สุเทพสุดเหิมเกริม! ประกาศจะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ทูลเกล้าชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ขึ้นทูลเกล้า และลงนามรับสนองพระบรมราชโองการด้วยตนเอง
ส่วนวันเผด็จศึก จะขึ้นอยู่กับ 2 กรณี คือ
- กรณีที่ 1 เมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ดังนั้น เมื่อ ป.ป.ช. ชี้มูลเรื่องดังกล่าววันใดจะถือเป็นวันนัดหมาย แต่จะถือเป็นวันเผด็จศึก หรือไม่ต้องรอการตัดสินใจของตนอีกครั้ง เพราะตามกฎหมาย หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกชี้มูลความผิด ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่และเข้าสู่กระบวนการถอดถอนโดยที่ประชุมวุฒิสภา และ
- กรณีที่ 2 เมื่อศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พ้นสถานะภาพความเป็นนายกฯ เพราะใช้อำนาจโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการ สมช. มิชอบ ตามที่กลุ่ม สว.ยื่นเรื่องให้วินิจฉัย ขอให้มวลชน กปปส. เคลื่อนออกมาจากบ้าน มายังจุดหมายที่ตนเตรียมประกาศให้ทราบ เพื่อไม่ให้มีกลุ่มสนับสนุนรัฐบาลออกมาชุมนุมปกป้องรัฐบาล และไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ
"มาคราวนี้จะมายึดอำนาจประเทศไทยเลย เพราะอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย เพราะรัฐบาลได้ประกาศระเบิดตัวเองทิ้งไปตั้งแต่การประกาศยุบสภา เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 56 แล้ว ดังนั้นเรามีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะประกาศความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของประชาชน เหมือนกับสมัยที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ปฏิวัติแล้วจะมีการออกคำสั่ง รอบนั้นได้ออกคำสั่งเอาคนไปยิงเป้า หากเราใจร้ายสั่งยิงเป้าไอ้คางคกสักตัวก็ได้ แต่เราจะไม่ทำ แต่จะจับใส่คุก ทั้งนี้ยืนยันว่าเมื่อประกาศตัวเป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้ว คนที่เป็นรัฏฐาธิปัตย์มีคำสั่งที่ถือว่าเป็นกฎหมาย เราจะสั่งยึดทรัพย์ตระกูลชินวัตรทั้งหมด แล้วให้ไปพิสูจน์เอาเองว่าทรัยพ์ส่วนใดที่ที่หามาได้ด้วยความสุจริต ส่วนเหตุผลที่เราต้องเร่งยึดทรัพย์เพราะต้องเอาเงินมาช่วยชาวนา จำนวน 1.2 แสนล้านนบาท จากนั้นจะออกคำสั่งห้ามคนตระกูลชินวัตร ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง , นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล , นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ห้ามออกนอกประเทศ และให้มารายงานตัว"
นายสุเทพ กล่าวด้วยว่า จากนั้นจะออกคำสั่งแต่งตั้ง นายกฯ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของประชาชน และตนจะนำรายชื่อนายกฯ และ ครม. กราบบังคมทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าฯ โดยตนจะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกฯ ฐานะเป็นร่างทรงของประชาชน จากนั้นจะตั้งสภานิติบัญญัติของประชาชน และรีบปฏิรูปประเทศตามพิมพ์เขียวที่ได้มีการระดมความคิดไว้ก่อนหน้านี้ และเมื่อดำเนินการปฏิรูป แก้ไขกฎหมายและรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ จะปล่อยให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามกระบวนการประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบที่แท้จริง
"เมื่อทำเสร็จผม และเครือข่าย กปปส.จะกลับบ้าน ไปใช้ชีวิตแบบสามัญชน แต่จะเก็บนกหวีดไว้ หากวันใดที่รัฐบาลหรือสภาฯ ที่เราแต่งตั้งไม่ทำตามที่ประชาชนกำหนด หรือไม่ว่ารัฐบาลชุดไหนก็ตามทรยศกับประชาชน เราจะออกมาใหม่ ทั้งนี้ยืนยันว่า กปปส.ไม่ตั้งพรรคการเมือง แต่หากเครือจ่ายจะไปเป็นนักการเมืองสามารถทำได้ แต่อย่านำชื่อ กปปส.ไปอ้าง เพราะพวกเราเป็นสมาคมนกหวีด ไม่ใช่พรรคการเมือง ทั้งนี้เราเป็นผู้เฝ้าระวังรักษาผลประโยชน์ชาติและแผ่นดินเท่านั้น"
นายสุเทพ กล่าวอีกว่า การต่อสู้รอบที่จะถึงนี้ ขอให้มวลชนออกมาร่วมกันในหลักล้านคน และจะเอาจริง หากแพ้พวกเราก็เข้าคุกกันทั้งหมด แต่เชื่อว่าไม่มีคุกไหน ขังพวกเราได้ทั้งหมด ทั้งนี้ตนขอยืมคำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. มาใช้ คือ ออกมาคราวนี้จะไม่กลับ ดังนั้นการเป่านกหวีดรอบนี้เป็นการเป่ารอบสุดท้าย และออกมาแบบสู้ไม่หยุดตลอด 15 วัน เราจะไม่กลับบ้านมือเปล่า ตนเรียกร้องให้ข้าราชการตัดสินใจออกมาต่อสู้กับ กปปส. ถ้าข้าราชการไม่เอาด้วยกับประชาชน ตนจะเดินไปมอบตัว ทั้งนี้ตนขอมติให้ที่ประชุมเปิดสถานที่ราชการทุกกระทรวง และทบวงกรม ยกเว้นทำเนียบรัฐบาล และกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย.นี้ ให้กลับไปทำงานและใช้ชีวิตตามปกติ แต่มีเงื่อนไขว่า จะไม่รับคำสั่งของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยกเว้นงานบริการประชาชนและร่วมปฏิรูปประเทศไทยกับกปปส. ด้วยการแสดงสัญลักษณ์ คือติดป้ายเป็นแนวร่วมกปปส.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายสุเทพ กล่าวปราศรัยตอนที่เรียกร้องให้ข้าราชการออกมาร่วมต่อสู้ครั้งสุดท้ายนั้น ดวงตานายสุเทพมีน้ำตาไหลเอ่อ และหลั่งออกมาในที่สุด นอกจากนั้นผลการประชุมและข้อสรุปตามที่นายสุเทพ ระบุได้รับการตอบรับจากแกนนำกปปส. ที่ร่วมประชุมด้วยการเป่านกหวีดและร้องไชโย จำนวน 3 ครั้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น