|
ไม่ใช่นักมวยไล่ชกกรรมการ กรรมการต่างหากที่ไล่ชกนักชกมวย
เห็นข่าวคุณจรัญบอกว่างงที่นักมวยไล่ชกกรรมการ
และก็พูดทำนองว่าไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดเพราะมีงานต้องทำ
ผมก็เข้าใจได้ทันทีว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหลายๆคนกำลังจะจนมุมเข้าทุกทีแล้ว
ใช้คำว่า "จนมุม" ก็ดูจะเข้ากับบรรยากาศดีทีเดียวเพราะเป็นเรื่องหมัดๆ มวยๆ
คุณจรัญ
นับได้ว่าเป็นระดับมันสมองของศาลรัฐธรรนูญที่คอยทำหน้าที่ปกป้องรัฐธรรมนูญ
ฉบับนี้อย่างหัวชนฝามาตลอด ด้วยความสามารถระดับคุณจรัญ
ถ้าไม่จนมุมจริง ๆ คงไม่ออกลูกนี้แต่ที่ต้องมาเปรียบเทียบเป็นนักมวยกับ
กรรมการก็เพราะเรื่องที่กำลังโต้แย้งเกี่ยวกับบาทบาทที่เลยเถิดของศาลรัฐ
ธรรมนูญกันอยู่ในขณะนี้ ฝ่ายศาลรัฐธรรมนูญไม่มีทางโต้แย้งด้วยเหตุผลได้เลย
ยิ่งโต้กันไปโต้กันมา
คนทั้งบ้านทั้งเมืองก็ยิ่งเห็นตรงกันว่าศาลรัฐธรรมนูญเป็นฝ่ายผิดเต็มประตู
คือกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญเสียเอง
ก้าวก่ายการทำหน้าที่ของรัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งๆที่ตนเองไม่มีอำนาจ
และตั้งตัวอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ
เมื่อรู้ว่าโต้ไปก็ยิ่งแพ้ ยิ่งเข้าเนื้อ คุณจรัญจึงใช้วิธีเปรียบเทียบที่ง่ายๆและคงหวังว่าสังคมไทยจะคล้อยตามได้ง่าย
แต่ผมคิดว่าในหลายปีมานี้ สังคมไทยได้เรียนรู้อะไร ๆ มามากพอที่จะรู้เท่าทันคุณจรัญแล้ว ความจริงเรื่องระหว่างรัฐสภากับศาลรัฐธรรมนูญนั้นซับซ้อนเกินกว่าที่จะ
เปรียบเทียบว่าฝ่ายหนึ่งเป็นนักมวยและอีกฝ่ายเป็นกรรมการ
ต้องอธิบายกันหลายแง่มุม
แต่ถ้าจะเปรียบอย่างที่คุณจรัญเปรียบคงต้องบอกว่าขณะนี้ไม่ใช่นักมวยไล่
ชกกรรมการ
แต่คนดูทั้งสนามเขาเห็นว่ากรรมการนั้นไม่เป็นกลาง และทราบกันโดยทั่วไปว่า
กรรมการนั้นสังกัดค่ายมวยค่ายหนึ่ง
ค่ายมวยนี้นักมวยชกไม่เป็นแต่ที่ยังมีนักมวยชกอยู่ได้และบางทีก็ชนะเสียด้วย
ก็เพราะมีกรรมการคอยช่วยอยู่เรื่อย มาช่วงหลังๆนักมวยก็ยิ่งชกไม่เป็น
ภาษามวยเขาเรียกว่า"ออกทะเล" กรรมการก็เลยใจร้อน
โดดเข้าช่วยนักมวยในสังกัดเดียวกัน ถึงขั้นชกเสียเองเลย
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว คนดูเขาจึงไม่สนใจแล้วว่ามวยที่ชกกันนั้นใครจะแพ้ ใครจะชนะ แต่เขาสนใจว่า จะเปลี่ยนกรรมการได้ยังไงมากกว่า
ใครที่ชอบดูมวยหรือดูกีฬาอะไรก็ตาม
ลองพบว่ากรรมการเอียงกระเท่เร่เสียแล้ว ดูยังไงก็ไม่สนุกหรอกครับ
นุ่มนวลที่สุดก็คือต้องโห่ไล่กรรมการกันละครับ
พูดเรื่องศาลรัฐธรรมนูญต่ออีกหน่อยครับ ศาลรัฐธรรมนูญกำลังเข้าตาจนแล้ว ขอใช้ภาษาหมากรุกสักหน่อย ความจริงต้องเรียกว่า หมดสภาพ คือไม่ว่าจะพิจารณาในแง่มุมไหนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคณะนี้ก็ไม่เหลือความน่าเชื่อถืออะไรอยู่อีกแล้ว
- ศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ไม่ใช่หรือที่ปลดนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง โดยอ้างพจนานุกรมในเรื่องที่คนทั้งโลกเขางงกันไปหมด
- ศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ไม่ใช่หรือที่ยุบพรรคการเมือง 3
พรรคเพื่อจะล้มรัฐบาลๆหนึ่งลงไป เพื่อจะให้มีการตั้งรัฐบาลกันในค่ายทหาร
แล้วต่อมาก็มาอธิบายว่าทำกันไปแบบสุกเอาเผากิน
ถ้าฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลจับมือกันก็คงไม่ยุบพรรคการเมืองเหล่านั้น
- ศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ไม่ไช่หรือที่มีคลิปหลุดออกมาเป็นภาพตุลาการหลายคน
กำลังหารือกันว่าจะช่วยพรรคการเมืองพรรคหนึ่งให้รอดจากการถูกยุบพรรคได้
อย่างไร
และยังมีภาพการหารือกันในลักษณะทุจริตเพื่อช่วยลูกหลานของพวกตนสอบเข้าทำงาน
ในสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญด้วย ที่แย่กว่านั้นก็คือแทนที่จะสอบหาคนผิดมาลงโทษ
ศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้กลับไปเอาเรื่องคนปล่อยคลิปแทน
- ศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ได้ตัดสินไม่ยุบพรรคปชป.ด้วยการตีความว่านายทะเบียน
พรรคการเมืองคนเดียวใหญ่กว่ากกต.ทั้งคณะ
ทั้งๆที่มีหลักฐานการกระทำผิดเป็นคันรถๆ
- ศาลรัฐธรรนูญชุดนี้อีกเช่นกันที่ตัดสินว่าแถลงการณ์ร่วมระหว่างรัฐบาลไทย
กับกัมพูชาเป็นการขัดรัฐธรรมนูญ
แล้วต่อมาเราก็มาพบว่าแนวทางตามแถลงการร่วมนั้นเป็นประโยชน์ต่อประเทศ
มากกว่าการเดินหน้าไปขึ้นศาลโลก
และแถลงการร่วมก็ไม่ได้เป็นสนธิสัญญาที่จะต้องผ่านรัฐสภาแต่ก็ตีความว่าต้อง
ผ่าน
- ศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ยังได้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับ
การพ้นจากสมาชิกภาพของส.ส.ไปแล้วเมื่อคราวปลดนายจตุพร พรหมพันธ์ุจากส.ส.
- ศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ได้เข้ามาก้าวก่ายแทรกแซงการทำหน้าที่ของรัฐสภาในการ
แก้รัฐธรรมนูญทั้งๆที่ตนเองไม่มีอำนาจแต่อย่างใดเลย บอกว่าการแก้มาตรา 291
ขัดเจตนาของมาตรา 291 ซึ่งเป็นการใช้ตรรกะที่พิสดารที่สุด
แนะนำว่าสมควรลงประชามติเสียก่อนทั้งๆที่ไม่มีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญรองรับ
พร้อมทั้งบอกให้ไปแก้เป็นรายมาตรา
พอเขาจะแก้รายมาตรา
ศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ก็รับคำร้องคัดค้านอีก ทั้ง ๆ ที่ตนเองไม่มีอำนาจ
รัฐธรรมนูญเขาบัญญัติไว้ชัดเจนว่า หากมีการออกกฎหมายหรือแก้กฎหมายในรูปแบบ
ต่าง ๆ แล้วขัดต่อรัฐธรรมนูญ
เมื่อรัฐสภาพิจารณาเสร็จแล้วก็เปิดโอกาสให้ไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้
พิจารณาว่าร่างกฎหมายนั้นขัดต่อรัฐธรรนูญหรือไม่
แต่สำหรับการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว
รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชดเจนว่าเป็นอำนาจ
หน้าที่ของรัฐสภาและไม่มีบทบัญญัติใดเลยที่บอกว่าเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ
แต่นี่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังใช้อำนาจที่ไม่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญตรวจสอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญในทุกขั้นตอนตามอำเภอใจ
มาถึงการแก้มาตรา 68 เพื่อไม่ให้ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจเกินขอบเขต
ศาลรัฐธรรมนูญก็กำลังรับพิจารณาในประเด็นว่าการแก้มาตรา 68 ขัดต่อมาตรา 68
หรือไม่ ตรรกะแบบพิสดารมาอีกแล้ว
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญจงใจขัดรัฐธรรมนูญเสียเองอย่างโจ่งแจ้งอย่างนี้
จึงถูกต้องแล้วที่สมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจ
ที่จะรับคำร้องและพิจารณาตรวจสอบการแก้รัฐธรรมนูญอย่างที่ศาลรัฐธรรมนูญทำ
อยู่และก็เป็นการถูกต้องแล้วที่สมาชิกรัฐสภาหลายๆคนรวมทั้งประชาชนจะหาทาง
ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญถอดถอนตุลาการบางคนที่จงใจขัดรัฐธรรมนูญเสียเอง
นอกจากนั้น
ขั้นตอนต่อไปที่ดูเหมือนจะไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้วก็คือการแก้รัฐธรรมนูญ
เพื่อกำหนดที่มา องค์ประกอบ บทบาท อำนาจ หน้าที่ กระบวนการ
วิธีการทำงานตลอดจนการตรวจสอบศาลรัฐธรรมนูญเสียใหม่ให้สอดคล้องกับหลัก
ประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม
วิกฤตของบ้านเมืองเราในหลายปีมานี้
ความจริงแล้วต้นเหตุสำคัญอย่างยิ่งก็มาจากบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญนี้เอง
วิกฤตที่เกิดจากการตั้งตนอยู่เหนือรัฐธรรมนูญของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้จะ
ได้รับการแก้ไขได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อสังคมเราร่วมกันยกเครื่องระบบ
กติกาเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญทั้งระบบเสียใหม่ให้ถูกต้องครับ |
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น