วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

พิชัย รัตตกุล ผมเศร้าใจจริง ๆ

 http://s.exaidea.com/upload2/1/20130124/6e7dada4d4097335a907cb82fa66d38c.jpg
     
        ไม่ใช่ครั้งแรก ที่นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พยายามเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์มองถึงความล้มเหลวกว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา เพื่อกลับมาปฏิรูปพรรคให้มีความแข็งแกร่ง และมีโอกาสได้เป็นรัฐบาล โดยเฉพาะการวิพากษ์วิจารณ์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนปัจจุบัน อย่างตรงไปตรงมาถึงความตกต่ำของพรรคประชาธิปัตย์อย่างมากที่สุดยุคหนึ่ง

        นี่คืออีกครั้งที่นายพิชัยได้ พูดถึงนายอภิสิทธิ์ในช่วงก่อนการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) ว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร มีโอกาสสูงที่จะพ่ายแพ้ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ซึ่งนายพิชัยยืนยันว่า หาก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์แพ้ นายอภิสิทธิ์ต้องพิจารณาตัวเอง และยังย้อนอดีตอีกหลายเรื่องที่ได้พูดคุย
บทสัมภาษณ์คำต่อคำของนายพิชัย ครั้งนี้จึงเหมือนปัจฉิมบทที่เราขอแนะนำว่า “พรรคเพื่อไทยต้องอ่าน ส่วนพรรคประชาธิปัตย์นั้น..ยิ่งต้องรีบอ่าน”
และต่อไปนี้คือบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มที่ไม่มีการเซ็นเซอร์



“เป็นต่อตั้งเยอะ แต่ทำตัวเอง..”
 
       สถานการณ์ทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์

       พรรคประชาธิปัตย์ตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2489 นับเป็นเวลา 64 ปีมาแล้ว และผมเป็นสมาชิกพรรคมา 50 กว่าปีแล้ว ขณะนี้อาจจะพูดได้ว่าผมเป็นสมาชิกที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ จุดยืน นโยบาย หลักการ หรืออุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่เริ่มแรกตั้งมานั้นมีเพียงอย่าง เดียวเท่านั้นเองคือ การต่อต้านเผด็จการ ใครก็แล้วแต่ที่ทำการรัฐประหารเราจะต่อสู้ทุกวิถีทาง แต่ไม่ใช่ตีหัวเขา เพราะฉะนั้นจุดยืน ฐานของพรรคประชาธิปัตย์จึงเป็นอย่างที่ผมว่านี้

        จะเห็นได้ว่าเมืองไทยมีการทำรัฐ ประการมาหลายสิบครั้ง และมีรัฐธรรมนูญ 18-19 ฉบับ พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังอยู่ตลอดมา พรรคต่างๆ ที่ตั้งโดยผู้มีอำนาจแต่ละครั้งแต่ละคราวนั้น เมื่อคนมีอำนาจจากไป พรรคนั้นก็ล้มไป

        อันนี้เป็นความจริงที่คนรุ่นใหม่อาจ จะไม่ทราบ ตั้งแต่พรรคเสรีมนังคศิลา พรรคสหประชาไทย พรรคแนวร่วมรัฐธรรมนูญ อะไรเหล่านี้เป็นต้น เป็นพรรคของเผด็จการทั้งสิ้น เมื่อหัวหน้าเผด็จการหมดไปแล้ว พรรคก็หมดไป แต่พรรคประชาธิปัตย์ตั้งอยู่ได้จนกระทั่งบัดนี้ก็เพราะมีจุดยืน ที่สำคัญมีอุดมการณ์ที่มั่นคง ที่แน่วแน่

        อะไรที่ผ่านมาผมภูมิใจในฐานะที่เป็น สมาชิกพรรคคนหนึ่ง ถึงแม้ขระนี้ไม่ได้มีส่วนหรือมีบทบาทในพรรคก็ตาม แต่ความกังวลและความเป็นห่วงของผมที่มีต่อพรรคนั้นมีมาก ปีนี้ผมอายุ 87 แล้ว เป็นสมาชิกมา 50 กว่าปีตั้งแต่อายุ 32 เพราะฉะนั้น ความที่ผมรักประชาธิปัตย์จึงมีมาก และต้องยอมรับความจริงว่าผมเป็นนักการเมืองได้เป็น ส.ส. เป็นรัฐมนตรี หรือเป็นอะไรต่างๆ ก็ดี ก็เพราะพรรคประชาธิปัตย์ ผมจึงไม่มีวันลืมบุญคุณที่พรรคประชาธิปัตย์มีต่อผม

        ขณะเดียวกันผมก็ไม่เคยลืมพี่น้อง ประชาชนที่เลือกประชาธิปัตย์ แล้วประชาธิปัตย์เลือกผม มันต่อโยงไป เมื่อผมมีความคำนึงถึงบุญคุณที่พรรคทีต่อผม ตลอดเวลามาผมลงสมัครผู้แทนฯ 10 ครั้ง ได้มา 9 ครั้ง ตกครั้งหนึ่งเมื่อปี 2520 ตอนคุณธานินทร์ กรัยวิเชียร ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีตอนปฏิวัติ

        เลือดเนื้อเชื้อไขของพรรคประชา ธิปัตย์ที่แท้จริงมีตั้งแต่นายควง อภัยวงศ์ อาจารย์เสนีย์ ปราโมช มีผม มีคุณชวน หลีกภัย นี่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขประชาธิปัตย์ที่ต่อสู้กันมา อีกคนผมไม่เอ่ยชื่อเขา เขามาเป็นหัวหน้าพรรคทดแทนชั่วครั้งชั่วคราว เพราะความจำเป็น เพราะฉะนั้น ความที่มีความห่วงใยพรรคจึงมีมาก

         คำถามที่ว่าสถานการร์ของพรรคประชา ธิปัตย์และแนวโน้มในอนาคตของพรรคดังกล่าวจะเป็นอย่างไร ก็ต้องมาดูพฤติกรรมการทำงานของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน คุณอภิสิทธิ์ก็เป็นคนหนุ่มที่ผมและพรรคประชาธิปัตย์หลายคนพยายามสร้างขึ้นมา สั่งสอน แนะนำ ตั้งแต่อายุ 14-15 ปี เริ่มตั้งแต่ให้เขาไปติดโปสเตอร์ตามกำแพงตามที่ต่างๆ คุณอภสิทธิ์มีประสบการณ์จากตรงนั้น เป็นเด็กที่มีแววฉลาด มีความรักเรื่องการเมือง มีฐานจากครอบครัวที่ดี มีการศึกษาที่ดี ในพรรคประชาธิปัตย์จึงมองดูหลังจากการเปลี่ยนบุคคลหลังจากคุณชวน จึงมาคิดดูว่าจะเอาใครดีระหว่างคุณอภิสิทธิ์กับคุณบัญญัติ บรรทัดฐาน ผมดูคุณอภิสิทธิ์ว่ายังหนุ่มมาก เด็กมากเกินไป ผมจึงสนับสนุนคุณบัญญัติ

         จนถึงขณะนี้ผมก็ยังสนับสนุนคุณ บัญญัติ เพราะเป็นคนดี เป็นผู้ใหญ่ที่ดีคนหนึ่งของพรรค แต่เมื่อพ้นวาระของคุณบัญญัติไปแล้ว คุณอภิสิทธิ์ก็เหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้าพรรค ทั้งๆ ที่ยอมรับความจริงว่าคุณอภิสิทธิ์อายุยังน้อยอยู่ แต่จากการได้รับการฝึกฝนมาตลอด เป็นนักการเมืองที่เราน่าจะไว้ใจได้

          อย่างไรก็ตาม จากการทำงานของคุณอภิสิทธิ์ในการเป็นรัฐบาลครั้งที่ผ่านมา ผมไม่ทราบความจริงเป็นอย่างไร เพราะเขาไม่เคยมาปรึกษาผมทราบจากสื่อเท่านั้นเองว่าคุณอภิสิทธิ์และพรรคพวก หลายคนไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรผมไม่ทราบ แต่ถ้าเป็นความจริงว่าคุณอภิสิทธิ์นำพรรคไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ผมถือว่าผิดหวังมาก

          อย่างที่ผมเล่าตั้งแต่เริ่มแรกว่า อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์คือ ไม่ยอมรับเผด็จการ เรายอมรับการเลือกตั้งเท่านั้น เรายอมรับระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิออกเสียง ประชาชนว่าอย่างไรเราทำตามนั้น แต่เราจะไม่ยอมรับการใช้อำนาจ ใช้อาวุธปกครองประเทศ ถ้าคุณอภิสิทธิ์นำพรรคไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหารจริงผมก็เสียใจ เพราะเท่ากับยอมรับอำนาจทหาร ยอมรับอำนาจการปฏิวัติ

          การที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ทำการยึดอำนาจรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ผมไม่เห็นด้วยเลย ทั้งๆ ที่ผมเองไม่รู้จักคุณทักษิณ แล้วคุณทักษิณก็อยู่ตรงข้ามกับผม ถึงแม้จะเป็นศัตรูทางการเมือง แต่ผมไม่เคยมีอารมณ์เคียดแค้นคุณทักษิณหรือพรรคของคุณทักษิณ ไม่เคยเลย หรือพรรคเก่าๆ ด้วยไม่ว่าจะเป็นพรรคของจอมพลถนอม กิตติขจร หรือพรรคอื่นๆ ก็ดี ผมไม่เคยมีความเคียดแค้นในใจ

         วันที่ พล.อ.สนธิทำการปฏิวัติ ซึ่งคุณทักษิณเป็นรัฐบาลโดยประชาชนเลือกมา เขาได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เราต้องยอมรับ ชอบไม่ชอบไม่รู้ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ให้เขาเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนวิธีการเขาจะใช้เงินใช้ทองอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเขาทำผิดก็ว่ากันไปตามกฎหมาย แต่เมื่อเขาได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วไม่ใครมีสิทธิที่จะไปใช้อำนาจล้มล้างเขาไป

          เมื่อ พล.อ.สนธิเป็นหัวหน้าปฏิวัติล้มคุณทักษิณ วันรุ่งขึ้นมีศาสตราจารย์คนหนึ่งโทรศัพท์มาหาผม ถามว่าท่าคงดีใจมากใชไหมที่คุณทักษิณถูกล้มโดยรัฐประหาร เพราะเขารู้ว่าผมอยู่ตรงข้ามกับคุณทักษิณ ผมตอบไปว่าผมไม่ดีใจเลย ตรงกันข้ามผมกลับเสียใจและแค้นใจแทนคุณทักษิณ เพราะผมเห็นว่า พล.อ.สนธิไม่มีอำนาจ ไม่มีสิทธิที่จะมาล้มล้างคนที่มาลงคะแนนให้คุณทักษิณ ไม่มีเลย

        กลับมาที่คุณอภิสิทธิ์ แม้คุณอภิสิทธิ์ไม่ได้ใช้อำนาจในทางรัฐประหาร แต่ว่าพฤติกรรมการตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ถ้าเป็นความจริงก็เป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีเลย ถ้าเป็นผม ผมจะไม่ยอม ผมไม่ต้องการ ไม่กระสันที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีหรืออยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีโดยยอมเสีย เกียรติภูมิ ยอมเสียศักดิ์ศรี อย่างนี้ผมไม่มีทางยอมได้

         ผมเชื่อว่าคนอย่างคุณชวน คุณบัญญัติก็ไม่ยอม แน่นอนคนอย่างอาจารย์เสนีย์หรือคุณควงอดีตหัวหน้าพรรค ก็ไม่ยอม แต่เมื่อคุณอภิสิทธิ์ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วเขาก็ทำงานไป ผมได้แต่ภาวนาว่าเขาจะใช้คนที่ถูกต้อง ที่ดี เพื่อแก้ไขบ้านเมือง ช่วงนั้นในโอกาสของคุณอภิสิทธิ์ที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ถือว่าดีมากๆ ในการที่จะปกครองเร่งรัดนโยบายต่างๆ ที่ตัวเองเชื่อมั่น นโยบายในที่นี้ไม่ได้หมายความว่านโยบายประชานิยม ผมไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ เพราะกลัวบ้านเมืองจะล่มจมเหมือนประเทศกรีซ

         ผมเสียดายที่คุณอภิสิทธิ์ได้โอกาสใน การทำงาน แต่ไม่ได้ใช้โอกาสนั้นทำงานที่ดีได้ ตรงกันข้ามกลับใช้คนไม่กี่คน แค่ 2-3 คน ที่ใกล้ชิด ผมไม่ขอเอ่ยชื่อคนเหล่านั้น มาเป็นกุนซือให้ตัวเองทำงาน คุณอภิสิทธิ์จึงทำงานไม่ได้ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาปักษ์ใต้ ปัญหาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ปัญหาความปรองดองในประเทศ
ถ้าผมเป็นรัฐบาล ผมจะเน้น 3 ประเด็นนี้คือ 
  • 1.ความปรองดองในประเทศ คุณอภิสิทธิ์มีโอกาสดีอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดความปรองดองขึ้นมา 
  • 2.ปัญหาปักษ์ใต้ ซึ่งคุณทักษิณบอกว่าเป็นโจรกระจอก คุณอภิสิทธิ์ต้องแก้ไขให้ได้ เป็นโอกาสดี และ 
  • 3.ความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน แต่ตรงกันข้าม กลับมีปัญหากับประเทศกัมพูชา 

       ผมเสียใจเหลือเกิน เพราะผมเองมีส่วนในการไปปรับความสัมพันธ์กับกัมพูชาในสมัยเขมรแดง สมัยลาว เวียดนามเป็นคอมมิวนิสต์ ผมเป็นคนที่บุกเบิกในการปรับความสัมพันธ์ เพราะผมเชื่อว่าความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านรอบเรานั้น กับพม่า มาเลเซีย เวียดนาม เขมร ลาว มีความสำคัญยิ่งกว่าเราสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาเสียอีก

       ผมเสียดายที่เรามีสัมพันธไมตรีที่ดี กับทุกประเทศ แต่มีความขัดแย้งกับเขมร ผมเห็นว่าคุณอภิสิทธิ์พลาดงานนี้ พลาดความปรองดอง พลาดการแก้ปัญหาปักษ์ใต้ และพลาดเรื่องความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มีโอกาสมากเหลือเกิน ถ้าแก้ไข 3 ปัญหานี้ได้ เรื่องอื่นก็จะตามมาเอง

        สิ่งที่ผมเป็นห่วงมากคือปัญหาเฉพาะ ประเด็นเรื่องความปรองดอง ผมเรียกคุณอภิสิทธิ์มานั่งคุยที่บ้านผม 2 ครั้ง และแนะนำให้เขาทราบว่าวิธีการหาความปรองดองทำอย่างไร แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะทิ้งหลักกระบวนการยุติธรรม

        ผมเห็นว่าความปรองดองในประเทศชาติของ เราจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราแก้ปัญหาคุณทักษิณ ถ้าเราไม่แก้ปัญหานี้เราจะไม่มีทางเกิดความปรองดองหรือความสามัคคีกลับมาได้ ขณะเดียวกัน เราจะต้อนให้คุณทักษิณเข้ามุมอย่างเดียว คุณทักษิณก็ไม่ยอม เขาก็มีพวกเหมือนกัน แต่มันมีทางออกที่ต้องรักษาหลักการของกระบวนการยุติธรรม ขณะที่คุณทักษิณก็มีทางออกเหมือนกัน

       ข้อสำคัญมีทางที่จะเจรจากันว่า ทางออกของทั้งสองฝ่ายมีอย่างไรบ้าง ไม่ใช่ตั้งเงือนไข แต่คุณอภิสิทธิ์ตั้งเงื่อนไขว่า จะปรองดองได้คุณทักษิณต้องติดตะรางก่อน คุณทักษิณบอกว่าถ้าจะปรองดองได้ กูก็ไม่ยอมติดตะราง อะไรอย่างนี้เป็นต้น คือต่างฝ่ายต่างตั้งเงื่อนไขก่อนเจรจา ผมคุยกับคุณอภิสิทธิ์หลายครั้งเรื่องนี้ นั่งตรงนี้ 2 ครั้ง ผมได้แนะนำว่าทางออกควรจะเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เพื่อหาทางปรองดอง แต่ไม่หมายความว่ายอมทิ้งหลักการกระบวนกรยุติกรรม และไม่ใช่ต้อนให้เขาจนมุม มีทางทำได้ แต่คุณอภิสิทธิ์ไม่ตอบผมเลย และไม่ตอบว่าผมทำอย่างนี้ดีกว่า พูดอย่างเดียวว่าไม่ได้ คุณทักษิณต้องติดตะราง แน่นอนว่ากระบวนการยุติธรรมต้องติดตะราง แต่ยังมีทางออกอื่นอยู่

         ผมรำคาญจึงได้เชิญ คุณปานปรีย์ พหิทธานุกร ตอนนั้นเป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยมานั่งคุย ก็แนะนำว่าวิธีการจะเป็นอย่างไร ให้ทั้งสองฝ่ายแก้ปัญหาได้ คุณทักษิณกับคุณอภิสิทธิ์ก็จะกลายเป็นฮีโร่ ประชาชนจะเห็นว่าผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายยอมจับมือกันได้ คนไทยจะโล่งอก และคนที่จะโล่งอกที่สุดคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์จะมีความสบายใจมาก ท่านจะไม่ป่วอย ไม่กลุ้มอกกลุ้มใจแบบนี้ ถ้าท่านเห็นคนไทยรักกัน เมื่อคุยกับคุณปานปรีย์ไม่ได้ความอีก

          ไม่กี่เดือนต่อมา ผมเรียกคุณนพพล ปัทมะมานั่งคุยที่นี่ ผมก็แนะนำเหมือนที่แนะนำคุณอภิสิทธิ์ ถึงวิธีความสร้างความปรองดอง คุณนภดลโทรศัพท์คุยกับคุณทักษิณที่ดูไบ ผลตอบรับออกมาดีมาก เห็นด้วยกับหลักการของผม เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมจะไปเจรจากับคุณทักษิณด้วยตัวเองถึงรายละเอียด เพื่อคุณทักษิณจะได้สบายใจ ตกลงนัดหมายจะไป แล้วก็เกิดมีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่

         คุณทักษิณก็ฉลาด เพราะคิดว่ายังไงเสียงเขาต้องชนะ เมื่อเขาชนะเลือกตั้งแล้วจะทำอะไรก็ได้ ที่จะนำไปสู่ความปรองดอง ออกกฎหมายนิรโทษกรรมที่ขณะนี้กำลังมีการพูดกันอยู่ ผมจึงเสียใจอยู่ทุกวันนี้ว่าคุณอภิสิทธิ์ไม่ได้ฟัง เพราะถ้าทำอย่างผมว่า ซึ่งตอนนั้นคุณอภิสิทธิ์สามารถทำได้ เป็นรัฐบาลอยู่ ผมเชื่อว่าคุณทักษิณจะยอม ผมยอมแม้กระทั่งเอาตัวเองไปติดตะรางเพราะคุณทักษิณผมยอมแม้กระทั่งเอาตัวเอง การันตี ถ้าคุณอภิสิทธิ์อยู่เป็นรัฐบาล ผมการันตีผมจะไปนอนกับคุณทักษิณ ถ้าต้องติดตะรางเพื่อที่จะดำเนินการต่อไป
เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงเมื่อพรรคของคุณ ทักษิณชนะ ได้เป็นรัฐบาล 

        แต่ผมเป็นห่วงถ้ารัฐบาลเพื่อไทยออกกฎหมายนิรโทษกรรม รวมถึงจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าเป็นการฟอกคนอื่นๆ อย่างคนที่พลอยฟ้าพลอยฝนไปเฮๆ กับเขาด้วย ผมเห็นด้วย เพราะเขาไม่รู้เรื่องเลย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อขาว เสื้อเขียว แต่บุคคลที่ทำผิดต้องยอมรับผิด แต่ผิดยังไงรับยังไงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผมจึงไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลขณะนี้ที่กำลังคิดทำอยู่ เพราะเชื่อว่าถ้าทำฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยจะลุกฮือขึ้นมา บ้านเมืองจะฉิบหายเลย ผมถือว่านี่คือความผิดพลาดของคุณอภิสิทธิ์ เหมือนกัน ถ้าหากบ้านเมืองจะเกิดเช่นนั้นก็เพราะคุณอภิสิทธิ์มีโอกาสแล้วแต่ไม่ทำ

มองบทบาทและการทำงานของคุณอภิสิทธิ์ด้านอื่นๆ อย่างไร

       มีอีกหลายอย่างไม่ถูกใจผม แย่มากเลย เพราะไปเชื่อคนใกล้ชิดไม่กี่คน อย่างไรก็ตาม โอกาสที่คุณอภิสิทธิ์จะทำก็หมดไปแล้ว แต่ไม่หมดทีเดียวในฐานะเป็นฝ่ายค้าน สิ่งที่คุณอภิสิทธิ์ทพลาดมากคือ คุณอภิสิทธิ์ไม่ปรึกษาผู้ใหญ่ในพรรค เป็นข้อผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ยกตัวอย่างผู้ใหญ่ในพรรคคนหนึ่งคือ คุณสัมพันธ์ ทองสมัคร เป็นผู้แทนฯ มาหลายสมัย อยู่กับพรรคมา กัดก้อนเกลือกินกันเลย การเลือกตั้งล่าสุดอยู่ในบัญชีรายชื่อ 48-49 แล้วคุณอภิสิทธิ์ไปเอาใครไม่รู้ คนใหม่ๆ ไปอยู่ในบัญชีรายชื่อ 4-10 คนเก่าๆ หลุดหมด คุณสัมพันธ์ก็สอบตก

       นี่เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่า คุณอภิสิทธิ์ใช้คนไม่เป็น แต่กลับใช้คนใหม่ๆ เช่น กรณ์ จาติกวณิช อภิรักษณ์ โกษะโยธิน ศิริโชค โสภา แต่คนเก่าอย่างคุณบัญญํติ คุณชวน คุณสัมพันธ์ คุณสาวิตต์ โพธิวิหค คุณธารินทร์ นิมมานเหมินท์ คนเหล่านี้ คนเก่าแก่ของพรรค หรือ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ ทำไม่ไม่ไปปรึกษาหารือล่ะ เมื่อคุณอภิสิทธิ์ไม่ใช้คนเก่าๆ มาปรึกษาหารือ มันล้มกันไปใหญ่ ผมเลยมองแนวโน้มพรรคประชาธิปัตย์ด้วยความเป็นห่วงมาก ถ้าสถานการณ์ของพรรคยังเป็นอย่างนี้ต่อไป

        สมมุติการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.คราวนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร แพ้ คุณอภิสิทธิ์อยู่ไม่ได้ ต้องออก ตัวเองเป็นต่อตั้งเยอะแยะ แต่ตัวเองทำให้ตัวเองตก ถ้าชนะก็แล้วไป แต่ผมเปรียบเทียบให้เห็นว่า คนของพรรคเพื่อไทยลงมาหมดเลย ตั้งแต่หัวหน้าพรรค ส.ส. แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรี ลงมาหาเสียงเต็มที่ ผมบอกกับคุณอภิสิทธิ์นานแล้ว ผมบอกเอาคนอย่างผม คุณชวน คุณบัญญัติก็ดี คนเก่าขึ้นบนเวที ให้ชาวบ้านเห็นบ้างว่า ประชาธิปัตย์ก็มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีเอกภาพ แต่นี่ไม่เอา เอาเฉพาะ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กับคุณอภิสิทธิ์

        เมื่อมองแนวโน้มแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ไม่ดีเลย ถ้ายังดำเนินการวิธีการแบบที่คุณอภิสิทธิ์ทำอยู่ในเวลานี้ วันหนึ่งประชาธิปัตย์จะค่อยๆ หายไป เมื่อถึงตอนนั้นผมก็ตายแล้ว แต่ถึงแม้ว่าผมตายแล้วผมก็จะเสียใจมาก ที่ผู้ใหญ่เขาสร้างพรรคมาเป็นพรรคที่ต่อต้านเผด็จการ แล้วมาโดนเด็กและคนกลุ่มหนึ่งมาทำลายพรรค ในอนาคต ประชาธิปัตย์อาจมีสมาชิกอยู่ 10-20 คน ไม่เป็นสถาบันทางการเมืองอย่างที่ฝัน ดีไม่ดีคนก็ไม่มาเพราะตัวเองไม่มีตังค์ ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ ประชาธิปัตย์อาจะเป็นฝ่ายค้านอย่างน้อย 20 ปี และต่อไปอีก 30-50 ปีก็ได้

ใครเหมาะสมจะนั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคคนต่อไป

         ผมมองว่า ดร. สุรินทร์ อดีตเลขาธิการอาเซียน หรือ คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ผมสนับสนุนสองคนนี้เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนต่อไป ผมไม่สนับสนุนกรณ์ หรือ อภิรักษ์ บอกตรงๆ เลย เพราะยังไม่ซึมทราบอุดมการณ์ของประชาธิปัตย์ แต่อย่างคุณจุรินทร์ ถือเป็นคนเก่าแก่ของพรรค มันซึมในสายเลือดแล้ว หรือ ดร. สุรินทร์ ก็ซึมในสายเลือดแล้ว ส่วน ดร. ศุภัย พานิชภักดิ์ ยังมาไม่ได้เพราะยังทำงานอยู่ในต่างประเทศ ถ้าหาก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์แพ้เลือกตั้งครั้งนี้ คุณอภิสิทธิ์ต้องทำ

ดร. สุรินทร์ กับ คุณจุรินทร์ ใครเหมาะสมที่สุด

        ผมคิดว่าเหมาะสมทั้งคู่ ใครจะเป็นก็ได้ แต่ที่ผมเป็นห่วงคือทั้งสองคนนี้ไม่มีสตางค์ และผมไม่แน่ใจว่าทั้งสองคนนี้จะไปเอาสตางค์ที่ไหน เพราะทั้ง ดร. สุรินทร์ และคุณจุรินทร์ ไม่ใช่คนที่มีสันดานโกง ขอย้ำว่า สองคนนี้ไม่มีสันดานโกง และไม่มีสันดานไปรีดไถเงินคน แล้วใครจะให้ล่ะ ผมเองเคยเป็นหัวหน้าพรรคต้องขายที่ดิน ก็ไม่มีสันดานโกง ผมก็ไม่ได้ไปรีดไถใคร แต่ผมบังเอิญมีที่ดินพ่อแม่ซื้อไว้ ให้ราคาตารางวาละ 5 บาท 10 บาทอยู่หลายแปลง ผมก็เอาที่นั้นไปขายเอามาช่วยพรรค

        ถ้าจะเอา ดร. สุรินทร์หรือคุณจุรินทร์มาเป็นหัวหน้าพรรค 2 คนนี้ก็ไม่มีตังค์ ผมเป็นห่วง แต่ผมว่าไม่ควรจะท้อถอย ถ้าหาก 2 คนนี้ยังกลับมาฟื้นประชาธิปัตย์ให้เหมือนอย่างเก่า ให้ชาวบ้านเห็นอุดมการณ์ที่เราเคยมีอยู่ ไม่ใช่คนเห็นว่าเขามีประชานิยมเราก็ไปตามเขา แต่เห็นว่าเราทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ทำงานอย่างจริงจัง เงินชาวบ้านจะมาให้เราเอง ซึ่งเงินเหล่านั้นเป็นเงินบริสุทธิ์

        ผมหวังว่า ดร. สุรินทร์ หรือ คุณจุรินทร์ก็ดี ถ้าต้องมีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรคคงจะรื้ออุดมการณ์ของพรรคขึ้นมาใหม่ แล้วค่อยๆ สร้างพรรคขึ้นมาใหม่อีก อาจไม่ใช่ชั่วชีวิตของ ดร. สุรินทร์หรือคุณจุรินทร์ อาจจะมีคนรุ่นใหม่มารับไป แต่ต้องเริ่มสร้างเริ่มฟื้นใหม่แล้วให้เหมือนเก่า ถึงแม้ไม่มีเงินก็หวังว่าพี่น้องประชาชนจะมาช่วยเรา ถ้าเราทำงานให้เขาเห็น ถ้าเราฟื้นอุดมการณ์เดิมของเราให้เขาเห็น ถ้าไม่ทำอย่างนี้ บ้านเมืองเราจะเหมือนกับสิงคโปร์ ถ้าแพ้เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. บ้านเมืองจะเหมือนสิงคโปร์ จะเหมือนมาเลเซีย พรรคอัมโนพรรคเดียว เมืองไทยก็จะมีพรรคเพื่อไทยพรรคเดียว นอกนั้นเป็นพรรคที่ต้องพึ่งพาอาศัยบารมีเขา

ทั้ง 2 คนมีศักยภาพเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่

         ไม่มีปัญหาเลย ทั้ง ดร. สุรินทร์ และคุณจุรินทร์ มีศักยภาพที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ดร.สุรินทร์เคยเป็นเลขาธิการอาเซียน ทำงานได้ดีมาก คุณจุรินทร์เองก็ทำงานได้ดีมาก สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่ถ้าหาก 2 คนนี้ไม่เอา กลับไปให้คุณชวนก็ยังได้ หรือกลับไปที่คุณบัญญัติก็ยังได้ แต่ผมไม่เห็นด้วยถ้าจะเอาคนรุ่นใหม่ เช่น กรณ์ อภิรักษ์ พวกเหล่านี้ยังไม่ถึง ที่สำคัญเลือดยังไม่ซึม แต่พวกเหล่านี้อาจจะมาเป็นเลขาธิการพรรคได้แล้วค่อยๆ ฝึกขึ้นมา

        ถามว่าคุณชวนกับคุณบัญญัติจะจับมือ สนับสนุนใครคนใดคนหนึ่งระหว่าง ดร. สุรินทร์ หรือ คุณจุรินทร์ ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่หรือไม่ ผมไม่ทราบเหมือนกัน เพราะการเลือกหัวหน้าพรรคก็ต้องแล้วแต่สมาชิกพรรคและมติของเสียงส่วนใหญ่ ส่วนที่มีการมองว่าการเมืองในพรรคประชาธิปัตย์ค่อนข้างแรง ผมก็ไม่ทราบ ขณะนี้ผมโกรธมาก แล้วผมจะไม่ไปที่ทำการพรรคอีกเลย เมื่อก่อนผมไปปีละครั้ง วันทำบุญวันเกิดพรรค วันเกิดพรรคปีนี้วันที่ 6 เมษายน ผมตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ได้ เพราะผมเห็นแล้วทุเรศ ไม่อยากไปเห็นอีก

ฝากอะไรถึงคุณอภิสิทธิ์ ดร. สุรินทร์ และ คุณจุรินทร์

        ผมอยากเปรียบคุณอภิสิทธิ์เหมือนเด็ก ดื้อ แล้วก็ดื้อแบบไม่พูดด้วย ดื้อเงียบ เดี๋ยวนี้ผมเจอผมไม่คุยด้วย ผมไม่คุยเรื่องการเมืองเลย ไม่อยาก

        ขอย้ำอีกครั้งว่า ถ้า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ชนะ คุณอภิสิทธิ์ก็ทำงานต่อไป แต่ถ้าใจดีก็ควรปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น และสร้างคนขึ้นใหม่ เอาคุณจุรินทร์ ดร. สุรินทร์เข้ามาช่วย เอาคนเก่าๆ ขึ้นมาเป็นที่ปรึกษาช่วยกันแก้ปัญหาพรรค มันก็ไปได้ ศึกคราวหน้าถึงจะสู้กับเขาได้ ส่วน ดร. สุรินทร์ คุณจุรินทร์ ผมขอฝากให้ช่วยกันรักษาพรรคไว้ให้ได้ ถ้าหากมีความจำเป็นต้องเป็นตัวหน้าพรรคต้องรับ ถ้าผมยังมีชีวิตอยู่ จะหาทางช่วยทุกอย่างให้หน้าที่ของเขาสำเร็จ ก็เท่านั้น

ผมเศร้าใจจริงๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น