วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แม้โลกไม่ติดต่อไทย คบกับจีนยังขับเคลื่อนได้? เปิดตัวเลขไทยขาดดุลจีนต่อเนื่องยาวนาน


หลังจากวันนี้ พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)[1] ออกมากล่าวถึงการส่งชาวอุยกูร์ ว่าต่อให้ทั่วโลกไม่ยอมติดต่อกับไทย แต่หากได้คบหากับจีนและอินเดียที่มีพลังทางเศรษฐกิจ เชื่อว่าประเทศไทยยังขับเคลื่อนต่อไปได้ ที่สำคัญไทยยังจำเป็นต้องชี้แจงให้คนไทยกันเองเข้าใจถึงข้อเท็จจริงถึงที่มาที่ไปของชาวอุยกูร์นั้นว่าเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตามหากพิจารณาจากดุลการค้าระหว่างประเทศแล้ว ข้อมูลจากกรมศุลกากร[2] แม้ปี 58 จีนจะเป็นประเทศอันดับ 1 ที่มูลค่าการค้ากับไทยถึง 839,817.4 ล้านบาทหรือ 14.8 % แต่ก็เป็นตัวเลขที่ไทยเสียดุลการค้ากับจีนมาโดยเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ตัวเลขจากกรมศุลกากร[3] เช่นกันพบว่า ไทยเสียดุลการค้าจีนและฮ่องกงไป 1.17 หมื่นล้านบาท เดือน เม.ย.58 อยู่ที่ 2.13 หมื่นล้านบาท และเมื่อย้อนกลับไประยะใกล้ 1 ปีที่ผ่านมา ไทยก็ขาดดุลกาค้ากับจีนและฮ่องกงต่อเนื่อง มิ.ย.57 ขาดดุล 711 ล้านบาท ก.ค.57 ขาดดุล 1.3 หมื่นล้านบาท ส.ค.57 ขาดดุล 732 ล้าน ก.ย.57 ขาดดุล 1 หมื่นล้านบาท ต.ค.57 ขาดดุล 1.73 หมื่นล้านบาท พ.ย.57 ขาดดุล 1.72 หมื่นล้านบาท ธ.ค.57 ขาดดุล 1.6 หมื่นล้านบาท ม.ค.58 ขาดดุล 3.27 หมื่นล้านบาท ก.พ.58 ขาดดุล 2.47 หมื่นล้านบาท มี.ค.58 ขาดดุล 2,471 ล้านบาท เป็นต้น
ซึ่งสินค้าหลักที่ส่งออกไปจีนและฮ่องกง คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รวมทั้ง เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และแผงวงจรไฟฟ้า ส่วนสินค้าที่นำเข้าจากจีนและฮ่องกง คือ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น
ด้านอินเดีย แม้ไทยจะได้ดุลการค้าต่อเนื่อง แต่ก็ยังเป็นสัดส่วนที่น้อยอยู่ เดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ได้ดุล 7,464 ล้านบาท เม.ย.58 ได้ดุล 7,864 ล้านบาท มี.ค.58 ได้ดุล 7,594 ล้านบาท ก.พ.58 ได้ดุล 8,307 ล้านบาท และ ม.ค.58 ได้ดุล 6,445 ล้านบาท
ขณะที่กลุ่มประเทศอย่างในทวีอเมริกาเหนือ ที่มีสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศหลักนั้น ไทยได้ดุลการค้ามาโดยตลอด พ.ค.ที่ผ่านมา ได้ดุล 3.8 หมื่นล้านบาท เม.ย. 58 ได้ดุล 3 หมื่นล้านบาท มี.ค.58 ได้ดุล 4.19 หมื่นล้านบาท ก.พ.58 ได้ดุล 3.45 หมื่นล้านบาท และ ม.ค.58 ได้ดุล 2.36 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรปหรือ EU พ.ค.ที่ผ่านมา ไทยได้ดุล 6,983 ล้านบาท มี.ค.58 ได้ดุล 9,239 ล้านบาท ก.พ.58 ได้ดุล 5,653 ล้านบาท และ ม.ค.58 ได้ดุล 1,249 ล้านบาท เป็นต้น
‘สมภพ’ ชี้ จีนยังไม่ใช่ฟองสบู่แตก แต่ก็ลูกโป่งรั่วแล้ว หลังตลาดหุ้นปรับลดกว่า30% ช่วง 3 สัปดาห์
เมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์[4] รายงานความเห็นของภาคเอกชนกรณีสถานการณ์ตลาดหุ้นจีนที่ปรับลดลงกว่า 30% ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดย สมภพ มานะรังสรรค์ กรรมการสภาสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ มองว่า สถานการณ์ตลาดหุ้นจีนเป็นลักษณะลูกโป่งรั่ว ยังไม่ใช่ฟองสบู่แตก เป็นเพียงการถอนเงินลงทุนของต่างชาติออกไป เพราะตลาดหุ้นจีนยังไม่ได้เบ่งเต็มที่ ถ้าขึ้นมาต่อจากนี้อีก 3-6 เดือน หากเป็นไปลักษณะนี้แล้วปรับฐานลงมาก็มีโอกาสแตกได้เนื่องจากตลาดหุ้นจีนโตเร็วมาก ขณะนี้รัฐบาลจีนกำลังเย็บรอยรั่วลูกโป่ง โดยใช้มาตรการอัดฉีดเงินออกมา ให้บริษัทยักษ์ใหญ่ซื้อหุ้นตัวเองกลับคืน และให้กองทุนต่างๆ มาช่วยกันซื้อหุ้น ห้ามขายหุ้น และนำเอาบรรดากองทุนสวัสดิการสังคม บริษัทประกัน มาร่วมซื้อหุ้นด้วย คือระดมทุกอย่างเพื่อพยุงตลาดหุ้นที่ทรุดหนักมาก แต่ยังไม่ทันได้แตก ขณะเดียวกันการเย็บรอยรั่วครั้งนี้ไปแล้วจะไม่ทำให้ลูกโป่งบวมขึ้นมาเหมือนเดิม ดังเช่นช่วง 1 ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะ 6 เดือนหลังที่นักลงทุนรายย่อยของจีนค่อนข้างลงทุนอย่างขาดสติ ดังนั้นรัฐบาลจีนคงระดมสรรพกำลังทุกทางพยุงตลาดเงิน ตลาดทุนของจีนไว้ให้ได้
ที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของจีน (จีดีพี) ชะลอตัวลง จากปัญหาการส่งออก-นำเข้า มีกำลังการผลิตล้นเกิน จีนหวังว่าจะกระตุ้นตลาดหุ้น ทำให้คนมีเงินมากขึ้น ก็จะจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น และต้องการให้ภาคการเงินมาช่วยกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ให้กระเตื้องเป็นเรื่องเป็นราว จะช่วยให้จีดีพีกระเตื้องขึ้น แต่เมื่อกระเตื้องขึ้นแล้วก็มีปัจจัยเสี่ยงตามมาคือฟองสบู่ตลาดหุ้น ผลกระทบจากตลาดหุ้นจีนทรุดนั้น คาดจะทำให้ 1.การบริโภคในจีนที่ทำท่าจะดีขึ้นก็ชะลอตัวลง เมื่อการบริโภคชะลอตัวลงโอกาสในการกระตุ้นเศรษฐกิจคงยากขึ้น 2.คงเกิดความเสียหายไม่ใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเงินออมของประชาชน ทั้ง 10 ล้านคนที่เป็นรายย่อยที่ระดมเงินเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น จีดีพีของจีนปีนี้ที่จะทำให้เติบโต 7% ก็คงจะทำได้ยากขึ้น เพราะมาตรการ 2 ตัวให้ช่วยเศรษฐกิจมีพลังน้อยลงมากทั้งจากการบริโภคในประเทศและอสังหาริมทรัพย์
ส่วนผลกระทบต่อไทย จากตลาดหุ้นจีนดิ่งอย่างเร็ว คือ1.การส่งออกไทยที่ทรุดอยู่แล้วก็ยากที่จะฟื้นเพราะการส่งออก 5 เดือนแรกของไทยปีนี้อยู่ที่ - 4.2% และจีนเป็นตลาดที่ส่งออกสำคัญของไทยคิดเป็นสัดส่วน 13% โอกาสกอบกู้ส่งออกให้เป็นบวกก็ยิ่งยากขึ้น อย่างไรก็ตามระยะสั้นก็คงมีปัญหา ระยะยาวก็น่าจะค้าขายกันต่อไป จีนก็จะเติบโต 6-7% ไปอีกหลายปี
2.การลงทุนของจีนที่ทำท่าจะเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้นก็ชะลอตัวลง เพราะบริษัทจำนวนมากที่มีโอกาสเข้าลงทุนไทยก็เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นจีน การลงทุนของจีนในไทยและจีนในอาเซียนก็จะชอตัวลง 3.ที่สำคัญมาก คือ ภาคการท่องเที่ยว ปีนี้ที่คาดจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาในไทยราว 6-7 ล้านคนอาจไม่เป็นตามเป้า 4.ทำให้ตลาดหุ้นของไทยและในอาเซียน ประเทศอื่นปั่นป่วน สิ่งที่ผู้ประกอบการไทยพอรับมือได้คือบริหารความเสี่ยง ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างระมัดระวัง ด้วยความรอบคอบวิเคราะห์ถูกต้อง ครึ่งปีหลังที่เศรษฐกิจยังไม่กระเตื้องไม่ได้มีปัจจัยเดียวจากจีน ภายในไทยเองก็มีปัญหาต่างๆ เช่น ภัยแล้ง คาดว่าการขยายตัวจีดีพีปีนี้ของไทยจะทรงๆ และอยู่ที่ 3% จากปัจจัยฐานการขยายตัวจีดีพีปีที่ผ่านมาต่ำ และปีนี้การลงทุนภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศคือตัวหลักที่จะช่วยดึงจีดีพี
รมว.การท่องเที่ยว เข้าใจการค้าขายแบบจีน อ้าแขนรับ "ทัวร์ศูนย์เหรียญ"
ขณะที่หันมาดูด้านการท่องเที่ยวแล้ว แม้ทัวร์จีนจะเข้ามาท่องเที่ยวในไทยมากขึ้น แต่ยังมีกำลังซื้อน้อยและส่วนมากเป็นนักท่องเที่ยวตลาดล่างถึงระดับกลางเห็นหลัก เมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวยุโรปที่จะใช้จ่ายมากกว่า   รวมทั้ง "ทัวร์ศูนย์เหรียญ" ของธุรกิจทัวร์จีน ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา[5] เปิดเผยถึงปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญจีนในประเทศไทยว่า ต้องเข้าใจว่ารูปแบบการทำธุรกิจของคนจีนเป็นแบบนี้ คงไม่สามารถไปเปลี่ยนพฤติกรรมได้ เมื่อใดที่สัดส่วนของนักท่องเที่ยว จีนที่เดินทางมาด้วยตัวเองสูงขึ้น เรื่องของทัวร์ศูนย์เหรียญก็จะลดลง
โดยต้องเข้าใจด้วยว่าทัวร์ศูนย์เหรียญไม่ได้ผิดกฎหมาย เป็นลักษณะของทัวร์จีนที่เกิดขึ้นกับการเดินทางไปท่องเที่ยวในทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเป็นเรื่องที่ไม่ได้แอบพูด เป็นเรื่องพูดกันบนโต๊ะ เป็นการค้าขายหรือทำธุรกิจแบบคนจีนที่ยอมขายทัวร์ขาดทุน เพื่อดึงนักท่องเที่ยวให้มาอยู่ในมือก่อน แล้วไปหากำไรเอาข้างหน้า เหมือนค่ายรถยอมขายรถยนต์ขาดทุน หรือค่ายโทรศัพท์มือถือที่ยอมขายเครื่องขาดทุน แล้วค่อยไปหากำไรจากการให้บริการ
“ในแง่ของค่าใช้จ่ายของทัวร์จีนที่นำมาใช้จ่ายในไทยก็ถือว่าไม่มีปัญหา และทัวร์จีนก็มีคุณภาพมากขึ้น ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น สิ่งที่เราจะทำได้คือต้องหาทางให้ได้เม็ดเงินเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากที่สุด ทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาด้วยตัวเอง มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่จะไปปฏิเสธกรุ๊ปทัวร์ไม่ได้ และนักท่องเที่ยวที่มากับกรุ๊ปทัวร์ ก็มักจะมาเป็นครั้งแรก ซึ่งคนที่มาครั้งแรกก็จะมีความจดจำและประทับใจ ที่รัฐบาลต้องทำก็คือการเสนอให้ไปแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆให้มากขึ้น” กอบกาญจน์ กล่าว
ททท. เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนระดับกลางถึงระดับบน
เมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา โพสต์ทูเดย์[6] รายงานว่า ศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออก ททท. เปิดเผยว่า ในปีนี้ททท.จะมุ่งผลักดันให้นักท่องเที่ยวจีนเป็นทัวร์คุณภาพมากขึ้น โดยมุ่งเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับกลางถึงระดับบน ซึ่งกลุ่มนี้จะมีรายได้เฉลี่ย 2-6 หมื่นเหรียญสหรัฐ/ปี เทียบจากที่ผ่านมาคนจีนที่เดินทางมาไทยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวตลาดล่างถึงระดับกลางเป็นหลัก
ทั้งนี้ททท.เตรียมรุกตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาไทยครั้งแรกเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้สูงขึ้น โดยตั้งเป้าการใช้จ่ายนักท่องเที่ยวจีนปีหน้า เฉลี่ย 5.01 หมื่นบาท/ทริป เทียบกับปีนี้ 4.48 หมื่นบาท/ทริป จะขยายฐานนักท่องเที่ยวในแถบจีนตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและบางส่วนยังไม่เคยเดินทางมาประเทศไทย ซึ่งในปีหน้าตั้งเป้าคนจีนเดินทางมาไทยปีหน้า 8 ล้านคน สร้างรายได้ 4.01 แสนล้านบาท เทียบกับปีนี้ 7.5 ล้านคน สร้างรายได้ 3.3 แสนล้านบาท

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น