ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นสั่งจำคุก 26 ปี 8 เดือน “หรั่ง-สุรชัย” ค้าอาวุธสงคราม ชี้ประจักษ์พยานเบิกความสอดคล้องน่าเชื่อถือ ขณะทนายเตรียมยื่นฎีกา“
ศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2558 เวลา 10.40 น. ห้องพิจารณา 906 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลขึ้นนั่งบัลลังก์ อ่านคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.1223/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ1เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ อายุ31ปี ชาว จ.บุรีรัมย์ อดีตคนสนิทของของ พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง เป็นจำเลยในความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำหน่ายวัตถุระเบิดและอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนอนุญาตให้ไม่ได้ ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 55, 78,พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 มาตรา 4, 5, 7, 15 และ42
โดยอัยการโจทก์ยื่นฟ้องสรุปความผิดจำเลยว่า เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2553เวลากลางคืนจำเลยกับพวกมีและขายอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด หรือลูกระเบิด ซึ่งเป็นอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ และเป็นยุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2556 ให้ยกฟ้องจำเลย เนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่า จำเลยค้าอาวุธสงครามตามฟ้อง เนื่องจากขั้นตอนการสืบสวนสอบสวนมีการปล่อยระยะเวลาทิ้งช่วงนานจนมีข้อพิรุธสงสัย อีกทั้งตัวจำเลยไม่ปรากฏว่ามีการหลบหนี ศาลจึงยกประโยชน์แห่งการสงสัยให้จำเลย และพิพากษายกฟ้อง แต่ให้คุมขังจำเลยไว้ในระหว่างรอขั้นตอนการอุทธรณ์คดี และให้ยึดอาวุธสงครามไว้ทั้งหมด
ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมกันแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์มีเหตุผลรับฟังได้ เพราะเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งเป็นประจักษ์พยาน รู้จักกับจำเลยมาแล้วหลายปี และดื่มเหล้าด้วยกันหลายครั้ง ที่จำเลยอ้างว่า มีความขัดแย้งกันเรื่องผู้หญิงนั้น เป็นเหตุเพียงเล็กน้อย ไม่เชื่อว่า จะเป็นสาเหตุให้ปรักปรำจำเลย อีกทั้งจำเลยเป็นผู้เสนอขายอาวุธสงครามให้พยานเอง ไม่เช่นนั้นพยานคงไปดูของกลางที่ห้องพักจำเลยไม่ได้
ส่วนที่พยานเบิกความถึงจำนวนเงินที่ล่อซื้อไปนั้น เห็นว่าจำนวนเงินต่างกันเล็กน้อยเพียง 3,000 บาท และเป็นเงินที่เบิกจากราชการลับ ซึ่งไม่ใช่ข้อพิรุธ ส่วนที่ไม่ได้ถ่ายเอกสารเลขธนบัตรก่อนทำการล่อซื้อเพื่อเป็นหลักฐาน รวมทั้งไม่มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ เข้าร่วมวางแผนนั้น พยานเบิกความว่ากรณีนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนและเป็นการหวังผลในการล่อซื้อขยายผลไปถึงรายใหญ่
นอกจากนี้ที่พยานติดต่อล่อซื้ออาวุธปืนจากจำเลยอีกครั้ง แต่ไม่สามารถติดต่อได้ก็ไม่ใช่ข้อพิรุธ และการที่ไม่ได้พิมพ์ลายนิ้วมือเปรียบเทียบกับของกลาง ก็ไม่ใช่ข้อสำคัญ เพราะอาวุธสงครามมีการจับผ่านมาหลายมือ หลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น พิพากษาจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 55 และ 78 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และความผิดตามพ.ร.บ.ยุทธภัณฑ์ฯ มาตรา 15 วรรคหนึ่ง และ 42 ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุด จำคุกจำเลย 20 ปี เพิ่มโทษ 1 ใน 3 ตามมาตรา 92 คงจำคุกจำเลย 26 ปี 8 เดือน ยกคำขอให้นับโทษต่อจากคดีหมายเลขดำ 2542/2553 เนื่องจากคดีนี้ศาลชั้นต้นยังไม่มีคำพิพากษา
ภายหลังนายจิระศักดิ์ บุณณะ ทนายความ เปิดเผยว่า เคารพคำพิพากษาของศาล แต่ยังมีข้อไม่เห็นด้วยหลายประการ ซึ่งจะปรึกษาญาติเพื่อคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นฎีกา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุรชัย หรือ หรั่ง เทวรัตน์ ถูกเจ้าหน้าที่อายัติตัวไว้ดำเนินคดีดังกล่าว หลังจากเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ จับกุมนายสุรชัย ได้เมื่อวันที่15 กรกฎาคม 2553 โดยขณะนั้นรายงานข่าวจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ แจ้งว่า นายสุรชัย เป็นผู้ต้องสงสัยว่าใช้อาวุธสงคราม ก่อเหตุยิงใส่ทหารบริเวณพื้นที่ที่มีการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 และใช้เครื่องยิงระเบิด เอ็ม79 ยิงใส่สถานที่หลายแห่ง โดยก่อนก่อเหตุนั้นได้เปิดโรงแรมโกลเดนฮอส ถนนดำรงรักษ์ แขวงป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตพระนคร กทม.เพื่อพักรอก่อเหตุสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรง สำหรับอาวุธที่ยึดได้นั้น ได้แก่ เครื่องยิงเอ็ม79 กระสุนปืนกลขนาด 60 มิลลิเมตร ระเบิดมือชนิดต่างๆ เครื่องยิงพร้อมฐานที่ตั้งยิงลูกระเบิด กระสุนปืนเอ็ม79 ปืนอาก้า พร้อมกระสุนอีกจำนวนมาก ระเบิดทีเอ็นที ระเบิดซีโฟร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น