|
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: เบื่อเรื่องเขาพระวิหาร
สัปดาห์หลังสงกรานต์ที่ผ่านมา ทั้งข่าววิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์
ต่างก็พากันโหมประโหมข่าวเรื่องศาลโลกและเขาพระวิหาร
แต่สำหรับผมขอบอกตามตรงว่า ข่าวเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก
ไม่มีสาระอะไร และไม่เป็นประโยชน์อะไรต่อประชาชนเลย
ข่าวทั้งหมดที่มีการรายงานเป็นเพียงการเบี่ยงเบนประเด็น
ทำเรื่องที่ง่ายที่สุด
กลายเป็นเรื่องทางเทคนิกทางกฎหมายระหว่างประเทศอันสลับซับซ้อน
เรื่องง่ายอันนี้มีอยู่แต่เพียงว่า ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา
แต่พวกคลั่งชาตินิยมในไทยไม่ยอมรับ อยากได้ปราสาทคืน
หรือถ้าจะจำยอมต้องรับว่าปราสาทเป็นของเขมร
ก็อยากได้ดินแดนที่เป็นพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.ให้เป็นของไทย
ซึงทั้งหมดนี้ถือเป็นเรื่องเหลวไหลของลัทธิชาตินิยม
และไปไม่ได้เลยกับกระแสบูรณาการระหว่างชาติที่จะนำไปสู่ประชาคมอาเซียนในขณะ
นี้
ประเด็นปัญหาเรื่องเขาพระวิหารนี้ มีรากฐานมาจากในสมัยรัชกาลที่ 5
ที่ราชสำนักสยามตัดสินใจยกดินแดนมณฑลบูรพา อันประกอบด้วยเมืองพระตะบอง
เสียมราฐ ศรีโสภณให้กับฝรั่งเศส เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2449 ในขณะนั้น
ฝรั่งเศสเป็นเจ้าอาณานิคมที่ครอบครองกัมพูชา
การยกดินแดนครั้งนี้นำมาซึ่งการปักปันพรมแดนใหม่ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส
ซึ่งทำให้เขตเทือกเขาพนมดงรักกลายเป็นเส้นพรมแดน
คณะกรรมการร่วมระหว่างไทยกับฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ประกอบสนธิสัญญา
ซึ่งในแผนที่นั้น ฝ่ายฝรั่งเศสได้ขีดให้เขาพระวิหารอยู่ในเขตของฝรั่งเศส
โดยฝ่ายสยามก็ไม่ได้ทักท้วง สาเหตุที่ไม่ได้ทักท้วง
เพราะขณะนั้นราชสำนักสยามไม่ได้เห็นความสำคัญของปราสาทหินอันหนึ่งในป่าเขา
ที่ห่างไกล ขณะที่ในประเทศสยามมีโบราณสถานตั้งมากมายจนดูแลรักษาไม่ไหว
นอกจากนี้ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ลัทธิชาตินิยมก็ยังไม่เติบโต
แนวคิดที่ว่าจะเสียดินแดนให้ประเทศอื่นไม่ได้แม้แต่ตารางนิ้วเดียวก็ยังไม่
มี มิฉะนั้น
ราชสำนักสยามคงไม่สามารถที่จะยกดินแดนบูรพาทั้งมณฑลให้ฝรั่งเศสไปได้
หรือถ้าจะอธิบายให้ชัดเจนในอีกด้านหนึ่ง ก็คือ
ในเมื่อสามารถยกดินแดนทั้งมณฑลให้ฝรั่งเศสไปได้
จะมาสนใจอะไรกับปราสาทโบราณสักแห่งหนึ่งที่ชนชั้นนำในกรุงเทพฯไม่รู้จักเลย
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เปลี่ยนแปลงหลังจาก พ.ศ.2475
เมื่อลัทธิชาตินิยมเฟื่องฟูในประเทศไทย
เกิดการสร้างวาทกรรมเรื่องการเสียดินแดนเพื่อปลุกเร้าความรักชาติ
เกิดความเสียดายในดินแดนที่เสียไป แต่เรื่องเขาพระวิหารก็ยังไม่เป็นประเด็น
จนกระทั่ง พ.ศ.2483 รัฐบาลสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม
อาศัยเงื่อนไขที่ฝรั่งเศสแพ้สงครามเยอรมนี
ทำสงครามรุกเข้าไปในกัมพูชาเพื่อยึดดินแดนคืน กรณีนี้จะเรียกกันว่า
สงครามอินโดจีน ซึ่งญี่ปุ่นจะเข้ามาไกล่เกลี่ยให้ทำสัญญาใหม่
โดยให้ฝ่ายไทยได้ดินแดนพระตะบอง ศรีโสภณ และเสียมราฐบางส่วนคืน
ในสถานการณ์นี้เอง ที่ทำให้ฝ่ายไทยได้เข้ายึดเขาพระวิหารไว้
ต่อมาเมื่อสงครามโลกยุติลง ไทยอยู่ในสถานะแพ้สงคราม
ต้องคืนดินแดนให้ฝรั่งเศส แต่ไทยถือโอกาสยึดเขาพระวิหารไว้ไม่คืน
ฝรั่งเศสเมื่อกลับเข้ามาในอินโดจีนก็ถูกต่อต้านอย่างหนักจากขบวนการชาตินิยม
ทั้งในเวียดนาม และกัมพูชา จึงไม่ได้มีโอกาสในการทักท้วงฝ่ายไทย จนในที่สุด
เมื่อกัมพูชาเป็นเอกราชสมบูรณ์แล้ว
สมเด็จเจ้าสีหนุกษัตริย์กัมพูชาจึงได้รณรงค์ขอเขาพระวิหารคืนจากไทย
เมื่อฝ่ายไทยไม่ยินยอมให้คืน กัมพูชาก็ยื่นฟ้องต่อศาลโลก
อันนำมาซึ่งความสัมพันธ์อันร้าวฉานระหว่างสองประเทศ จนถึงเดือนมิถุนายน
พ.ศ.2505 ศาลโลกก็ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา
ไทยจึงต้องยอมถอนทหาร และคืนปราสาทเขาพระวิหารให้กับฝ่ายกัมพูชาไป
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ทั้งในทางประวัติศาสตร์
และในทางกฎหมายระหว่างประเทศ ปราสาทเขาพระวิหารก็เป็นของกัมพูชา
แต่ยังคงมีพื้นที่ 4.6 ตารางกม.บริเวณรอบปราสาทด้านไทย
ที่ถือเป็นพื้นที่ทับซ้อน คือ ทั้งสองประเทศต่างก็อ้างสิทธิ
ซึ่งต้องเข้าใจว่าประเทศที่มีพรมแดนติดต่อกันจำนวนมากในโลก
การมีพื้นที่ทับซ้อนเป็นเรื่องธรรมดา
ไทยก็ยังมีพื้นที่ทับซ้อนกับเพื่อนบ้านประเทศอื่น ทั้งมาเลเซีย ลาว พม่า
แต่ในทางการต่างประเทศ
เป็นแบบแผนในการปฏิบัติในการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้านด้วยการ
ตั้งกรรมการมาปักปันเขตแดนร่วมกัน
และก็วางเฉยเสียกับพื้นที่ที่ตกลงกันไม่ได้
หรือหลายประเทศก็ใช้วิธีกำหนดเขตผลประโยชน์ร่วมกัน
การทำสงครามเพื่อช่วงชิงดินแดนให้เด็ดขาดในระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ปัจจุบันถือเป็นเรื่องอันโง่เขลา ตัวอย่างก็มีมาแล้ว
ในกรณีสงครามอิรัก-อิหร่าน ทำสงครามชิงดินแดนชัตอัลอาหรับราว 10 ตร.กม.
รบกันตั้งแต่ พ.ศ.2523-2531 ประชากรเสียชีวิตในสงครามนับล้านคน
บาดเจ็บอีกหลายล้าน ทรัพยากรสูญเสียไปมากมาย
ในที่สุดต้องสงบศึกและเปิดการเจรจากัน
สำหรับไทยและกัมพูชา หลังจากที่หมางเมินกันมานาน
ก็ได้ฟื้นฟูมิตรภาพและความสัมพันธ์อันดีต่อกัน โดยเฉพาะตั้งแต่สมัยรัฐบาล
พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นต้นมา การค้าระหว่างสองประเทศมูลค่าเพิ่มทวี
พรมแดนระหว่างสองประเทศก็เปิดติดต่อกัน
ปราสาทเขาพระวิหารก็เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
ทั้งกัมพูชาและไทยก็ได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน ภายใต้ความสัมพันธ์อันดีนี้เอง
กัมพูชาก็ได้เสนอให้เขาพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
เพื่อพัฒนาแหล่งโบราณสถาน ทางฝ่ายไทยก็ตกลงทำแถลงการณ์ร่วมเมื่อ พ.ศ.2551
ในหลักการที่จะได้รับผลประโยชน์ทั้งสองฝ่ายโดยไม่ขัดแย้งกัน
แต่ปรากฏว่า
ฝ่ายพันธมิตรและพรรคประชาธิปัตย์ได้ถือโอกาสนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นทางการ
เมือง เพื่อล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชน โดยหยิบเอาเรื่องแถลงการณ์ร่วมมาโจมตี
คุณนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีต่างประเทศ
ว่าขายชาติและทำให้ไทยต้องเสียดินแดนให้กัมพูชา
และประณามฝ่ายกัมพูชาในการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร
กรณีนี้กลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศทันที
เพราะฝ่ายกัมพูชาปิดเขาพระวิหารทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวฝ่ายไทยเสียหายนับพัน
ล้าน นอกจากนี้ ยังนำมาซึ่งความตึงเครียดตามพรมแดน และการประทะกัน
สร้างความเดือดร้อนอย่างมากแก่ประชาชนในบริเวณพรมแดน
แต่ฝ่ายพันธมิตรก็ไม่ได้สนใจ กลับนำเรื่องแถลงการณ์ร่วมไปฟ้องศาลปกครอง
ในที่สุด
ศาลปกครองก็เข้ามาแทรกแซงอำนาจบริหารการต่างประเทศโดยสั่งให้แถลงการณ์ร่วม
เป็นโมฆะ เพื่อร่วมทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลพลังประชาชน
ทั้งที่แถลงการณ์ร่วมนั้น
เป็นการดำเนินการมาช้านานโดยฝ่ายกระทรวงต่างประเทศและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยว
ข้อง ไม่ได้เป็นผลงานพิเศษของรัฐมนตรีต่างประเทศแต่อย่างใด
คำตัดสินของศาลปกครองขณะนั้น จึงสร้างความเสียหายทางการเมือง
และการต่างประเทศอย่างมาก และกรณีนี้เอง
เป็นที่มาให้ฝ่ายกัมพูชายื่นเรื่องต่อศาลโลกให้ตีความดินแดน 4.6 ตร.กม.
ที่เป็นประเด็นอยู่ในปัจจุบัน
ที่อธิบายมา จะเห็นได้ว่า
การรื้อฟื้นเรื่องเขาพระวิหารจนกลายเป็นปัญหาทางการเมืองระหว่างประเทศเช่น
นี้ เป็นการกระทำอันโง่เขลาของฝ่ายพันธมิตรและพรรคประชาธิปัตย์
ที่เอาประเด็นระหว่างประเทศมาเล่นการเมืองภายในจนมั่ว
แล้วยังพยายามปลุกกระแสคลั่งชาติ ให้ไทยเป็นศัตรูกับเพื่อนบ้าน
โดดเดี่ยวตนเองจากอาเซียน และมิตรประเทศตะวันตก เรารู้กันหรือไม่ว่า
เรื่องเขาพระวิหารนี้
ไทยไม่มีผู้สนับสนุนในเวทีการเมืองโลกแม้แต่ประเทศเดียว
สหรัฐกับจีนก็ไม่เคยแสดงท่าทีสนับสนุน ยิ่งกว่านั้น การพิพาทดินแดนเช่นนี้
ก็ไม่สอดคล้องกับการสร้างเอกภาพของภาคีอาเซียน
ดังนั้น
ถ้าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างเป็นจริงต้องเริ่มด้วยการยอมรับในสิทธิของ
กัมพูชา และในส่วนพื้นที่ทับซ้อนก็หาทางพัฒนาร่วมกันอย่างเป็นมิตร
อย่าเอาความสัมพันธ์อันเป็นมิตรดีของประชาชนสองประเทศ
และมูลค่าการค้าหลายพันล้านไปแลกกับพื้นที่ 4.6 ตร.กม. มิฉะนั้นแล้ว
คนรุ่นหลังจะมากล่าวกันได้ว่า
ทำไมคนรุ่นเราจึงทำอะไรที่โง่เขลากันเหลือเกิน |
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น