|
ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง : “เขาพระวิหาร” ในภาพยนตร์ที่ห้ามคนไทยดู
ช่วงการต่อสู้ทางการศาลเพื่อแย่งชิงสิทธิในการครอบครองพื้นที่ทับซ้อน
4.6 ตารางกิโลเมตรใกล้ชิดติดกับปราสาทเขาพระวิหาร ฟ้าต่ำ แผ่นดินสูง หรือ
Boundary ภาพยนตร์สารคดีเล็ก ๆ โดยนนทวัฒน์ นำเบญจกุล
ได้รับเลือกเป็นภาพยนตร์ฉายเปิดในเทศกาลภาพยนตร์สารคดีศาลายา
อีกราวสี่วันต่อมาจากพิธีเปิด ฟ้าต่ำ แผ่นดินสูง
ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี
มีผู้ชมแทบเต็มความจุของห้องประชุมชั้นห้าของหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ
และปิดท้ายด้วยการฉายที่ธรรมศาสตร์พร้อมการเสวนาของชาญวิทย์ เกษตรศิริ
น่าเสียดายว่าผู้ชมที่ได้ชมไปอย่างเป็นทางการในสามรอบที่ว่าน่าจะเป็น
“ผู้โชคดี”
เพราะ ล่าสุดภาพยนตร์เรื่องนี้โดยคณะกรรมการเซนเซอร์ให้เรทห้ามฉายด้วยเหตุผล
เกี่ยวกับความมั่นคงและอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (ซึ่งนนทวัฒน์จะยื่นอุทธรณ์อีกเช่นเดียวกับท่านอื่นที่โดนก่อนหน้า)
มีภาพยนตร์ไทยน้อยเรื่องที่นำเขาพระวิหารมาเป็นใจกลางการเล่าเรื่อง
โดยมากมักเป็นสารคดีทางโทรทัศน์ที่ถูกผลิตในทิศทางการสูญเสียดินแดนและเรียก
ร้องนำดินแดนทับซ้อนเหล่านี้คืน
มีวาทกรรมมากมายถูกผลิตขึ้นในช่วงพันธมิตรประชาชนประชาธิปไตยกลับมาแสดง
บทบาททางการเมืองช่วงรัฐบาลประชาธิปัตย์
จุดเริ่มต้นของฟ้าต่ำ
แผ่นดินสูงเกิดขึ้นเมื่อนนทวัฒน์เดินทางตามทหารเกณฑ์นายหนึ่งกลับไปยังบ้าน
เกิดที่อยู่ใกล้ ๆ ภูมิซรอล
เดิมทีนนทวัฒน์ตั้งใจเล่าเรื่องของทหารที่ต้องปฏิบัติภารกิจทั้งในภาคใต้และ
เหตุการณ์ที่คอกวัวในเดือนเมษายน 2553 ดังนั้นในช่วงแรกฟ้าต่ำฯ
จึงคล้ายสำรวจชีวิตความเป็นอยู่ในท้องถิ่นที่ทหารคนนี้ใช้ชีวิต
ทว่าจุดเปลี่ยนของเรื่องก็เปลี่ยนไปเมื่อเขาพบว่าพื้นที่หมู่บ้านแห่งนี้
อยู่ในเขตได้รับผลกระทบจากการเรียกร้องเขาพระวิหารเช่นเดียวกัน
หนังสำรวจความคิด ความรู้สึก
และความเสียหายทั้งเชิงกายภาพและความรู้สึกของชาวบ้านในเขตพื้นที่นั้น
กล้องแบบแฮนด์เฮลด์ติดตามการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารหลังการยิง
ถล่มกันไป
แม้เหตุการณ์ผ่านไปพักใหญ่แต่เรื่องราวและร่องรอยยังหลงเหลือเหมือนเกิดขึ้น
เมื่อราวสิบนาทีที่แล้ว เจ้าหน้าที่ต่างเล่าเหตุการณ์เฉียดตาย
พร้อมพาไปดูร่องรอยกระสุนที่สถานที่ราชการ บ้านเรือนของชาวบ้าน
พวกเขาต่างอยู่ด้วยกำลังใจพร้อมมีองค์ความรู้ที่หลายคนในเมืองไม่มีวันรู้
เช่น ถ้าได้ยินเสียงปืนดังขึ้นจากอีกฝั่ง ให้รีบหมอบ
ถ้านับเวลาถึงกำหนดแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ถือว่ารอด
บทสนทนากับชาวบ้านเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและคำถามมากมาย
พวกเขาไม่เคยต้องการพื้นที่ดังกล่าวเหมือนที่คนในเมืองกลุ่มหนึ่งเรียกร้อง
แล้วทำไมพวกเขาต้องมาเป็นคนรับผลกรรมด้วย (พร้อมโบ้ยกลาย ๆ
ว่าเป็นเพราะรัฐบาลในเวลานั้นที่ทำให้เกิดการยิงต่อสู้กัน)
บางบ้านหายไปในพริบตาจนเจ้าของบ้านร้องไห้ด้วยความสิ้นหวัง
แม้เวลาต่อมาจะได้เงินบริจาคมาสร้างบ้านหลังใหม่ได้
แต่ก็มิอาจทดแทนบ้านหลังเดิมที่เธอมีควาทรงจำมากมายจากการเก็บหอมรอมริบ
สร้างขึ้น
นนทวัฒน์ใช้เทคนิคบางอย่างทำให้ได้ความคิดเห็นของผู้คนฝั่งกัมพูชามาด้วย
ความรู้สึกของคนที่ต้องผจญกับเสียงปืนนั้นไม่ต่างกัน
ทว่าในข้อมูลเรื่องเล่าเหล่านั้นต่างมีน้ำเสียงแค้นเคืองอยู่บ้างที่รัฐไทย
กระทำกับรัฐกัมพูชามาเสมอ จากข้อมูลของนนทวัฒน์
ชาวบ้านไม่ได้ทราบความขัดแย้งภายในประเทศของไทย
คนกัมพูชาส่วนใหญ่ก็มักเหมารวมว่ารัฐบาลไทยต้องการดินแดนเพิ่มเติม
เหตุผลหนึ่งที่ออกจากปากทหารในเขมรได้น่าสนใจมากคือเรื่องหลักเขตแดนที่
โดยทำลายหรือโดนโยกย้าย (พวกเขาบอกว่าหลักถูกเลื่อนเข้าไปในเขตแดนกัมพูชา)
สำหรับพวกเขาแล้วพรมแดนไม่เคยมีอยู่จริง
มีเพียงหลักเขตแดนที่โดยทำลายไปในช่วงเขมรแดงและโดนเคลื่อนย้ายจากฝ่ายทหาร
ไม่ว่าฝ่ายใดก็ตาม ดังนั้นสำหรับพวกเขา
พรมแดนก็เป็นแค่เส้นสมมติที่เคลื่อนที่ได้และไม่เคยมีอยู่จริง
หนังสารคดีไม่ใช่ความจริงแท้
คนทำหนังสารคดีทุกคนล้วนมีประเด็นที่ต้องการเล่า
และจุดมุ่งหมายสำคัญก็คือโน้มน้าวให้คนเชื่อในสิ่งที่เขาต้องการบอก
ผ่านการใช้ข้อมูลและภาพฟุตเตจจริง
และเมื่อชมเราก็พบว่าสายตาของนนทวัฒน์และสายตาที่เขาเล่าคือสายตาเดียวกัน
สายตานั้นมุ่งต้องการให้คนที่ได้ชมหันมาสนใจคนที่อยู่ในพื้นที่บ้าง
พวกเขาไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเขาพระวิหารและดินแดนดังกล่าว
แต่ทำไมถึงต้องมาซวยทั้งที่ต้นเหตุเกิดขึ้นจากใครไม่รู้ในเมืองกรุงผู้โดน
ชาตินิยมขวาจัดกัดกลืน
อย่างน้อย ๆ ที่สุด
ความดีงามของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการได้พาไปเห็นชีวิตที่ได้รับผลกระทบ
และก่อให้เกิดการถกเถียงกันว่าการเรียกร้องพื้นที่ทับซ้อน 4.6
ตารางกิโลเมตรนั้น คุ้มค่าหรือเปล่า
(ยิ่งเมื่อเทียบกับสิ่งที่สูญเสียของคนย่านนั้นไม่ว่าไทยหรือกัมพูชา)
น่าเสียดายที่ภาพยนตร์เรื่องนี้โดนแบนด้วยข้อหาอันแสนใจแคบว่ามีปัญหาต่อ
ความมั่นคงและอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้ง ๆ
ที่หากพินิจพิเคราะห์กันแล้ว ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้แสนมนุษยนิยม
มุ่งให้ความสำคัญกับชีวิตคนมากเสียกว่าดินแดนที่เรียกร้อง
ซึ่งในทัศนะผู้เขียน ถึงได้ไปแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะนำไปทำประโยชน์อะไรต่อ
ความมั่นคงจะมีไปทำไมถ้าชีวิตคนในชายแดนไม่มีความสุขในชีวิต
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะสนใจไปทำไมทั้ง ๆ
ที่คนในประเทศไม่น้อยต่างซวยเพราะผลของนโยบายต่างประเทศ ณ เวลานั้น ๆ
(จนมีคนพูดว่าแล้วหนังอย่างพระนเรศวร / บางระจันที่ประกาศว่าหงสาวดี
ที่ประวัติศาสตร์ไทยประกาศชัดว่า คือพม่า ศัตรู อันดับหนึ่ง
มิยักเคยถูกข้อหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศบ้าง)
ผู้เขียนก็ขอให้กำลังใจกับนนทวัฒน์ (ซึ่งก็เคยพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว)
และขอให้การอุทธรณ์นั้นผ่าน
ส่วนสำคัญคืออยากให้ผู้ชมได้ชมในโรงภาพยนตร์ตามความหวังของผู้กำกับ
และ ขอแสดงความไม่นับถือต่อผู้ที่แบนหนังเรื่องนี้
ที่แสดงความไร้อารยธรรมเป็นครั้งที่สามนับแต่ที่พระราชบัญญัติภาพยนตร์อัน
แสนขัดแย้งต่อแนวคิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นถูกประกาศใช้
ท้ายที่สุด ฎีกาแล้วยังไม่ได้ผล ช่องทาง new media จะทลาย boundary
ทางกฎหมายและท้าทายอำนาจที่รัฐมอบให้คนงี่เง่าอย่างชนิดคนเหล่านั้นไม่มีวัน
คาดถึง |
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น