป็นผู้เข้ามาจัดการให้


ผมเชื่อว่ากติกาการเลือกตั้ง ที่ประชาธิปัตย์บอกว่าไม่ยุติธรรม ต้องแก้ไขก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง เป็นเพียงข้ออ้างของคนประเภท"แพ้แล้วพาล"หรือ "ขี้แพ้ชวนตี" เท่านั้นครับ จนถึงวันนี้มีพรรคการเมืองไปสมัครรับเลือกตั้งแล้วถึง53พรรค แสดงว่าทุกพรรคฯการเมืองเขาต่างก็ยอมรับกติกากันทั้งนั้น มีพรรคประชาธิปัตย์อยู่เพียงพรรคเดียว ที่งอแงไม่ยอมลงสมัคร และออกมาป่วนบ้านเมืองอยู่ทุกวันนี้


ถ้าประชาธิปัตย์อยากจะเป็นรัฐบาลแต่แพ้เลือกตั้ง เป็นฝ่ายค้านได้ไม่เท่าไหร่ ก็งอแงป่วนบ้านป่วนเมืองแบบนี้ได้ ต่อนี้ไปนักการเมืองที่รู้ตัวว่า เลือกตั้งไปยังไงตัวก็แพ้ ก็จะใช้วิธีการซ้ำรอยม็อบประชาธิปัตย์แบบนี้อีกครับ นำม็อบออกมาป่วนเมือง สร้างสถานการณ์ให้มีคนตาย มีความวุ่นวายเกิดขึ้นมากๆ ก็จะมีการเสนอให้เลื่อนการเลือกตั้ง เสนอคนกลางมาเป็นนายกฯ เสนอให้แก้ไขกติกาให้ตัวเองได้เปรียบ การแข่งขันโดยกระบวนการประชาธิปไตย ด้วยวิธีหย่อนบัตรเลือกตั้ง ก็ยากที่จะเกิดขึ้นได้อีก..!!


คนกรุงเทพฯกำลังถูก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หลอกให้กลัวคำว่า "ระบอบทักษิณ"ครับ กลัวโดยไม่มีเหตุผล ไม่ลืมหูลืมตา กลัวจนลืมคิดไปว่า ถ้าทำสำเร็จแล้ว "ระบอบสุเทพฯ" จะเข้ามาแทนที่หรือไม่ ถ้าระบอบทักษิณฯคือ การสร้างผลงานให้เข้าตาประชาชนมากมาย จนถูกขนานนามว่าเป็น "ประชานิยม" แล้วพอถึงเวลาที่กฏหมายกำหนด ประชาชนจะชอบ-ไม่ชอบอย่างไร ก็ออกไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เป็นระะบอบที่อยู่ภายใต้ประชาธิปไตย แล้วระบอบสุเทพฯหละ มีจุดขายจุดแข็งอะไรบ้าง นอกจากขายความกลัวและสร้างความเกลียดชัง ในหมู่พี่น้องคนไทยด้วยกัน


ถ้านำมาเปรียบเทียบกับ "ระบอบสุเทพ" ซึ่งเริ่มมาจากคนที่เป็นนักการเมืองมา35ปี ยังไม่เคยได้ยินผลงานทางด้านบวกอะไร ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยบ้าง จะถามคนสักกี่ร้อยคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่เคยได้ยินแม้แต่โครงการเดียว เคยแต่ได้ยินเรื่องราวฉาวโฉ่อยู่ตลอดเวลา แทนที่นายสุเทพฯจะปรับปรุงตัว หรือแม้แต่จะปฏิรูปพรรคฯตัวเองให้ดีขึ้น ประชาชนเค้าจะได้เลือกมาเป็นรัฐบาล กลับไม่คิดจะทำ เอาแต่จะป่วนบ้านป่วนเมือง ล้มเลือกตั้ง ล้มประชาธิปไตย


ตั้งแต่โบราณกาล เราเคยปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การเลือกคนเข้ามาเป็นผู้บริหารประเทศ เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ จะทรงเป็นผู้เลือกด้วยพระองค์เอง จนกระทั่งในหลวงรัชกาลที่7 ทรงพระราชทานสิทธิของพระองค์ท่าน ให้กับปวงชนชาวไทยโดยรวม ผ่านกระบวนการเลือกตั้ง ซึ่งคนเป็นพ่อ-ลูกกัน ยังไปใช้สิทธิ์แทนกันไม่ได้เลย แล้วสุเทพ เทือกสุบรรณ คิดว่าตัวเองเป็นใคร?? จึงจะมาใช้สิทธิ์พระราชทานนี้ แทนพี่น้องประชาชนได้..!!


ขออัญเชิญ พระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติ ของในหลวงรัชการที่7 อันเป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจาก ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อให้พี่น้องได้ทบทวนกันดูอีกครั้ง


            "ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของ ข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดย สิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร"


อย่าลืมว่าพรรคการเมือง 53พรรค พร้อมที่จะลงเลือกตั้ง มีเพียงพรรคประชาธิปัตย์พรรคฯเดียวที่งอแง แผลงฤทธิ์ฟาดงวงฟาดงาอยู่ ประเด็นที่ต้องพิจารณาจึงเหลือแค่ เสียงนกหวีดที่ "ม็อบประชาธิปัตย์"เป่าหนวกหูกันอยู่นั้น คือเสียงอันแท้จริงของราษฎรโดยทั่วไป หรือเป็นเพียงคนกลุ่มเดียวที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น


แค่นี้เราก็สรุปได้แล้วครับ ว่าคนไทยส่วนใหญ่ ต้องการ....

"เลือกตั้ง" หรือ "เทือกตั้ง"...??

เทศกิจสุดกร่าง! เบ่งคับโรงพักอ้างเป็นการ์ดม็อบกบฏ ส่งยาให้ม็อบ ค้นพบปืนพร้อมกระสุน ตะโกนลั่นใครกล้าจับกู?



เทศกิจสุดกร่าง! เบ่งคับโรงพักอ้างเป็นการ์ดม็อบกบฏ ส่งยาให้ม็อบ ค้นพบปืนพร้อมกระสุน ตะโกนลั่นใครกล้าจับกู?




           เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา สายตรวจ สน.ท่าข้าม ได้ตรวจพบชายต้องสงสัยคนหนึ่งได้ที่ซอยท่าข้าม 20 จึงได้ขออนุญาตตรวจค้น จึงทราบว่าชายดังกล่าวชื่อ นายเจริญ เอียดปราบ อายุ 43 ปี ยอมรับสารภาพว่าเป็น จนท.เทศกิจอยู่ สนง. เขตธนบุรีได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงให้ขนยายี่ห้อต่าง ๆ จำนวนมาก อาทิยาแก้ปวด ยาใส่แผลสด อุปกรณ์ทำแผลชนิดต่างๆ และยังพบอีกว่าเป็นการ์ดอาสากลุ่ม กปปส. โดยกำลังเตรียมตัวไปร่วมม๊อบ ในขณะเดียวกัน ได้พบของกลางอาวุธปืนลูกซองสั้นไทยประดิษฐ์พร้อมลูกกระสุนจำนวน 2 นัด ซึ่งนายเจริญอ้างว่า มีไว้ป้องกันตัว

           ภายหลังเข้าจับกุมข้อหามีอาวุธไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต นายเจริญได้โวยวายขึ้นมาว่า “ใครกล้าจับกู นายกูสั่งมา มึงมีปัญหา อยากโดนถล่มโรงพักมึงเอาเลย” ซึ่งจากนั้น นายเจริญก็ได้ขอโทรศัพท์ไปยังผู้บังคับบัญชาให้โทรติดต่อมายัง สน. เพื่อขอให้ละเว้นการจับกุม แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ท่าข้ามไม่ยินยอม จึงสั่งให้ดำเนินคดีตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด

วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เปิดใจอภิสิทธิ์ สุเทพ หลังเก็บกดมานาน




แม้นายกยิ่งลักษณ์ ก็ยังอดขำไม่ได้

คุณสุเทพคับ




เ้มื่อวัวถามควาย ทั่นกำนันสุเทพจงฟัง

          ข้อความจากเวปไซท์ของบรรดาสมุนอำหมาตย์ เริ่มถามกันเอง  ผมคัดเอามาให้ชมกัน
ท่านอ่านแล้ว ก็นั่งอมยิ้มไปก่อนแล้วกัน  อิอิ ซักวัน มหิงสาสุเทพ คงจะออกมาตอบ



  • ท่านกำนันครับ ท่านจะเล่าประวัติศาสตร์อีกหลายวันไหมครับ ผมเบื่อเต็มทีแล้ว อย่างเรื่องการไปรักษาชีวิตทหารที่สถานีไทยคม หรือการเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้าฯ ร่วมทั้งการได้ดิบได้ดีของคนเสื้อแดงเพราะทักษิณให้บำเหน็จ หรือเรื่องที่ท่านกำนันและคุณอภิสิทธิ์ถูกคดีนั่น ใคร ๆ ก็รู้ว่า ท่านสู้
  • ไม่ยอมรับกฎหมายนิรโทษกรรมที่เขาจะยกโทษให้ นั่นน่ะ ยังต้องเล่าอีกหลายวันหลายคืนไหมครับ… ผมว่าชาวบ้านเริ่มเบื่อแล้ว เพราะไม่ต่างไปจากการเปิดเทป หรือเปิดแผ่นเสียงเก่า ๆ ที่เข็มมันตกร่อง มีแต่เสียงซ้ำ ๆ ซาก ๆ 
  • ตอนนี้ไม่ต้องด่ายิ่งลักษณ์ หรือด่าทหารที่ไม่มาร่วมถล่มรัฐบาลหรอกครับ เพราะตอนนี้ในเฟชบุ๊กต่าง ๆ ก็ด่ายิ่งลักษณ์ และด่าทหารด้วยความไม่พอใจอยู่แล้ว
  • และไม่ต้องไปด่าทหารคนหนึ่ง เยินยอทหารคนหนึ่งให้เขาเข้าใจผิดกันหรอกครับ คนเหล่านั้นเขามีคำว่า “วินัย” ครอบหัวอยู่ทุกคนครับ รู้ไว้ด้วย
  • ท่านกำนันรู้ไหม ว่าตอนนี้ ชาวบ้านเขาอยากรู้ว่า ท่านจะทำอย่างไรต่อไป จะให้เขาทำอย่างไรต่อไป เพื่อเผด็จศึกครั้งนี้เสียที ชาวบ้านจะได้ตั้งหลักถูกครับ…

            นี่ก็ล่อเข้าไปเดือนครึ่งแล้วนะครับ ที่จัดให้มีการชุมนุมขับไล่รัฐบาล อยากบอกว่า หากท่านกำนันหวังว่า รัฐบาลนี้จะหน้าบางแล้วลาออกนั้นอย่าหมาย หากพวกมันหน้าบาง หรือทนเสียด่าไม่ได้จริง ๆ มันลาออกไปนานแล้ว

           ท่านบอกพี่น้องที่มาร่วมชุมนุมว่า พวกมันคือพวกยิ่งลักษณ์กำลังนับถอยหลังนั้น คุณรู้ได้อย่างไรหรือ ? ท่านกำนันไม่รู้จริง ๆ หรือว่าพวกมันไม่สนใจความเคลื่อนไหวของท่านเลย มันยังหน้าระรื่นรับช่อดอกไม้จากชาวบ้านสบาย ๆ เหมือนจะรอให้ท่านหมดแรงไปเอง

          ท่านพูดบนเวทีได้ว่า จะสู้ต่อไป ไม่ว่ากี่เดือนกี่ปี จะสู้จนกว่ายิ่งลักษณ์จะออกนั้น ท่านพูดได้
แต่ท่านแน่ใจหรือ ว่าพ่อแม่พี่น้องที่มาร่วมชุมนุมด้วยกับท่านจะ “อึด” เหมือนท่าน



          ท่านเรียกร้องให้ยิ่งลักษณ์ดูทีวี บลูสกาย จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนั้น ก็อย่าหวังเลยครับ
ไม่มีผู้มีอำนาจคนไหน นั่งดูหรือนั่งฟังคนด่าหรอกครับ เขาอยู่ของเขาสบาย ๆ ไม่ดีกว่าหรือ
กำนันสุเทพ ต้องไปวางแผนใหม่ ว่าจะทำอย่างไรครับ ไม่ใช่เล่นลิ้นว่า ยิ่งลักษณ์แพ้ประชาชนชาวไทย ด้วยการลาออกจากตำแหน่งรักษาการนายกฯ เพราะถ้ายิ่งลักษณ์ หน้าบางก็คงลาออกไปนานแล้ว และคงไม่แคร์ด้วยว่าชาวบ้านจะเกลียดมากน้อยแค่ไหน  หรือจะหน้าดำเพราะความเครียดที่ถกไล่แค่ไหน..

            ผมก็ไม่อยากให้มีระบอบทักษิณครับ และอยากรู้ว่าท่านกำนันจะทำอย่างไร นอกจากยืนพูดทุกค่ำทุกคืนอย่างนี้  

ก็ขอฝากคำถามไว้ว่า ก่อนถึงปีใหม่นี้ เราจะทำอย่างไรกันต่อไปครับ !

          (ที่ถามอย่างนี้ เพราะเบื่อที่ท่านกำนัน พูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ เพื่อเรียกเสียงฮาจากผู้ร่วมชุมนุม ครับ – ขออภัยผมเป็นคนพูดตรง ก็เลยพูดยังงี้)

ขอนแก่น: สปป.อภิปราย“รัฐบาลพระราชทาน สภาประชาชน อุปสรรคการพัฒนาประชาธิปไตย"


ขอนแก่น: สปป.อภิปราย“รัฐบาลพระราชทาน สภาประชาชน อุปสรรคการพัฒนาประชาธิปไตย"
วันพฤหัสบดี ที่ 26 ธันวาคม 2556 สหพันธ์ประชาชนเสรีเพื่อประชาธิปไตย ได้จัดเวทีสัมมนาวิชาการ ครั้งที่ 1  ในหัวข้อ “รัฐบาลพระราชทาน สภาประชาชน อุปสรรคการพัฒนาประชาธิปไตย : ประชาชนไทยต้องการเลือกตั้ง” ณ อาคารขวัญมอ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยเป็นการร่วมจัดกิจกรรมระหว่าง 2 องค์กร คือ สหพันธ์ประชาชนเสรีเพื่อประชาธิปไตย (สปป.) และ สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย (สปป.) ซึ่งมีนักวิชาการร่วมอภิปรายทั้งหมด 4 คน ได้แก่ 
  • 1.อาจารย์ ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 
  • 2. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมชัย ภัทรธนานันท์ อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 
  • 3.รองศาสตราจารย์ ดร.บัวพันธ์ พรหมพักพิง อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 
  • 4. รองศาสตราจารย์ ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีประชาชนชาวจังหวัดขอนแก่น และจังหวัดใกล้เคียงให้ความสนใจร่วมรับฟังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก


                 นักวิชาการทั้ง 4 ท่านมีความเห็นร่วมกันว่าหากไม่มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ตามกำหนดการเดิม อาจจะนำไปสู่เงื่อนไขให้เกิดความรุนแรงได้ เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ต้องการการเลือกตั้ง นอกจากนี้ได้นำเสนอผลวิจัยที่ชี้ว่าคนชนบทมีความตื่นตัวทางการเมืองและมีความเข้าใจประชาธิปไตยมากกว่าคนชั้นกลาง และเกิดความหวังการเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยที่โดยมีคนชั้นล่างเป็นตัวแสดงที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลง

 
ปิยะบุตร แสงกนกกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  มองว่า ในทางรัฐธรรมนูญถ้ากล่าวอย่างเคร่งครัด นายกรัฐมนตรีล้วนต้องมาจาการพระบรมราชโองการแต่งตั้งทั้งสิ้น แต่ต้องมาจาการกติกาที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้ แต่ว่าในทางเป็นจริงที่สิ่ง ม็อบ กปปส. ต้องการคือการได้มาซึ่งรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เขาเห็นว่า นักวิชาการหลายท่านได้เสนอวิธีการหลายครั้งออกสื่อสาธารณะ โดยอธิบายวิธีการที่สามารถทำให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งพ้นไปจากการักษาการ ข้อเสนอดังกล่าวเป็นข้อเสนอที่เป็นไปไม่ได้ในทางการเมืองและรัฐธรรมนูญ

“มีการเสนอให้นายกรัฐมนตรีลาออก แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้เปิดช่องไว้ ก็เสนอให้นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลาพัก โดยกตัวอย่างกรณีคุณทักษิณ ในปี 2549 แต่ไม่มีหนทางใดเลยที่จะเปิดให้มีนายกรัฐมนตรีจากระบวนการนอกระบบเข้ามารับตำแหน่งได้ นี่คือสาเหตุที่กลุ่ม กปปส. ดำเนินการชุมนุมโดยมุ่งให้เห็นเกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลนอกแนวทางกติกาประชาธิปไตยแทน”

การดำเนินการเช่นนี้ มีการตั้งธงไว้ก่อน ขั้นตอนต่อมาคือการที่เนติบริการจะเข้ามาจัดการอธิบายให้เอง สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าคนที่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญ 2550 กลับต้องเป็นฝ่ายที่รักษารัฐธรรมนูญ แต่คนที่ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเองกลับพยายามจะละเมิดรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องหานายกรัฐมนตรีคนกลางมารักษาการ อันเป็นไปตามกติกาที่มีอยู่ คนที่ไม่เคยเคารพกติกา ก็จะก่อความวุ่นวายเช่นนี้เรื่อยๆ ดังนั้นรัฐบาลพระราชทานไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เราจึงสามารถสังเกตได้จาการเปลี่ยนข้อเรียกร้องของ กปปส. ที่กลับตัวมาเสนอข้อเรียกร้องที่เป็น สภาประชาชน แทน

อย่างไรก็ตาม วิกฤติการเมืองครั้งนี้สามารถพิจารณาได้จากวิธีการต่อสู้เริ่มจาก การชุมนุมในปี 2549 ส่งผลให้รัฐบาลพรรคไทยรักไทยยุบสภาผู้แทนราษฎรและจัดการเลือกตั้งในปี 2549 การเลือกตั้งเกิดขึ้นท่ามกลางการบอยคอตของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ก่อนจะมีพระราชดำรัส 2 องค์ คือการพระราชทานพระราชดำรัสเรื่อง การพระราชทานายกรัฐมนตรีตาม มาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญไม่สามารถใช้ได้ และพระราชดำรัสว่าพรรคการเมืองเดียวใช้ไม่ได้ ก่อนที่พระองค์จะตรัวให้ศาลเข้าไปตรวจสอบปัญหาดังกล่าว จนนำมาสู่การจำคุก กกต. 3 ท่าน และมีการแต่งตั้ง กกต. ชุดใหม่ขึ้นมา ก่อนที่ศาลจะสั่งให้เลือกตั้งในปี 2549 เป็นโมฆะ แล้วเข้าสู่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เกิดการยุบพรรคไทยรักไทยและตัดสิทธิ์นักการเมือง พร้อมกับการร่างรัฐธรรมนูญ 2550  มีการประชามติที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เพื่อหวังว่าจะมีการล้มขั้วอำนาจเดิมแต่ทว่าการเลือกตั้งครั้งนั้นพรรคพลังประชาชนชนะ คุณสมัครผลักดันรัฐธรรมนูญ และเกิดข้อพิพาทเรื่องเขาพระวิหาร มีการยึดสนามบิน และตั้งรัฐบาลค่ายทหาร ฯลฯ ทั้งหมดเป็นส่วนสำคัญในวิกฤตการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน

ดังนั้นจึงสะท้อนการปะทะของพลังทางการเมือง 2 ฝ่าย คือฝ่ายที่มีหลังอิงที่การเลือกตั้ง และพลังจารีตประเพณีสมัยเก่า การต่อสู้ตลอด 8 ปี พิสูจน์ว่าชนชั้นนำได้ใช้กลไกต่างๆเข้ามาจัดการฝ่ายที่หลังอิงการเลือกตั้งมาโยตลอด แต่ทว่าการใช้วิธีการเดิมจัดการไม่สำเร็จ สิ่งเหล่านี้น่าคิดว่าทุนทางวัฒนธรรมของฝ่ายจารีตสูงมากแต่กลับไม่ใช้ เพื่อเล่นเกมส์ในระบบ สิ่งนี้ทำให้ฝ่ายเลือกตั้งเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามการเดินเส้นทางนี้ของชนชั้นนำก็นับเป็นอันตรายต่อคนทั้งสังคม ฝ่ายอนุรักษ์นิยมชนชั้นนำต้องทบทวนว่าสิ่งที่ทำอยู่มันคือวิธีการนอกกติกา ปัญหาประการต่อมาคือการชุมนุมทางการเมือง กปปส. ที่สามารถปฏิบัติการได้อย่างไร้ของเขต สิ่งเหล่านี้ถูกสร้างผ่านการสร้างเรื่องสันติวิธีหรือการชุมนุมโดยสงบ โดยมีสื่อมวลชนเล่นบทบาทดังกล่าว ซึ่งหลักการดังกล่าวไม่ถูกนำมาใช้ในมาตรฐานเดียวกันระหว่างการชุมนุมของ กปปส. และการชุมนุมของคนเสื้อแดง

อย่างไรก็ตามวิธีการดังกล่าวไม่มีหนทางที่สามารถก่อให้เกิดการเลื่อนการเลือกตั้งได้ โดยสามารถทำได้โดยอ้างสถานการณ์พิเศษ หรือสถานการณ์ยกเว้น ที่หวังว่าจะมีความจำเป็นจนบีบให้กฎหมายให้สามารถทำได้ การเคลื่อนไหวในลักษณะนี้จึงเป็นการทำให้เกิดความวุ่นวายตลอดเวลาเพื่อให้เกิดความจำเป็น โดยอาศัยเงื่อนไขของภาวะที่เกิดความรุนแรง ในแง่นี้อำนาจนอกระบบจะสำแดงเดช เพียงแต่ในขณะนี้เงื่อนไขยังไม่สุกงอมเพียงพอ ดังนั้นการรักษาการของคุณยิ่งลักษณ์จึงหมายถึงการรักษาระบอบประชาธิปไตย ซึ่งไม่ใช่เพียงการรักษาตำแหน่งเท่านั้น การอ้างว่าจัดการทักษิณ โดยเสนอว่าชนชั้นนำต้องตระหนักถึงการใช้วิธีการจัดการนอกระบบของตัวเองว่าไม่สำเร็จ แต่มีทางเดียวเท่านั้นคือต้องสู้ในกติกา เพื่อสร้างความชอบธรรม เนื่องจากฐานความชอบธรรมของโลกปัจจุบันมาจากการเลือกตั้ง

พร้อมกันนั้น นักวิชาการจากกลุ่ม นิติราษฎรเห็นว่าสภาประชาชนของม็อบ กปปส.มีวิธีการ โครงสร้างและองค์ประกอบคล้ายกับสภาของระบอบฟาสซิสต์ ของอิตาลี โดยสร้างภาวะให้เกิดผู้นำเดี่ยว โดยมีลักษณะ 4 ประการ คือ 1. ไม่เอารัฐสภา และโจมตีระบบผู้แทน เปลี่ยนเป็นการใช้ผู้แทนจากสภาวิชาชีพต่างๆที่รับใช้รัฐบาลฝ่ายขวาและสถาปนาสภาที่ไม่ยึดโยงกับอำนาจของประชาชน  2.ไม่เอาเสรีนิยม ไม่ให้ใครคิดต่าง และสร้างศัตรูร่วมกัน เช่น ฮิตเลอร์ เขาชี้ไปที่ชาวยิวว่าเป็นปัญหาในการสร้างชาตินิยมเพื่อสร้างเอกภาพของขบวนการ 3. ไม่เอาปัจเจกชน ซึ่งลักษณะเช่นนี้คนต้องถูกนำโดยท่านผู้นำและชูธงชาตินิยม 4. สนับสนุนบริษัทนิยมเพื่อสร้างฐานอำนาจ สภาประชาชนของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณมีลักษณะไม่แตกต่างกันในแง่นี้ ซึ่งมีกลุ่มชุดดำก่อความวุ่นวาย จนผู้นำเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่ ทว่าพระมหากษัตริย์กลับไปสนับสนุนกลุ่มคนชุดดำของมุสโสลินี เพื่อนำไปสู่เป้าหมายเผด็จการฟาสซิสม์ในที่สุด

 
สมชัย ภัทรธนานันท์ จากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เห็นว่า สิ่งแรกที่รู้สึกในช่วงไม่กี่วัน ถ้าพูดเป็นภาษาอีสานคือ “เบิดความสิเว้า” สิ่งที่หดหู่ใจในศตวรรษที่ 21 ณ ประเทศไทย คือคำถามว่าทำไมเรายังต้องมาพูดกันว่าประชาธิปไตยกับการเลือกตั้งเป็นของคู่กัน สิ่งที่หดหู่ใจมากกว่า คือ การที่เห็นคนออกมาเป็นผู้นำการชุมนุม ซึ่งเป็นคนที่มีการศึกษา และถูกอธิบายว่าเป็นชนชั้นที่สนับสนุนกระบวนการประชาธิปไตย การที่ผู้นำของ กปปส.มี ประกาศใช้ยุทธวิธีที่ปฏิเสธประชาธิปไตยและต้องการจะล้มการเลือกตั้ง ที่น่าตระหนกคือเมื่อประกาศแล้ว เหมือนกับว่าสังคมไทยเงียบกริบ ทุกคนต่างฟังแล้วทำตาปริบๆ

อย่างไรก็ตาม สังคมไทยยังมีพลังทางศีลธรรมของประชาธิปไตยและพลังทางอำนาจอยู่ สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย คือกลุ่มคนไม่มีอำนาจ มีเพียงพลังทางปัญญา ถือว่าเป็นพลังทางศีลธรรมของแผ่นดิน สังคมไทยยังพอมีความหวัง ปัญหาของผู้รักประชาธิปไตยคือ การประกาศของสุเทพ เทือกสุบรรณเป็นการประกาศแบบไม่กระมิดกระเมี้ยน สามารถกล้าพูดได้ว่า คนไทยต้องไม่เท่าเทียมกัน ถ้าทบทวนประวัติศาสตร์ แต่ก่อนการออกมาประท้วงต้องใช้เสื้อเกราะประชาธิปไตย แต่วันนี้การประกาศว่าไม่เอาวิธีการทางประชาธิปไตยสามารถทำได้อย่างโจ่งแจ้ง

สิ่งเหล่านี้สะท้อนภาพของการพัฒนาที่ไม่เท่าเทียมกัน การจัดการทรัพยากรที่ไม่สามารถยกระดับความเป็นอยู่ของคนในชนบท การพัฒนาที่ไม่ยุติธรรม กรอบคิดนี้พิจารณาจากการที่คนกรุงเทพได้ประโยชน์จากตรงนี้มาก ผู้ได้ประโยชน์จากการพัฒนาคือคนกรุงเทพฯ ซึ่งคิดว่าชีวิตของเขาสมบูรณ์แล้ว ฉะนั้นมันต้องเป็นแบบนี้แหละ ต้องไม่เป็นอย่างอื่นได้ เมื่อคนชนบททำอะไรที่กระทบต่อคนกรุงเทพฯ เขาก็จะไม่พอใจ เช่นการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่มีคนชนบทเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ในแง่นี้คนชนบทจึงสนับสนุนพรรคการเมืองที่กระจายการพัฒนาไปยังต่างจังหวัด ทำให้คนกรุงเทพฯรู้สึกเสียผลประโยชน์ ไม่ถูกใจคนกรุงเทพฯ กระทบต่อความสะดวกสบายของเขา และดูแคลนคนชนบทว่าไม่ควรมีสิทธิเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามเขาเห็นว่าเป้าหมายของผู้ที่รักประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง แต่ต้องช่วยกันคิดต่อไปว่าจะพัฒนาประชาธิปไตย เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันในการต่อสู้เพื่อปกป้องความชอบธรรมเอาไว้ ซึ่งคนที่เสียเปรียบทางการเมืองหรือชนชั้นล่างได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ยอมจำนนต่อกระบวนการทำลายประชาธิปไตยของชนชั้นนำ

สมชัยคิดว่า ปรากฏการณ์เหล่านี้ถือว่าเป็นความหวัง เพราะคนเห็นความไม่ยุติธรรม ที่เกิดขึ้นของคนชั้นล่าง คนที่ด้อยการศึกษา หลักการคิดของคนที่เสียเปรียบคือ ทำไมสิทธิของคนทุกคนไม่เท่ากัน ความคิดนี้เข้าไปอยู่ในวิธีคิด ซึ่งเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติทุกครั้งที่เราไปถามเขา คนเรามีสิทธิทางการเมืองเท่ากัน มันยากที่เอาระบอบที่คนไม่เท่ากันมายัดเยียด ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องทวงสิทธิของเขากลับคืนมา แต่การจะแปรเปลี่ยนข้อเรียกร้องนี้ให้เป็นพลังได้ ต้องทำความเข้าใจว่าการเคลื่อนไหวไปข้างหน้ายังหนักหนาสาหัสอยู่ แต่ฝ่ายต่อต้านประชาธิปไตยมีเครื่องมือเยอะ ซึ่งมีสิ่งที่คาดไม่ถึงหลายประการที่กำลังจะเกิดขึ้น สิ่งหนึ่งที่อยากฝากไว้คือ เราเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เช่น “พ.ร.บ.สุดซอย” เมื่อผลักดันแล้ว ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวที่มีความชอบธรรมทางการเมือง แต่เมื่อม็อบ กปปส. เสนอข้อเรียกร้องที่ไม่เป็นประชาธิปไตยกระแสของการต่อสู้ก็ลดลงไป เครื่องเตือนใจของผู้คนที่รักประชาธิปไตยทั้งหลายต้องขบคิด คือในหลายประเทศพิสูจน์แล้วว่า ไม่จำเป็นแล้วที่จะถือว่าคนชั้นกลางเป็นตัวแสดงหลักในการพัฒนาประชาธิปไตย แต่ทว่า คนชั้นล่างได้กลายเป็นตัวแสดงหลักในการพัฒนาประชาธิปไตยแล้วในปัจจุบัน

 
พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า จากประสบการณ์ ต้องฟันธงว่าวันนี้เหตุการณ์มันเปลี่ยนไป แนวโน้มที่ชัดเจนได้ปรากฏตัวขึ้น คู่ขัดแย้ง 2 ค่าย คือ  ชนชั้นนำตามจารีตประเพณี และคนที่ได้อำนาจทางการเมืองจากการเลือกตั้ง ต้องเผชิญหน้ากัน หากมองจากประวัติศาสตร์ทั่วโลก จะพบว่าระบอบจารีตได้ทะยอยหายไปจากระบอบการปกครองและเปลี่ยนมาสู่ระบอบของการเลือกตั้ง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกับความคิดที่เกิดขึ้นไม่ถึง 200 ปี หมายถึง ความคิดที่เชื่อว่า เกิดมาทุกคนเท่ากัน มีสิทธิ มีชีวิต ที่เท่ากัน แต่ในเมืองไทยเกิดขึ้นมาไม่ถึง 100 ปี การต่อสู้จึงไม่สะเด็ดน้ำ

ดังนั้นปัญหาในหลายปีที่ผ่านมาคือการบ่อนทำลายระบบที่กระทบต่ออำนาจประเพณี ก่อนหน้านี้โครงสร้างทางการเมือง ระบบทางการเมืองถูกทำลายให้อ่อนแอ พรรคการเมืองอ่อนแอ เสียงของคนชนชั้นกลางระดับล่าง และคนต่างจังหวัด ได้เข้ามาเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจดังกล่าว ส่งผลให้ชนชั้นนำจงใจทำลายการเมืองแบบเลือกตั้งเช่นนี้ เพราะการเข้าสู่การเมืองผ่านการเลือกตั้ง คนเลือกก็โง่ คนเป็นผู้แทนก็โง่ พอระบบแบบนี้อ่อนแอ จึงมาคอรัปชั่น และโฆษณาชวนเชื่อว่านี่เป็นระบบที่เลว ระบบความเช่นนี้จึงสามารถทำงานผ่านสื่อและอำนาจในการชี้บอก เพื่อสร้างวาทกรรมนักการเมืองมาจากการเลือกตั้งเลว

อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ลักษณะที่ผ่านมาเปลี่ยน เมื่อเกิดวิกฤติทางการเมืองในปี 2540 และเปิดให้นักธุรกิจที่มีฝีมือเข้ามาบริหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ชนชั้นนำต้องการ  การบริหารที่สำเร็จทำให้เกิดรัฐบาลพรรคเดียว เป็นครั้งแรกที่เสียงคนต่างจังหวัดรวมกันเป็นหนึ่ง และไม่ต้องฟังข้าราชการอย่างเดียว เปลี่ยนเป็นการฟังเสียงประชาชนผ่านผู้แทน การเข้มแข็งขึ้นของอำนาจที่มาจากการเลือกตั้งเช่นนี้ สอดคล้องกับที่การเลือกตั้ง ได้กลายเป็นกระแสโลกที่ยอมรับกัน  เป็นกระแสที่เชื่อว่าสิทธิทางการเมืองที่คนเท่ายังกัน ในเมืองไทยแม้จะถูกชนชั้นนำทำลายอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งในปี 2549 ที่ชนชั้นนำประเมินผิด ร่างรัฐธรรมนูญ 2550 แต่ทว่าประชาชนไม่เอาทหารเลือก ทำให้ชนชั้นนำยอมแพ้ระบบเลือกตั้ง และเดินหน้าใช้วิธีการนอกระบบ ดังนั้นในแง่นี้วาทกรรมการปฏิรูปการเมืองจึงหมายถึงวาทกรรมเดียวกันกับนักการเมืองทุจริต เนื้อแท้คือการตัดสินใจคือการไม่ยอมรับการเลือกตั้งของประชาชน

“เขาได้ประโยชน์จากระบบเศรษฐกิจการเมืองแบบนี้มาตลอด ไม่ไปเลือกตั้งก็ไม่กระทบกับชีวิตที่ดีหรือเลวลง เขาได้ประโยชน์จากการพัฒนาที่ไม่เท่าเทียมมาตลอด เขาได้ประโยชน์จากสิทธิทางการเมืองที่ดีกว่ามาโดยตลอด ได้ประโยชน์จากวาทกรรมดังกล่าว เพราะเช่นนี้เขาจึงเห็นว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นรัฐบาลของเขา แต่เห็นเป็นรัฐบาลของคนอื่น ความขัดแย้งนี้จึงรอบด้านไปมากกว่าประเด็นทักษิณ การปฏิรูปเช่นนี้จึงมีเป้าหมายไปที่การสลายอำนาจที่มาจากการเลือกตั้ง ฉะนั้นการเคลื่อนไหวของ กปปส. คือการล้มการเลือกตั้งและไม่คืนให้ประชาชนในระยะเวลาอันสั้น”

อย่างไรก็ตามมีการวางองค์กรอิสระเพื่อคุมนักการเมืองอีกที สิ่งนี้เรื้อรังมานานในสังคมไทย  รัฐประหารฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้พยายามทำลายระบอบประชาธิปไตย มุ่งหวังให้ประชาชนเบื่อหน่ายการเลือกตั้ง ผ่านการสร้างวาทกรรมว่านักการเมืองทุจริตโกงกินมาโดยตลอด แต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ได้สลายวาทกรรมดังกล่าวลงไป ด้วยการกระจายการพัฒนาไปยังชนบท ทำให้เสียงของคนชนบทส่วนใหญ่ ตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น และก่อตัวขึ้นมาเพื่อปกป้องสิทธิในระบอบประชาธิปไตยของพวกเขา เขาเห็นว่าเนื้อแท้สภาประชาชนของม็อบ กปปส. คือการทำลายการเลือกตั้ง เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถเอาชนะทางการเมืองผ่านการเลือกตั้งมาอย่างยาวนาน จึงจำเป็นต้องปลุกระดมคนชั้นกลางให้ดูถูกเกลียดชังคนชนบท ดังนั้นการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ปีหน้า จะเป็นการชี้วัดอนาคตประเทศไทย ว่าจะเกิดสงครามประชาชนหรือไม่

 
บัวพันธุ์ พรหมพักพิง อาจารย์ประจำคณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หลายปีที่ผ่าน มีคำถามมาโดยตลอด ประชาชนพร้อมสำหรับประชาธิปไตยหรือยัง ? เขาได้เสนอผลการวิจัยที่ศึกษาก่อนการเดินขบวนของ กปปส. ข้อสรุปก็คือว่าประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกฎหมายเป็นอย่างดี ซึ่งศึกษากลุ่มตัวอย่างจำนวน 1300 คน ใน 3 จังหวัด ผลปรากฏว่าคนชนบทมีความเข้าใจต่อระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างดีมาก ซึ่งร้อยละ 90 แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไปเลือกตั้งทุกครั้ง และร้อยละ 80 คนชนบท เห็นว่าการเลือกตั้งไม่ได้ชี้ขาดจากการซื้อเสียง รวมถึงร้อยละ 80 ชี้ว่าคนชนบทเข้าใจกฎหมายและกติกาเกี่ยวกับการเลือกตั้งเป็นอย่างดี ผลการศึกษดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าข้อกล่าวหาของม็อบ กปปส. ที่ดูถูกคนชนบทว่าไม่เข้าใจประชาธิปไตย จึงไม่เป็นความจริง

ข้อน่าสังเกตคือว่าในส่วนที่ชาวบ้านตอบไม่ชัด กลับมี 2 ข้อ คือความเข้าใจต่ออำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ และความเข้าใจต่ออำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นผลมาจากการสอบถามเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เมื่อถามว่าประสบการณ์และการรับรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้งเป็นอย่างไร ร้อยละ 20 บอกว่า รับเงินมาจากการเลือกตั้ง แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือคนที่บอกว่าหนีห่างจากซื้อเสียงที่เข้าสู่ระบบอุปถัมภ์ มีจำนวนมากเช่นกันในคนเมือง ข้อสรูปทั้งหมดชี้ว่าคนชนบทมีทัศนคติทางบวกต่อประชาธิปไตยมากกว่าคนในเมือง และไม่ต้องการเผด็จการ เมื่อวิเคราะห์จากว่าเมื่อคนชนบทเข้าใจประชาธิปไตยแล้วทำไม ระบอบประชาธิปไตยจึงไม่เดินไปข้างหน้า ?

บัวพันธ์เห็นว่า 1. คือความตื่นตัวทางการเมืองทั่วไปในสังคมยังไม่เพียงพอ ต้องมีอีกเงื่อนไขหนึ่งคือ 2. ทุนนิยมจารีต ไม่ยอมปล่อยให้เกิดประชาธิปไตยและไม่พร้อมรับระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ที่สิทธิเป็นของปวงชนชาวไทย ซึ่งเป็นผลมาจากประวัติศาสตร์ของกลุ่มทุนอำมาตย์ที่ครอบงำสังคมไทยมาอย่างยาวนาน เมื่อทุนกลุ่มโลกาภิวัตน์ที่เติบโตมาเผชิญหน้ากับทุนจารีต ทำให้ทุนจารีตกังวลการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เคยได้แต่เดิมออกไป  แต่ท่ามกลางกระแสโลกที่สนับสนุนระบอบประชาธิปไตย การเคลื่อนไหวของม็อบ กปปส. ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงกลับไปสู่ระบอบเก่า เพื่อให้ชนชั้นนำกุมอำนาจต่อไปนั้นไม่สามารถทำได้ง่าย เพราะฉะนั้นฝ่ายประชาธิปไตยควรต้องร่วมกลุ่มกันเพื่อยืนหยัดอุดมการณ์ประชาธิปไตย ไม่เช่นนั้นจะถูกกวาดล้างทั้งหมด

นอกจากนี้เขายังเห็นว่าภาคประชาสังคม ที่เกิดขึ้นหลังการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธในทศวรรษ 2520 คนพวกนี้ได้กลายเป็นชนชั้นกลางในเมือง ฉะนั้นเมื่อเกิดวิกฤตทางการเมือง การปฏิเสธนักการเมืองและการเลือกตั้งจึงเป็นค่านิยมร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์นิยม NGOs ที่มีต้นทางจากชนชั้นนำที่กรุงเทพฯ จึงเข้าใจได้ว่า ประชาสังคมไม่สามารถเป็นองค์กรเดียวที่จะนำประชาชนได้อีกแล้ว แต่จะต้องมีองค์กรประชาชนที่มีอุดมการณ์เป็นของตัวเอง ในด้านการพัฒนาประชาธิปไตย
โดยในช่วงท้ายของงานได้มีการอ่านแถลงการณ์ฉบับที่ 6/2556 ของสหพันธ์ประชาชนเสรีเพื่อประชาธิปไตย (สปป.) โดยนายเลื่อน ศรีสุโพธิ์ ประธานสหพันธ์ประชาชนเสรีเพื่อประชาธิปไตย (สปป.)

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

แถลงการณ์  ฉบับที่ 6/2556
“รัฐบาลพระราชทาน  สภาประชาชน  อุปสรรคการพัฒนาประชาธิปไตย  :
ประชาชนไทยต้องการเลือกตั้ง!!!”

             สถานการณ์ปัจจุบัน “กลุ่มกบฏเทพเทือก”  ได้ดิ้นรนเฮือกสุดท้าย  โดยมีมาตรการในการกดดันรัฐบาลรักษาการยิ่งลักษณ์ฯ ให้ “ลาออก” ในทันที..... ด้วยการจัด “เดินขบวน” ทั่วกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 19 – 20 ธันวาคม 2556  และระดมจัดจ้าง “มวลมหาประชาชน” ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ จัดชุมนุมใหญ่ขในวันที่ 22 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา.....แถมยังกระทำการอันเหิมเกริม  บุกปิดสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง  เพื่อสกัดกั้นผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์  ไม่ให้ยืนใบสมัครได้  และ “บุกรุก” เข้าไปขัดขวางทุกวันอย่างต่อเนื่องจนถึงวันนี้....พวกเราถือว่า  เป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน  ชั่วช้าเลวทราม  และขัดขวางเส้นทางการพัฒนาประชาธิปไตยที่ชัดเจนยิ่ง....

             เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า  การที่ม๊อบ “กบฏสุเทพ” จุดติดจนถึงวันนี้  มีกลุ่มบุคคลที่คอย “อุปถัมภ์” อยู่เบื้องหลังอย่างเปิดเผย.....ประสานงานกันเป็นระบบ  เป็น “ขบวนแถวขนาดใหญ่” อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  และพวกมันต่าง “เผยร่าง  ไม่พรางกาย” ต่อไปอีกแล้ว  ไม่ว่าจะเป็น “กลุ่มองคมนตรีและเครือข่าย”  “กลุ่มทหารแก่อกหัก”  “กลุ่มราษฏรอาวุโส” “กลุ่มผู้ดีรัตนโกสินทร์” “กลุ่มอธิการบดี”  “กลุ่มแพทย์ชนบท”  “กลุ่มขุนนาง NGOs”  “กลุ่มประชาสังคม”   และ“กลุ่มอาชีพรับจ้างม๊อบ เช่น พวกพันธมิตรฯ ลิ้มโกเต็ก” เป็นต้น..... ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงพวกเราเรียกพวกมันว่า “กลุ่มพลังอนุรักษ์นิยม / จารีตนิยมขวาจัด” ที่มี “กลุ่มอำนาจนอกระบบเหนือรัฐ”  นั่งผงาดเอิดเลิดอยู่ข้างหลังตลอดเวลาและนิรันดร นั่นเอง.....

           ควรต้องกล่าวในที่นี้ด้วยว่า  ข้อเสนอทางการเมือง “สัปปะรังเค” ที่ให้มีการ “ปฏิรูปก่อน  เลือกตั้งทีหลัง”  เสมือนเป็นเพียง “วาทกรรมอำพราง” เพื่อรอคอยการสร้างกระแส  รอคอยให้กลุ่มองค์กรอิสระหน้าหนา เช่น ปปช. กับ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ  ช่วย “ลงดาบ” จัดการกับรัฐบาลรักษาการยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย (พท.)....หากไม่เกิด “ตุลาการภิวัฒน์” ดังกล่าว  พวก “กบฏเทพเทือก”  จะสร้างความรุนแรงหลังปีใหม่  ก่อกระแสกดดันให้ “กองกำลังติดอาวุธป่าเถื่อน” คือ “ทหาร”  ออกมาทำการ “รัฐประหาร” อีกครั้ง!!!....

             และการที่ “กบฏเทพเทือก” ใช้ “กลไก” ของ “กลุ่มอำนาจนอกระบบเหนือรัฐ” ทั้ง 2 กลุ่มดังกล่าวข้างต้นนั้น   เสมอเป็นเพียงการเคลื่อนไหวให้เกิด “สุญญากาศทางการเมือง” เปิดช่องให้มี “รัฐบาลพระราชทาน” อันจะนำไปสู่การฟื้นฟู “รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใหม่” ตามอุดมการณ์สูงสุดของ “กลุ่มพลังอนุรักษ์นิยม / จารีตขวาจัด” นั่นเอง......

           กระนั้นก็ดี  ล่าสุดรัฐบาลรักษาการยิ่งลักษณ์ฯ มีข้อเสนอผ่าทางตัน  โดยมีมติ ครม. เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2556 เห็นชอบให้ใช้คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี  จัดตั้ง “สภาปฏิรูปประเทศไทย” ดำเนินการ “คู่ขนาน” กับการรณรงค์ให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นไปอย่างเรียบร้อย....และความพยายามแก้ไขปัญหาตลอดมาของนายกฯรักษาการยิ่งลักษณ์  ด้วยการใช้ความอดทน  ใช้สติปัญญา และการดำเนินงานการเมืองที่ผ่านมาทั้งหมด  ก็เป็นวิธีการที่ “อารยะประเทศ” ฝ่ายประชาธิปไตยต่างใช้กันทั่วโลก  ซึ่งสมควรยกย่องให้นายกฯรักษาการยิ่งลักษณ์เป็น “วีรสตรี” ของแผนดินนี้คนต่อไปด้วยซ้ำ.....

              จากที่กล่าวมาทั้งหมด ทาง  คณะทำงานประสานงาน “สหพันธ์ประชาชนเสรีเพื่อประชาธิปไตย” (สปป.) ซึ่งเป็นองค์กรประสานความร่วมมือ “กลุ่มพลังประชาธิปไตย” เพื่อสถาปนา, สร้างสรรค์ “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แท้จริง”  ได้ประเมินสถานการณ์ และมีข้อเสนอต่อสังคมไทย  ดังต่อไปนี้

ข้อเสนอต่อกลุ่มทหาร

        -ขอให้หยุดคิดที่จะใช้ “กองกำลังป่าเถื่อน”  เข้ายึดอำนาจของประชาชน  ด้วยวิธีการ “รัฐประหาร”เพราะวิธีการดังกล่าว “ล้าสมัย” ไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์โลก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ที่ทุกกลุ่มประเทศในโลกนี้  ต้องการ “ประชาธิปไตย” และ “สันติภาพ” เพื่อสร้างสรรค์เศรษฐกิจให้รุดหน้า  เพิ่มพูนโภคทรัพย์ ความอุดมสมบูรณ์ของ “อาหาร”  เพื่อให้ประชาชนไทย “มีกิน มีใช้” และถึงเวลาลืมตาอ้าปากได้เสียที......

ข้อเสนอต่อรัฐบาลรักษาการฯยิ่งลักษณ์

               -สปป. เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการแก้ไขปัญหาทางการเมืองในระยะเฉพาะหน้านี้  ด้วยการใช้คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ประกาศตั้ง “สภาปฏิรูปประเทศไทย”  (เพื่อหาทาง “ลง” ให้ “กบฏเทพเทือก”???...)...แต่ สปป. “ไม่เห็นด้วย” อย่างยิ่ง  ที่กำหนดให้ “คณะกรรมการ 11 คน” อันประกอบด้วย “ขุนทหาร” และบรรดา “ขุนนางเทคโนแครต” มาเป็นผู้สรรหา  คัดเลือก และแต่งตั้ง....เพราะการกระทำเยี่ยงนี้  เป็นการมองไม่เห็น “หัวประชาชน”...สปป.เสนอว่า  “สมาชิก” ทั้ง 499 คน (ทำไมต้องลงท้ายด้วยเลข 9 ? ทำไมไม่ 500 คนเท่ากับ สภาผู้แทนราษฏรไปเลย!!!) ของสภาปฏิรูปฯ นั้น  ต้องมาจากการ “เลือกตั้ง” ของประชาชนโดยตรง แบบ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ก็ได้...เพราะ “ขี้หมูขี้หมา”  การ เลือกตั้งก็ดีกว่าการ “แต่งตั้ง” จากเครือข่าย “เทวดา” ดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง...

ข้อเสนอต่อ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน และกลุ่มพลังประชาธิปไตย ต่าง ๆ
  • 1. ให้ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน  ประสานงาน “กลุ่มพลังประชาธิปไตย” หรือ กลุ่มแดงอิสระ อื่น ๆ จัดทำแผนยุทธศาสตร์เฉพาะหน้า  ด้วยการจัดให้มี “เวทีรณรงค์ให้มีการเลือกตั้ง 2 กุมภา  เดินหน้าประชาธิปไตย” เพื่อสำแดงพลังสนับสนุนระบอบประชาธิปไตย ที่  “ศาลากลางจังหวัด” ในทุกจังหวัด  นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
  • 2. ขอเรียกร้องให้ประชาชน  เสรีชน และผู้รักประชาธิปไตย  ให้รีบเร่งทำการ “จัดตั้ง”  กันเข้าเป็น กลุ่ม, องค์กร แล้วประสานกันเข้าเป็น “เครือข่าย” เพื่อเสริมสร้างให้ “กลุ่มพลังประชาธิปไตย” ให้มีจำนวนมากและเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม  เพื่อเป็นกำลังในการขับเคลื่อน  ผลักดัน “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แท้จริง” ให้เกิดขึ้นในสังคมไทยภายใน 5 ปีข้างหน้า....เพราะประชาชน “รอคอย” ไม่ได้อีกแล้ว....อย่าให้ประชาชนต้องหมดความ “อดทน” เลย....

ขอประกาศจุดยืนของ สปป. และภาคีเครือข่าย ดังต่อไปนี้

  • 1. จะต่อต้านการรัฐประหาร  สภาประชาชน ทุกรูปแบบ
  • 2. ไม่เอารัฐบาลพระราชทาน / รัฐบาลที่มาจาก ม.7 อย่างเด็ดขาด
  • 3. จะเดินหน้าคัดค้าน และต่อต้าน “อำนาจนอกระบบเหนือรัฐ” ที่แทรกแซงทางการเมือง ทุกรูปแบบ
  • 4. จะสนับสนุนและเข้าร่วมผลักดันเพื่อให้เกิด “การเลือกตั้ง 2 กุมภา  เดินหน้าประชาธิปไตย” โดยไม่มีเงื่อนไข

             สุดท้าย สปป. ขอประกาศ “จุดยืน”  ณ  ที่นี้ว่า  สนับสนุนให้มี “การเลือกตั้ง ส.ส.” ก่อน  ภายหลังเมื่อพรรคเพื่อไทย (พท.) สามารถกลับมาจัดตั้ง “รัฐบาลชุดใหม่” จึงดำเนินการ “ปฏิรูปการเมืองการปกครองไทย”  ให้เป็น “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แท้จริง”   ซึ่งทาง สปป. จะได้ทำ “ชุดข้อเสนอ” ที่เกิดจากผลิตผลทางความคิดที่ “ตกผลึก” จากการเข้าร่วมเคลื่อนไหวและพัฒนาสังคมกับพี่น้องชาวบ้าน, นักวิชาการ, ปัญญาชน, เสรีชน และผู้รักประชาธิปไตย  และเข้าร่วมผลักดันกระบวนการ “ปฏิรูปการเมืองการปกครองไทย” ครั้งใหม่ดังกล่าวอย่างถึงที่สุด

แผนยุทธศาสตร์เฉพาะหน้านี้   ทาง สหพันธ์ประชาชนเสรีเพื่อประชาธิปไตย (สปป.) จะจัดกิจกรรม ดังนี้

  • 1. จัดแถลงข่าว  การจัดตั้ง สหพันธ์ประชาชนเสรีเพื่อประชาธิปไตย (สปป.) อย่างเป็น “ทางการ” ในวันที่ 4 มกราคม 2557  ที่  จ.ขอนแก่น
  • 2. จัดเวทีเสวนาวิชาการสาธารณะ สปป. ครั้งที่ 2  ร่วมกับ สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย (สปป.) ในวันที่ 12  ธันวาคม 2557  ที่  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  จ.เชียงใหม่
  • 3. จัดเวทีเสวนาวิชาการสาธารณะ สปป. ครั้งที่ 3  ร่วมกับ สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย (สปป.) ในวันที่ 24  ธันวาคม 2557  ที่  มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี  จ.สุราษฎร์ธานี
  • 4. จัดเวทีชุมนุมใหญ่รวมประชาชน เสรีชน และผู้รักประชาธิปไตย ทั่วประเทศ เพื่อรณรงค์ประชาธิปไตย ให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.  “2  กุมภา  เดินหน้าประชาธิปไตย” และนำเสนอ “ชุดข้อเสนอปฏิรูปโครงสร้างการเมืองการปกครองไทย” ต่อ นายกฯรักษาการยิ่งลักษณ์ฯ และ“หัวหน้า” พรรคการเมืองทุกพรรคที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง  ในระหว่างวันที่ 24 – 25 มกราคม 2557  สถานที่จะแถลงข่าวให้สาธารณะทราบต่อไป


ประชาชน  เสรีชน  ผู้รักประชาธิปไตย  ต้องไปเลือกตั้ง !!!

สหพันธ์ประชาชนเสรีเพื่อประชาธิปไตย (สปป.)

26  ธันวาคม  2556

สุเทพระดมหลังปีใหม่ยึด กทม.เบ็ดเสร็จ-หวังได้อำนาจรัฐเป็นรัฏฐาธิปัตย์


สุเทพระดมหลังปีใหม่ยึด กทม.เบ็ดเสร็จ-หวังได้อำนาจรัฐเป็นรัฏฐาธิปัตย์
             สุเทพ เทือกสุบรรณ ขอบคุณ กกต. ที่กล้าหาญเสนอเลื่อนเลือกตั้ง พร้อมนัดหมายหลังปีใหม่ยึดกรุงเทพฯ เบ็ดเสร็จเด็ดขาด คน กทม. ที่ไม่สบายใจให้ไปต่างจังหวัด ให้เหลือแต่คนไล่ระบอบทักษิณ ยึดอำนาจคืนได้จะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ตั้งรัฐบาล-ตั้งสภาประชาชน เล็งดำเนินคดี ศอ.รส. - ธาริตหลังปีใหม่
สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ปราศรัยเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2556 (ที่มา: Blue Sky Channel)

กปปส.ไว้อาลัยผู้เสียชีวิตจากเหตุปะทะดินแดง
27 ธ.ค. 2556 - เมื่อเวลา 20.00 น.ที่เวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ได้จัดพิธีไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ความรุนแรงที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ที่ผ่านมา
จากนั้นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ขึ้นเวที ปราศรัยกับผู้ชุมนุมว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อปี 2553 และเหตุการณ์ที่สูญเสียเมื่อวานนี้ มีกลุ่มบุคคลที่ตั้งใจให้เกิดเหตุฆ่ากันระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ ทั้งน้องวสุ สุฉันทบุตร และดาบตำรวจที่เสียชีวิต เป็นเหยื่อของระบอบทักษิณ ซึ่งเราจะต้องคิดบัญชีกับระบอบทักษิณ ไม่ใช่มาคิดบัญชีกับประชาชน
ผมอยากจะกราบเรียนผ่านเวทีนี้ถึงพี่น้องประชาชนทั้งประเทศว่า คนที่บาดเจ็บคนที่เสียชีวิต ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม พวกเราเสียใจกันทั้งนั้น และเราหลีกเลี่ยง เราตั้งใจที่จะไม่ให้เกิดขึ้น มวลมหาประชาชนทั้งหลายจึงได้ยึดแนวทางต่อสู้ที่สันติ สงบ ปราศจากอาวุธ และเราได้ยึดถือแนวทางนี้ในการต่อสู้ตลอดมา แม้กระทั่งเมื่อวานนี้ ขณะเกิดเหตุเมื่อวานนี้มีสื่อมวลชนอยู่กับฝ่ายประชาชนมากมาย กระจายกันอยู่กับประชาชนเกือบทุกกลุ่มไม่ปรากฏว่ามีผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับใด หรือของโทรทัศน์ ที่เห็นว่าประชาชนมีอาวุธ ถ้ามีต้องถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอได้ มิหนำซ้ำผู้สื่อข่าวถูกยิงพร้อมกับที่ประชาชนถูกยิงด้วยซ้ำไป
 เชื่อมีตำรวจปลอมเข้ามาร่วม สตช.ต้องไปสืบ
เหตุที่เกิดขึ้น ต้องมีตำรวจปลอมเข้าไปร่วมกับตำรวจจริง แต่จะไปโดยตำรวจจริงรู้ด้วยหรือไม่รู้ผมไม่ทราบเพราะภาพที่ปรากฎในคลิปวีดีโอที่เรานำมาแสดงเมื่อวานเห็นชัดเจนว่าที่ตำรวจเข้าไปทุบรถของอาสาสมัครพยาบาลของเรานั้น ไม่น่าที่จะเป็นการกระทำของตำรวจจริงที่มีนโนธรรม เป็นการกระทำของสัตว์ร้ายที่แฝงตัวมาในเครื่องแบบของตำรวจ ถึงวันนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีหน้าที่ไปสืบมาไปสอบสวนมาว่าใครปล่อยให้ตำรวจปลอมเข้าไปปนอยู่กับตำรวจจริง และกระทำต่อประชาชนจนเกิดความเสียหายย่อยยับเหมือนเมื่อวานนี้
 ขอบคุณไทยรัฐที่แก้ไขกรณีลงรูปเก่าปี 2551 โชคดีสุริยะใสจำได้
และวันนี้นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี ออกมาแถลงกล่าวหาว่าผมเอาข้อความเท็จมาพูดบนเวที มาบอกกับพี่น้องว่า รูปของประชาชนคนหนึ่งที่ถือปืนพกสั้นแล้วทำท่ายิงไม่ใช่เรื่องที่ฝ่ายรัฐบาลได้เอามาพูด
ผมก็จะบอกอย่างนี้ครับว่าวันนี้สู้กันระหว่างฝ่ายประชาชนกับระบอบทักษิณ การที่เมื่อวานมีเหตุปะทะ มีคนเจ็บ คนตาย และเมื่อมีการเอาภาพนั้นใส่เข้าไปในสื่ออออนไลน์ ฝ่ายไหนได้ประโยชน์ฝ่ายนั้นแหละคือคนทำ มีคนเชื่อมากกว่าผู้ชุมนุมมีอาวุธแต่ที่ผมเดินใกล้รถขยายเสียง ไม่มีรถคันไหนที่เหมือนรถขยายเสียงในภาพที่เห็น ขอให้ทุกเวทีไปช่วยตรวจสอบ และโชคดีที่คุณสุริยะใส กตะศิลา จำได้ว่าภาพนี้เกิดเมื่อปี 2551 ไม่ใช่ภาพเหตุการณ์เมื่อวาน เพราะฉะนั้นฝ่ายที่เอาความเท็จมาพูดไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นฝ่ายรัฐบาลของระบอบทักษิณ
ผมต้องขอบคุณหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ที่เขาพลาดพลั้ง เอารูปนั้นปนผสมขึ้นหน้าหนึ่งทำให้คนเข้าใจผิด และเมื่อหนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้ทราบข้อเท็จจริง ได้ตรวจสอบแล้วว่าเป็นความเท็จ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้ขอโทษประชาชน พวกเรายินดียกโทษให้ และขอบคุณที่คุณกล้ารับผิด ในขณะที่สื่อมวลชนอย่างหนังสือพิมพ์ไทยรัฐยอมรับความจริงขอโทษประชาชน มีแต่พวกดื้อด้าน สมุน บริวาร ระบอบทักษิณ ที่ดันทุรัง โยนความผิดให้กับประชาชนอยู่
เผยมีการจัดทีมพิเศษมาจับแกนนำก่อน 30 ธ.ค. นี้
นายสุเทพ กล่าวด้วยว่า ผมได้ทราบว่า ได้มีการจัดทีมพิเศษที่จะมาจับแกนนำให้ได้ โดยเฉพาะคุณนิติธร ล้ำเหลือ หรือคุณนกเขากับผม และตกลงกันว่าจะต้องจับให้ได้ก่อน 30 ธันวาคมนี้ ผมไม่ว่าครับ จะยกกำลังตำรวจมาสัก 4-5 หมื่น หรือ 5-6 หมื่นคนไม่เป็นไร แต่จะบอกว่าประชาชนของเรามือเปล่าทั้งสิ้น และถ้าจะเอาอาวุธมาทำร้ายประชาชน ผมยินดีให้จับ โดยไม่ต่อสู้ แต่อย่าฆ่าประชาชนของเรา
เพียงแต่จะเรียนให้ทราบว่าการจัดการกับผมคนหนึ่งหรือจัดการกับคุณนิติธร ไม่ได้ทำให้กระบวนการต่อสู้ของประชาชนคราวนี้้ล้มเลิกไปได้ เพราะเมื่อประชาชนหลายล้านลุกขึ้นมาแล้วไม่ถอยอีกแล้ว ไม่กลับบ้านมือเปล่าอีกแล้ว โดยเฉพาะเมื่อลูกหลานของประชาชนต้องมาเสียชีวิต และบาดเจ็บยืนยันได้เลยว่ามวลมหาประชาชนไม่ยอมให้ลูกหลานเสียชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์เด็ดขาดไม่ว่าจะมีผมทำหน้าที่เป็นแกนนำหรือไม่ แต่ผมเชื่อว่าพี่ๆ น้องๆ แกนนำทุกคนที่ยังเหลือและพี่น้องประชาชนทุกคน พร้อมทำตัวเป็นแกนนำ และยืนหยัดต่อสู้ จนกว่าชัยชนะจะเป็นของประชาชน
พวกคุณจะเป็นใครก็ตามที่ยอมเป็นขี้ข้าของระบอบทักษิณ คุณไม่มีวันเข้าใจ จิตใจ ความมุ่งมั่น อุดมการณ์ของประชาชนเพราะคนอย่างพวกคุณเป็นพวกไร้อุดมการณ์ เป็นพวกหนักแผ่นดิน แต่เราประชาชนทั้งหลายได้ตัดสินใจร่วมกันแล้วว่าการต่อสู้คราวนี้ต้องทำให้สำเร็จ จะทำให้ถึงที่สุด และเราจะไม่ยอมให้ระบอบทักษิณมีอำนาจอยู่เหนือประเทศไทยอีกต่อไป
ขอให้ความอาลัย ความโศกเศร้าของเราได้เป็นพลัง เป็นแรงหนุนให้พวกเราทั้งหลาย มีความรักความสามัคคีกันมากขึ้นและเห็นคุณค่าของชีวิต ของผู้บริสุทธิ์ที่ต้องเสียไป และต้องทำให้ดวงวิญญาณของท่านผู้เสียชีวิตเหล่านั้นมีความสุขในสัมปรายภพเพราะพวกเราสืบสานปณิธานของท่านทำการให้สำเร็จ ให้จงได้
ขอบคุณ กกต. ที่ออกแถลงการณ์เลื่อนเลือกตั้ง ขอโทษที่เคยคิดว่าเป็นระบอบทักษิณ
ถือโอกาสนี้ กราบขอบคุณบรรดาคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต.ทุกท่าน ที่เมื่อวานนี้เมื่อเห็นเหตุการณ์รุนแรงท่านกล้าหาญมาก ได้ออกแถลงการณ์เสนอรัฐบาลให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไป ผมได้เคยล่วงเกิน กกต. เพราะประเมินผิด เข้าใจผิด นึกว่าท่านเป็นส่วนหนึ่งของระบอบทักษิณ แต่เมื่อท่านแสดงท่าทีอย่างนี้ ขอโทษท่านต่อหน้าประชาชนและขอบคุณในอุดมการณ์ที่มีด้วยความเคารพจริงๆ
และขอถือโอกาสนี้กราบเรียนไปยัง กกต.จุังหวัดทุกจังหวัดว่าอย่าได้ฝืนใจประชาชนอีกต่อไปเลย เพราะประชาชนไม่ยอมรับให้มีการเลือกตั้งคราวนี้โดยเด็ดขาด ต้องการปฏิรูปประเทศไทยให้เสร็จก่อนถึงจะให้มีการเลือกตั้งตามปกติต่อไป
และประจักษ์ชัดแจ้งแล้วมีคนตาย มีคนบาดเจ็บ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ออกมาแสดงความรู้สึกแม้แต่นิดเดียว เพราะไม่เห็นคุณค่าชีวิตของประชาชน นิสัยเดียวกัน สันดานเดียวกันกับพี่ชายที่หนีไปอยู่ต่างประเทศ
เดินหน้าปฏิวัติประชาชน ปฏิรูปประเทศเป็นระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
พี่น้องทั้งหลาย ไม่มีวันที่เราจะได้รับน้ำใจจากคนอย่างนี้ เพราะฉะนั้นผมจึงกราบเรียนกับพี่น้องว่า เหตุการณ์ทีเกิดขึ้นวานนี้ที่ทำให้ลูกหลานเราต้องเสียชีวิต และบาดเจ็บสาหัสขณะนี้ ต้องทำให้เรายิ่งมีแรงมุมานะต่อไปว่าเราจะต้องยึดคืนอำนาจอธิปไตยคืนจากระบอบทักษิณให้ได้ ผมไม่มีความกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว ผมได้ประกาศชัดเจนแล้วว่าผมจะเดินหน้านำพี่น้องต่อไป ทำการปฏิวัติโดยประชาชนยึดอำนาจอธิปไตยคืนมาเป็นของประชาชนให้ได้
เพราะมีแต่หนทางนี้เท่านั้นที่จะทำให้พวกเราสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าได้ และมั่นใจได้ว่าลูกหลานเกิดมาเป็นเสรีชนไม่ต้องเป็นขี้ข้าเขาทุกคน และเรายืนยันจะไม่เปลี่ยนวิธีการต่อสู้ เรายืนหยัดต่อสู้ด้วยมือเปล่า ยืนหยัดต่อสู้ด้วยสันติ ยืนหยัดต่อสู้ด้วยพลังของมวลมหาชน ไม่ว่ามันจะมีอาวุธร้ายแรงขนาดไหน แต่เรามีหัวใจหลายล้านดวงหลอมรวมกัน สู้เพื่ออนาคตของชาติและแผ่นดินนี้ ไม่มีวันกลัวเกรงทั้งสิ้น
ระดมหลังปีใหม่ ยึดกรุงเทพฯ เบ็ดเสร็จเอาอำนาจอธิปไตยคืน
พี่น้องทั้งหลาย หลังปีใหม่ ผมเรียนกับพี่น้องเลย ให้พ้นปีใหม่ เพื่อให้พี่น้องหลายคนได้มีเวลาที่จะไปสะสางงานการ จะได้ไปดูแลครอบครัวในวาระพิเศษ กลับจากปีใหม่เราจะมาร่วมกันที่นี่เพื่อยึดกรุงเทพฯ และยึดกรุงเทพฯ ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพื่อเอาอำนาจอธิปไตยคืนมาเป็นของประชาชนให้ได้
ขอให้พี่น้องประชาชนที่อยู่ต่างจังหวัดที่ประสงค์เข้ามาปฏิบัติการยึดกรุงเทพร่วมกับพวกเราเตรียมตัวให้เรียบร้อย รอฟังสัญญาณและมาคราวนี้ให้เตรียมเสื้อผ้า ข้าวปลาอาหาร ช่วยตัวเองได้พร้อมที่จะยืนหยัดต่อสู้คราวนี้สู้กันเป็นเดือน สู้กันจนกว่าจะชนะ
สำหรับพี่น้องกรุงเทพฯ ให้รีบสะสางงานการให้แล้วเสร็จภายในช่วงเทศกาลปีใหม่หรือหลังปีใหม่ไม่กี่วัน เพราะหลังจากนั้นเราจะปิดกรุงเทพ เราจะยึดกรุงเทพฯ เราจะไม่เหลือที่แม้แต่ตารางนิ้วเดียวในเมืองหลวงแห่งนี้ให้คนของระบอบทักษิณได้มาอาศัยกดขี่ข่มเหงประชาชนอีกต่อไป
ใครไม่สบายใจให้ไปอยู่ต่างจังหวัด เหลือแต่คนที่มีหัวใจไล่ระบอบทักษิณ
ถ้าพี่น้องชาวกรุงเทพฯ รายใดไม่สบายใจที่จะอยู่ในกรุงเทพฯ ในห้วงเวลานั้น ท่านจะได้มีเวลาขยับขยาย ไปพักกับญาติ กับพี่น้อง ไปพักต่างจังหวัด นั่นแล้วแต่อัธยาศัยของท่าน ให้เหลืออยู่เฉพาะคนที่มีหัวใจร่วมต่อสู้กับมวลมหาประชาชนเพื่อขับไล่ระบอบทักษิณให้สำเร็จให้ได้
ผมส่งข่าวนี้ ส่งสัญญาณนี้ เพราะว่าเรื่องนี้จะต้องเป็นเรื่องใหญ่ จะเป็นเรื่องที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ว่ามวลมหาประชาชนลุกขึ้นยึดอำนาจคืนเป็นของประชาชนด้วยมือเปล่าและมืดฟ้ามัวดินจริงๆ และทำให้สำเร็จให้ได้ เมื่อเรายึดอำนาจได้ เราก็เป็นรัฏฐาธิปัตย์ เราก็จะได้จัดตั้งรัฐบาลของประชาชน จัดตั้งสภาของประชาชน ที่ไม่มีนักการเมือง ไม่มีสมุนบริวารของพรรคการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมุนบริวารของระบอบทักษิณมาเป็นอุปสรรคในการปฏิรูปประเทศไทยอีกต่อไปและเราต้องทำให้สำเร็จ
ถือโอกาสนี้ขอบคุณองค์กรภาคเอกชนทั้งหลาย ที่ได้แสดงท่าทีชัดเจนว่าต้องการปฏิรูปประเทศไทยเช่นเดียวกับมวลมหาประชาชน ขอให้ประชาชนทุกสาขาอาชีพจงได้มาสามัคคีกัน มาทำการนี้ให้สำเร็จเพื่ออนาคตของประเทศไทยของเรา
 กปปส. เยียวยาผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิตจะได้เงินช่วยเหลือหนึ่งล้าน
พี่น้องทั้งหลายสำหรับผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ เรามีกองทุน กปปส. ที่เราได้ถอนเงินมาก่อนที่จะถูกปิดบัญชี วันนี้พอมีเงินเหลืออยู่ เราจะช่วยเหลือเยียวยาทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้้ทั้งผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ คณะกรรมการ กปปส. ได้ประชุมกันแล้ว กรณีที่เสียชีวิตจะให้การช่วยเหลือรายละ 1 ล้านบาท รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย เพราะท่านเป็นเหยื่อสถานการณ์แบบเดียวกับเรา ส่วนท่านที่ได้รับบาดเจ็บ เราจะดูแลค่ารักษาพยาบาลและชดเชยให้ตามสภาพ และคณะกรรมการ กปปส. ตั้งใจดูแลทุกคน ทุกฝ่ายแม้ว่าฝ่ายรัฐบาลจะไม่สนใจใยดีเลยก็ตาม
 หลังปีใหม่จะเริ่มดำเนินคดี ศอ.รส. และธาริตหลายคดี
สำหรับบรรดาสมุนบริวารระบอบทักษิณทั้งหลายคณะกรรมการ กปปส.ได้ระดมบรรดานักกฎหมาย ทนายความผู้มีอุดมการณ์ ได้หารือและปรึกษากันแล้ว จะยกร่างคำฟ้องในการดำเนินคดี และทันทีที่พ้นปีใหม่ก็จะมอบของคดีเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่คนพวกนี้ทุกคน
กรณีแรกเมื่อวานนี้ ที่หน้าสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง เจ้าหน้าที่ตำรวจทุบรถอาสาสมัครพยาบาลโดยจะฟ้องดำเนินคดีกับ ศอ.รส. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. ในคดีพยายามฆ่า ทำให้เสียทรัพย์ ลักทรัพย์ เจ้าของทรัพย์ทุกคนเป็นโจทย์ ส่วนรถมอเตอร์ไซด์ที่ถูกทุบ กปปส. ชดเชยให้ทุกรายและช่วยมาฟ้องคดีด้วยกัน
กรณียิงแก๊สน้ำตาใส่ประชาชน และจับประชาชน 15 ราย และมีการซ้อม ทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ จะมีการฟ้องดำเนินคดีอาญา ต่อ ศอ.รส. ผบ.ตร.ฐานทำร้ายร่างกาย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตาม ม.157 ผู้เป็นโจทก์คือญาติของผู้เสียชีวิตและผู้ที่ถูกจับกุม
กรณีที่สาม นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ดำเนินการตรวจสอบบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน และสั่งอายัดบัญชีแกนนำ กปปส. เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม จะฟ้องอาญาต่อ นายธาริต และดีเอสไอ ในฐานะเป็นเจ้าพนักงาน ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตาม ม.157 จะเพิ่มในข้อหาหมิ่นประมาท ฟ้องทั้งคดีอาญาและแพ่ง
กรณีที่สี่ กรณีที่ธาริต ออกหมายเรียกแกนนำกล่าวหาว่าเป็นกบฏ เราไม่ได้เป็นกบฎเพราะศาลรธน.มีคำสั่งแล้วว่าการชุมนุมเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและเราชุมนุม สงบ สันติ กรณีนี้ธาริตต้องขึ้นศาลทั่วประเทศไทย เพราะแกนนำอยู่ที่ไหนเราก็จะไปฟ้องที่ศาลนั้น นอกจากนี้จะทำเรื่องร้องต่อปปช. ดำเนินคดีร้องเรียนกับปปช.ว่าเจ้าหน้าที่ดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ปปช.สอบสวนดำเนินคดี และไปยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินอีกทางหนึ่งด้วย ทั้งหมดนี้จะทำทันทีที่เป็นวันเปิดหลังปีใหม่
คณะกรรมการกปปส.ปรึกษากันอยู่ว่าอาจจะต้องขอแรงมวลมหาประชาชนให้แต่ละคนลงชื่อในหนังสือร้องทุกข์ ยื่นกับธาริต เพ็งดิษฐ์ก่อน ให้ธาริต เพ็งดิษฐ์ไปดำเนินคดีข้อหากบฎกับยิ่งลักษณ์ และคณะรัฐมนตรีที่ไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าธาริตไม่ดำเนินการ พี่น้องเข้าชื่อได้แสนคน เราก็จะดำเนินคดีกับธาริต แสนคดี ถ้าเข้าชื่อได้ล้านคนก็จะดำเนินการกับธาริตล้านคดี ที่ต้องตัดสินใจอย่างนี้จะได้เป็นอุทธาหรณ์ ให้ข้าราชการคนอื่นที่เป็นขี้ข้าทักษิณ รู้ไว้ว่าเรามวลมหาประชาชนจะสุ้กับคุณทุกรูปแบบที่กฎหมายเปิดทางให้เราทำ ขอให้พี่น้องกอดคอแนวแน่ เคึยงบ่าเคียงไหล่สู้ สู้ข้ามปี ให้ชนะให้ได้

ศาลชี้ ‘ถวิล คำมูล’ถูกยิงตาย19 พ.ค.53 วิถีกระสุนจากด้านจนท.ทหาร


ศาลชี้ ‘ถวิล คำมูล’ถูกยิงตาย 19 พ.ค.53 วิถีกระสุนจากด้านจนท.ทหาร
คำสั่งศาลกรณีไต่สวนการตาย ‘ถวิล คำมูล’ ศพแรก 19 พ.ค.53 ถูกยิงตายใกล้กับแยกศาลาแดง ด้วยกระสุนปืนลูกโดดความเร็วสูงที่ศีรษะ วิถีกระสุนมาจากด้านเจ้าหน้าที่ทหาร แต่ยังไม่ทราบว่าใครลงมือ
27 ธ.ค.2556 ที่ศาลอาญารัชดา ห้อง 909 ศาลมีนัดฟังคำสั่งไต่สวนการตายหมายเลขคดีดำที่ อช. 3/2556 ของนายถวิล คำมูล ซึ่งถูกยิงที่ศีรษะจนเสียชีวิตที่บริเวณจุดจอดรถแท็กซี่อัจฉริยะ บนถนนราชดำริ ข้างสวนลุมพินีใกล้กับแยกศาลาแดง เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53  โดยศาลมีคำสั่งว่านายถวิลเสียชีวิตจากการถูกยิงด้วยกระสุนปืนลูกโดดความเร็วสูงที่ศีรษะทะลุเข้ากะโหลกทำให้เนื้อสมองฉีกขาดมากโดยมีวิถีกระสุนปืนยิงมาจากด้านเจ้าหน้าที่ทหารที่กำลังเคลื่อนกำลังพลเข้ามาควบคุมพื้นที่จากแยกศาลาแดงมุ่งหน้าไปแยกราชดำริ โดยยังไม่ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้ลงมือกระทำอันเป็นการปฏิบัติราชการตามหน้าที่
ศาลได้อ่านรายละเอียดในคำสั่งศาลว่า เมื่อวันที่ 12 มี.ค. – 19 พ.ค. 53 ได้มีการชุมนุมทางการเมืองโดย กลุ่ม นปช. เพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ยุบสภาผู้แทนราษฎรและให้จัดการเลือกตั้งใหม่ แต่นายกรัฐมนตรีปฏิเสธคำเรียกร้องและมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร และออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีพิเศษที่ 1/2553 เพื่อจัดตั้ง ศูนย์อำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือศอฉ.และออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีพิเศษที่ 2/2553 แต่งตั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการ ศอฉ. และแต่งตั้งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมเป็นรองผู้อำนวยการ และให้ทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือนเป็นผู้ปฏิบัติงานในเขตท้องที่ที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทีมีความร้ายแรง ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
ต่อมาวันที่ 19 พ.ค. 53 ศอฉ. ได้มีคำสั่งให้ทหารเข้าปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ผู้ชุมนุมที่อยู่แยกราชประสงค์  โดยให้กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์เข้าร่วมปฏิบัติภารกิจในบริเวณสวนลุมพินี ในเวลา 5.45 น. เจ้าหน้าที่ทหารที่เข้าปฏิบัติภารกิจสวมผ้าพันคอสีฟ้า สติกเกอร์สีชมพูติดอยู่ด้านหลังมีอาวุธประจำกายเป็นอาวุธปืนเอ็ม 16 และอาวุธปืนลูกซองกระสุนยาง  โดยเจ้าหน้าที่ทหารได้รับคำสั่งให้ใช้กระสุนปืนจริงและกระสุนซ้อมรบกับอาวุธปืนลูกซองเมื่อมีเหตุจำเป็น
เมื่อกำลังพลเคลื่อนที่จากแยกศาลาแดงมุ่งหน้าสู่แยกราชดำริ นายถวิล คำมูล ผู้ตายซึ่งอยู่ในลักษณะนั่งยองกับพื้นบริเวณจุดจอดรถแท็กซี่อัจฉริยะตรงข้ามกับอาคาร สก. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์  ถูกยิงด้วยกระสุนปืนลูกโดดจำนวน 2 นัด ที่ศีรษะบริเวณหน้าข้างซ้ายและหัวเข่าขวาด้านหน้า กระสุนปืนดังกล่าวมีทิศทางการยิงมาจากแยกศาลาแดงและมีคนนำตัวผู้ตายนำส่งโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ได้รับการยืนยันว่าผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว  พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ แพทย์นิติเวช และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองได้ร่วมกันชันสูตรพลิกศพว่าสาเหตุการตายเกิดจากบาดแผลกระสุนปืนลูกโดดความเร็วสูงที่ศีรษะทะลุกะโหลกทำให้เนื้อสมองฉีกขาดมาก
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าเหตุและพฤติการณ์การของนายถวิล เป็นอย่างไร ผู้ร้องมีนายดนัยฉัตร แซ่ตั้งเป็นพยานเบิกความว่าในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ  6.00 น. พยานได้เห็นรถหุ้มเกราะของเจ้าหน้าที่ทหารอยู่บนสะพานข้ามแยก พยานวิ่งไปหลบอยู่ที่ด้านหลังบังเกอร์ที่ กลุ่ม นปช. ได้จัดทำขึ้นบริเวณหน้าโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จากนั้นได้มีเสียงปืนดังขึ้นต่อเนื่อง 1 ชุด พยานจึงถอยไปยังอาคารจอดรถด้านหลัง พยานได้เห็นชายใส่เสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์สีฟ้า คือนายถวิล คำมูล ผู้ตาย อยู่ในลักษณะนั่งยองกับพื้น บริเวณจุดจอดรถแท็กซี่อัจฉริยะ ตรงข้ามอาคาร สก. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ หันหน้าไปทางแยกศาลาแดง จากนั้นมีพระภิกษุเดินผ่านหน้าพยาน เมื่อเดินพ้นหน้าพยานไปเห็นนายถวิลล้มลงเนื่องจากถูกยิง จากนั้นก็มีชายวัยรุ่นประมาร 4-5 คน พยายามจะนำถาดไม้เพื่อนำร่างผู้ตายออกมา แต่ก็ถูกยิงจนวิ่งกระจายกันออกไป
นายชัชชัย บริบูรณ์เบิกความว่าในช่วงเช้าวันที่ 19 พ.ค. 53 ได้ยินเสียงปืนจำนวนหลายนัดดังต่อเนื่องเป็นระยะๆ มาจากแยกศาลาแดงและสวนลุมพินีซึ่งมีเจ้าหน้าที่ทหารประจำการอยู่โดยผู้ตายนอนอยู่บริเวณป้ายจอดรถแท็กซี่อัจฉริยะ พยานกับพวกพยายามจะเข้าไปนำศพผู้ตายออกมาจึงถูกยิงที่ต้นแขนขวา ข้อพับแขนขวาและชายโครงด้านขวา
นายวัฒนชัย เอี่ยมนาคเบิกความว่าพยายามเข้าไปนำตัวผู้ตายออกมา มีเสียงปืนดังขึ้นตลอดเวลามาจากแยกศาลาแดง ในสวนลุมพินี และบนตึก สก.  ซึ่งเป็นที่ตั้งประจำการของเจ้าหน้าที่ทหาร  และพยานถูกยิงที่ปีกแขนด้านขวา
นอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของน.ส.กฤษณา แสนปลื้ม และนายกำชัย ศรีทำ ผู้ตรวจสถานที่เกิดเหตุว่า บริเวณจุดจอดรถแท็กซี่อัจฉริยะซึ่งเป็นจุดที่ผู้ตายถูกยิงพบรอยกระสุนปืนที่เสาโลหะป้ายจอดรถซึ่งมีลักษณะกลวงด้านในพบเศษชิ้นส่วนโลหะตกอยู่ ส่งไปตรวจพิสูจน์ที่กลุ่มงานตรวจอาวุธปืนและร่องรอยกระสุนปืน ผลการตรวจพิสูจน์พบว่าเศษโลหะดังกล่าวเป็นเครื่องกระสุนปืนแต่เศษเปลือกกระสุนปืนและเศษตะกั่วลูกกระสุนปืนไม่สามารถยืนยันชนิดและขนาดได้ และนอกจากนี้ยังพบรอยกระสุนปืนบริเวณด้านข้างของเสาที่คอรบด้วยวัตถุคล้ายโลหะของป้ายรถโดยสารประจำทางซึ่งมีป้ายรถแท็กซี่อัจฉริยะรวมอยู่ด้วย เมื่อจำลองวิถีกระสุนปืนโดยการถ่ายภาพย้อนจากแนวร่องรอยกระสุนแล้วพบว่ามีทิศทางการยิงมาจากบริเวณถนนพระราม 4 แยกศาลาแดง มุ่งหน้าสู่แยกราชดำริ
พ.ต.ต. นพ. วิชาญ เปี้ยวนิ่ม แพทย์ผู้ตรวจชันสูตรผู้ตาย ที่ศพพบบาดแผลทางเข้าของกระสุนปืนลูกโดดบริเวณศีรษะส่วนหน้าทางซ้าย ทิศทางจากหน้าไปหลัง ส่วนบนลงล่างของศีรษะ เฉียงจากขวาไปซ้าย ทะลุผ่านกะโหลกศีรษะและเนื้อสมองด้านซ้าย ส่วนอีกจุดหนึ่งเป็นบาดแผลกระสุนลูกโดด ทางเข้าบริเวณเข่าขวาด้านหน้า ทิศทางจากหน้าไปหลัง ส่วนบนลงส่วนล่างซ้ายพบบาดแผลทางออกใต้ข้อพับเข่าขวา ลงความเห็นว่าสาเหตุการตายเกิดจากกระสุนปืนลูกโดดที่ศีรษะทะลุกะโหลดศีรษะทำให้เนื้อสมองฉีกขาดมาก สันนิษฐานว่าเกิดจากกระสุนปืนความเร็วสูง กระสุนปืนดังกล่าวใช้กับอาวุธปืนที่ใช้ในราชการสงครามและจากบาดแผลดังกล่าวทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในทันที
ศาลเห็นว่าผู้ร้องมีพยานปากนายตนัยฉัตร แซ่ตั้งเป็นประจักษ์พยานยืนยันว่าเห็นผู้ตายนั่งยองกับพื้นหันหน้าไปทางแยกศาลาแดง อยู่บริเวณจุดจอดรถแท็กซี่อัจฉริยะตรงข้ามอาคาร สก. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ถูกยิงล้มลงซึ่งสอดคล้องกับเหตุการณ์ตามภาพถ่าย และคำเบิกความของนายวัฒนชัย เอี่ยมนาคซึ่งเป็นผู้ที่พยายามนำร่างของผู้ตายออกมาจากจุดที่ถูกยิง และคำเบิกความของนายชัชชัย บริบูรณ์ เบิกความว่าเห็นศพผู้ตายนอนอยู่ในที่เกิดเหตุเวลาประมาณ 6.00 น.
เมื่อรับฟังประกอบความเห็นของน.ส.กฤษณา แสนปลื้ม และนายกำชัย ศรีทำ ผู้ตรวจสถานที่เกิดเหตุที่ว่าจากการจำลองแนววิถีกระสุนพบว่ายิงมาจากบริเวณถนนพระราม 4 แยกศาลาแดงมุ่งหน้าไปแยกราชดำริและได้ความจากพ.ต.ต.นพ.วิชาญ เปี้ยวนิ่มว่าผู้ตายตายจากการถูกกระสุนปืนลูกโดดที่ศีรษะส่วนหน้าที่มีทิศทางจากหน้าไปหลัง
ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากท่านั่งของผู้ตายตามภาพถ่าย ที่หันไปทางแยกศาลาแดงจะพบว่าบาดแผลทางเข้าของกระสุนที่ศีรษะส่วนหน้า และเข่าขวาด้านหน้าจากแนววิถีกระสุนปืนมีทิศทางมาจากแยกศาลาแดงมีความสอดคล้องต้องกันทั้งจากบาดแผลก็เกิดจากกระสุนปืนความเร็วสูงซึ่งใช้กับอาวุธปืนที่ใช้ในราชการสงคราม เช่น เอชเค 33 เอ็ม 16 ซึ่งมีขนาด .223 หรือ 5.56 มม. ซึ่งเป็นอาวุธประจำกายของเจ้าหน้าที่ทหารที่เข้าปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ ทั้งกระสุนปืนที่เจ้าหน้าที่ทหารใช้ยิงบางส่วนก็เป็นกระสุนจริง พฤติการณ์จึงเชื่อได้ว่ากระสุนปืนที่ยิงผู้ตายถูกยิงมาจากด้านเจ้าหน้าที่ทหารที่กำลังเคลื่อนกำลังพลเข้ามาควบคุมพื้นที่จากแยกศาลาแดงไปแยกราชดำริโดยไม่ทราบแน่ชัดว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำอันเป็นการปฏิบัติราชการตามหน้าที่อยู่นั้น
ศาลจึงมีคำสั่งว่าผู้ตายนายถวิล คำมูล ถึงแก่ความตายที่จุดจอดรถแท็กซี่อัจฉริยะตรงข้ามอาคาร สก. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53 เวลาประมาณ 6.00 น. เหตุและพฤติการณ์แห่งการตายคือถูกยิงด้วยกระสุนปืนลูกโดดความเร็วสูงที่ศีรษะทะลุเข้ากะโหลกศีรษะทำให้เนื้อสมองฉีกขาดมากโดยมีวิถีกระสุนปืนยิงมาจากด้านเจ้าหน้าที่ทหารที่กำลังเคลื่อนกำลังพลเข้ามาควบคุมพื้นที่จากแยกศาลาแดงมุ่งหน้าไปแยกราชดำริ โดยยังไม่ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้ลงมือกระทำอันเป็นการปฏิบัติราชการตามหน้าที่
              ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าสำหรับถวิล และชายไม่ทราบชื่อซึ่งเสียชีวิตบริเวณเดียวกับถวิลนั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี(ในขณะนั้น) ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อกับการเข้าสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ทหารเนื่องจากเลือดได้แห้งหมดแล้ว ผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 18 มี.ค.54 โดยนายสุเทพ ได้ชี้แจงต่อรัฐสภากรณีการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในวันที่ 19 พ.ค.53 ว่า
".. มีคนเสียชีวิตจริงๆ 6 คน นับรวมคนที่เสียชีวิตมาก่อนตอนที่เราเข้าไปถึงตอน 7-8 โมงเช้า เห็นนอนอยู่แล้ว ที่ข้องเต้นที่สวนลุมพินีเลือดแห้งหมดแล้ว 2 คนด้วย.."
(ดูได้จาก VDO Clip นี้ในนาทีที่ 1.25.12 ประกอบ http://www.youtube.com/watch?v=gjrw_GkzewY )
ถวิล คำมูลก่อนและหลังถูกยิง ภาพโดย หงส์ศาลาแดง 
วิดีโอคลิปขณะผู้ชุมนุมเข้าช่วยเหลือนายถวิล แต่กลับถูกยิงซ้ำ

คลิปยืนยันชัดเจน "ตำรวจ" เข้าไปช่วยเหลือข้าราชการ ก.แรงงาน พาหนีตายจนโดนผู้ชุมนุมยิงปืนใส่ได้รับบาดเจ็บ


คลิปยืนยันชัดเจน "ตำรวจ" เข้าไปช่วยเหลือข้าราชการ ก.แรงงาน พาหนีตายจนโดนผู้ชุมนุมยิงปืนใส่ได้รับบาดเจ็บ


           เปิดภาพความจริง จากกรณีที่มีข่าวใส่ร้าย "ตำรวจ" โดยผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นข้าราชการกระทรวงแรงงาน ว่าตำรวจไม่ได้เข้าไปช่วยข้าราชการในกระทรวงแรงงานเลยสักคน หายไปหมด มีแต่ม็อบผู้ชุมนุมช่วยข้าราชการในกระทรวงแรงงาน แต่ตำรวจไปฆ่าทำร้ายผู้ชุมนุมนั้น

            คลิปนี้ เป็นหลักฐานยืนยันชัดเจน ข้าราชการคนนั้นโกหก เพราะในกระทรวงแรงงานนั้น มีแต่ตำรวจปราบจราจลที่เข้าไปอยู่ในกระทรวงแรงงานช่วยเหลือข้าราชการยันม็อบเอาไว้


           ในคลิปดังกล่าว เป็นภาพถ่ายไปยังหน้าประตูกระทรวงแรงงาน กำแพงสนามกีฬาอยู่ขวามือ และกำแพงที่ข้าราชการปีนหนีตายไปด้านนอกนั้นอยู่ด้านซ้ายมือ ตำรวจปราบจราจลให้ข้าราชการออกไปทางด้านซ้าย และตัวตำรวจไปยืนผลักดันผู้ชุมนุมเอง ที่ด้านหน้าประตู มีรถตำรวจเป็นจุดกำบัง จนโดนฝ่ายผู้ชุมนุมยิงเข้ามาด้วยอาวุธปืนจนบาดเจ็บ ต้องพาขึ้นรถพยาบาลวิ่งออกไป

             ดังนั้นที่ข้าราชการกระทรวงแรงงาน "คนหนึ่ง" เขียนว่าไม่มีตำรวจช่วยเหลือเลยสักคน จึงเป็นการบิดเบือนอย่างรุนแรง และยิ่งหากบอกว่าม็อบมาช่วยเหลือข้าราชการ แต่ตำรวจทำร้ายผู้ชุมนุม ก็ยิ่งเป็นการบิดเบือนที่น่าสมเพชมากที่สุด

           หากเป็นข้าราชการแล้วไม่รู้เลยว่า ใครคือผู้บุกรุกผิดกฏหมาย ใครคือผู้ปกป้องภัยให้ตัวเอง ก็ไม่สมควรเป็นข้าราชการอีกต่อไป เพราะประเทศชาติจะวิบัติด้วยข้าราชการโง่เยี่ยงนี้

ภาพรถตำรวจที่สนามไทย-ญี่ปุ่น รูกระสุนพรุน


ภาพรถตำรวจที่สนามไทย-ญี่ปุ่น รูกระสุนพรุน









ระยำไม่หยุด! กปปส. ตัดน้ำตัดไฟ ป่วนผู้สมัครรับเลือกตั้งภาคใต้ เลืยนแบบปิดล้อมกกต.กรุงเทพฯ


ระยำไม่หยุด! กปปส. ตัดน้ำตัดไฟ ป่วนผู้สมัครรับเลือกตั้งภาคใต้ เลืยนแบบปิดล้อมกกต.กรุงเทพฯ
          กปปส. ยกปิดล้อมสถานที่รับสมัครเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขต ทำให้ไม่มีผู้เข้ารับสมัคร ส.ส.ในวันนี้ ด้านผอ. กกต หางโผล่ อ้างหากไม่ความปลอดภัยในชีวิตเจ้าหน้าที่พร้อมปิดการรับสมัคร


กปปส.ชุมพร ปิดประตูเข้าออกสถานที่รับสมัคร ห้ามผู้สมัคร-เจ้าหน้าที่ เข้าออก พร้อมตัดน้ำตัดไฟทั้งหมด / ภาพข่าว ทิวา (ไทยรัฐ)

            28 ธันวาคม 2556 go6TV - เมื่อเวลา 08.30 น. ที่ผ่านมาบริเวณอาคารโรงยิมเนเซี่ยมสนามกีฬากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นสถานที่เปิดรับสมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต ทั้ง 6 เขตเลือกตั้งของจังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นวันแรก ยังไม่มีใครเดินทางมาสมัครแต่อย่างใด นายอวยชัย อินทร์นาค รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้เดินทางมาสังเกตการณ์ ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีผู้ต้องการสมัครคนใดเดินทางเข้ามาสมัครได้

            โดยสถานที่รับสมัครมีเจ้าหน้าที่ตำรวจปิดกั้นประตูทางเข้า ทั้ง 2 ด้าน เนื่องจากด้านนอกอาคารมีกลุ่ม กปปส จำนวนหนึ่งพร้อมรถติดเครื่องขยายเสียงมาทำการปิดล้อมสถานที่รับสมัครพร้อม เปิดเวทีปราศรัยกล่าวโจมตีการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชน 1 กองร้องเข้าดูแลประจำการณ์ในจุดดังกล่าวแล้ว

            ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ล่าสุดขณะนี้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้ ประกอบไปด้วย จังหวัดกระบี่จังหวัดพังงา จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดภูเก็ต จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดชุมพร จังหวัดยะลา จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดนราธิวาส


กลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.ยะลา เดินทางมาชุมนุมที่หน้าศาลากลางจังหวัดยะลา ห้ามผู้สมัคร-เจ้าหน้าที่ เข้าออก พร้อมตัดน้ำตัดไฟทั้งหมด ไม่ให้ กกต.ยะลา ไม่ให้รับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต

ภาพ กปปส.ยะลาปิดประตูทางเข้า-ออกศาลากลางจังหวัด ปิดทางสมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต

กปปส.ยะลา ปราศรัยโจมตี กกต.ยะลา ห้ามผู้สมัคร-เจ้าหน้าที่ เข้าออก พร้อมตัดน้ำตัดไฟทั้งหมด