วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ศูนย์ทนายเปิดสำนวนคดี 'ชญาภา' โพสต์ข่าวปฏิวัติซ้อน



เปิดรายงานกระบวนและคำพิพากษาคดี ใช้เวลาเพียง 15 นาที ก่อนศาลนัดฟังคำพิพากษาจำนวน 11 หน้า ศาลยกคำร้องขอคัดค้านกระบวนพิจารณาอ้างจำเลยพร้อมให้การ  ทนายเตรียมอุทธรณ์ เหยื่อเผยผู้คุมแจ้งล่วงหน้ากระชั้นตอนสามทุ่มก่อนวันตัดสิน หลังพิพากษา จนท.ราชทัณฑ์ ให้เซ็นรับคำฟ้องและหมายนัดศาลย้อนหลัง
16 ธันวาคม 2558 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (THAI LAWYERS FOR HUMAN RIGHTS) ได้รายงานเพิ่มเติมหลังได้อ่านรายงานกระบวนพิจารณาคดี  บันทึกคำให้การของจำเลย และคำพิพากษาของศาล ในคดีของ ชญาภา หญิงวัย 49 ปี ผู้ถูกกล่าวหาว่าใช้นามแฝงบนเฟซบุ๊กว่า "นินจารัก สีแดง" ข้อหาปล่อยข่าวปฏิวัติซ้อนและหมิ่นสถาบันฯ ที่ได้ตัดสินไปเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2558

=============

16 ธ.ค. 2558  ทนายความของชญาภา ในคดีโพสต์ปฏิวัติซ้อน เดินทางไปศาลทหารกรุงเทพ เพื่อติดตามคำสั่งศาลต่อคำร้องขอคัดค้านกระบวนพิจารณาที่มิชอบด้วยกฎหมาย และคำร้องขอคัดถ่ายเอกสารในคดีดำที่ 154/2558 ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอคัดค้านกระบวนพิจารณามิชอบ แต่อนุญาตให้คัดถ่ายรายงานกระบวนพิจารณาคดี ฉบับลงวันที่ 15 ธ.ค. 2558 บันทึกคำให้การของจำเลย และคำพิพากษาของศาล
พ.อ.ชนะณรงค์ ทรงวรวิทย์ ตุลาการพระธรรมนูญ มีคำสั่งยกคำร้องขอคัดค้านกระบวนพิจารณามิชอบด้วยกฎหมาย ภายหลังทนายความของชญาภา จำเลยในคดี ยื่นคำร้องวานนี้ โดยอ้างเหตุผลว่า คดีนี้ก่อนเริ่มพิจารณา ศาลได้สอบถามจำเลยเรื่องทนายแล้ว จำเลยแถลงว่าได้แต่งทนายมาแล้ว พร้อมที่จะให้การ
เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดตามฟ้องโจทก์ทุกข้อหา ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างต่ำไม่ถึงห้าปี ศาลจึงพิพากษาได้โดยไม่ต้องสืบพยานโจทก์ ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2498 มาตรา 56 (2) และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ซึ่งตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2498 มาตรา 45 บัญญัติเรื่องการพิจารณาคดี นัดถามคำให้การเพียงว่า เมื่อโจทก์หรือทนายโจทก์และจำเลยมาอยู่ต่อหน้าศาลแล้ว ศาลเชื่อว่าเป็นจำเลยจริง ก็ดำเนินกระบวนพิจารณาได้แล้ว ดังนั้น จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยกฎหมาย จึงให้ยกคำร้อง
ด้านรายงานกระบวนพิจารณาคดี วันที่ 15 ธ.ค. 2558 ระบุว่า องค์คณะตุลาการ ได้แก่ น.อ.สฤษดิ์ อนันต์วิเชียร์ ร.น. น.อ.วีระยุทธ โรจรุจิพงษ์ ร.น. และ พ.อ.ชนะณรงค์ ทรงวรวิทย์ ออกนั่งพิจารณาเรื่องนี้เวลา 10.30 น. โจทก์แถลงขอให้ศาลพิจารณาคดีนี้เป็นการลับ เนื่องจากจะต้องมีการนำสืบพยานหลักฐานอันเป็นข้อเท็จจริง และพฤติการณ์การกระทำผิดของจำเลย หากพิจารณาตดีโดยเปิดเผย อาจก่อให้เกดความเข้าใจผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในหมู่ประชาชน ซึ่งเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศ
ศาลได้พิเคราะห์แล้วมีคำสั่งให้พิจารณาคดีเป็นการลับ อนุญาตให้อยู่ในห้องพิจารณาได้เฉพาะโจทก์ จำเลย ทนายความจำเลย เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของศาลเท่านั้น
จากนั้น ศาลได้สอบถามจำเลยเรื่องทนาย จำเลยแถลงว่าได้แต่งทนายมาแล้ว พร้อมที่จะให้การในวันนี้ ศาลจึงได้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังจนเข้าใจดีแล้ว สอบถามคำให้การ จำเลยให้การว่าได้กระทำผิดตามฟ้องโจทก์จริงทุกข้อหา ไม่ขอต่อสู้คดี โจทก์แถลงไม่สืบพยาน คดีเป็นอันเสร็จการพิจารณา
กระบวนพิจารณาครั้งนี้ ใช้เวลาเพียง 15 นาที ก่อนศาลนัดฟังคำพิพากษาจำนวน 11 หน้า ในเวลา 10.45 น. ขณะที่คำให้การจำเลย ส่วนเนื้อหาคำให้การ มีลักษณะพิมพ์ข้อความไว้บางส่วน และใช้วิธีเขียนกรอกข้อมูลส่วนบุคคลของจำเลยเพิ่มภายหลัง ระบุว่า จำเลยเข้าใจฟ้องโจทก์ดีแล้ว ขอให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดตามฟ้องโจทก์จริงทุกข้อกล่าวหา ไม่ขอต่อสู้คดี
นอกจากนี้ วันนี้ทนายความได้เข้าเยี่ยมชญาภา จำเลยในคดีที่ทัณฑสถานหญิงกลาง ทราบว่า เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์แจ้งให้ชญาภาทราบว่าต้องมาศาลวันที่ 15 ธ.ค.2558 ในเวลาประมาณ 21.00 น. ของวันที่ 14 ธ.ค. 2558 ซึ่งเป็นคืนก่อนวันที่ศาลนัดสอบคำให้การ โดยชญาภาทราบจากเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ในวันที่มาศาลว่า เจ้าหน้าที่ที่รับหมายนัดจากศาลทหารแจ้งว่าลืมส่งเอกสารให้
ทั้งนี้ ชญาภายังเล่าให้ทนายความฟังอีกว่า วันที่ 15 ธ.ค. 2558 ภายหลังศาลมีคำพิพากษาและเดินทางกลับเรือนจำแล้ว เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำหมายนัด ฉบับลงวันที่ 8 ธ.ค. 2558 พร้อมทั้งคำฟ้องมาให้ตนลงลายมือชื่อ
ด้านรายละเอียดคำพิพากษา ศาลทหารพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดเป็น 5 กระทง แบ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) (2) (5) จำนวน 2 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษจำคุกลงกระทงละกึ่งหนึ่ง รวมโทษจำคุก 2 กระทง 4 ปี 12 เดือน
อีก 3 กระทง เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และ พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) (2) (5) จำคุกกระทงละ 3 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษจำคุกลงกระทงละกึ่งหนึ่ง รวมโทษจำคุก 3 กระทง 3 ปี 18 เดือน
โทษจำคุก 5 กระทงรวม 7 ปี 30 เดือน รายละเอียดข้อกฎหมายตามคำพิพากษา มีดังนี้
  • ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ และรัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชน และความมั่นคงของประเทศ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) (2) (5) รวม 2 ฐาน ฐานละ 2 กระทง แต่การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานหมิ่นปประมาท ดูหมิ่น พระมหากษัตริย์ และรัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ลงโทษจำคุกกระทงละ 5 ปี รวมโทษทุกกระทงเป็นโทษจำคุก 10 ปี ลดโทษที่จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา อันเป็นเหตุเบาทรรโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลงกระทงละกึ่งหนึ่ง เป็นโทษจำคุก 4 ปี 12 เดือน

  • ฐานทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชน และความมั่นคงของประเทศ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) (2) (5) รวม 2 ฐาน ฐานละ 3 กระทง แต่การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 อันเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ลงโทษจำคุกกระทงละ 3 ปี รวมโทษทุกกระทงเป็โทษจำคุก 9 ปี ลดโทษที่จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา อันเป็นเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลงกระทงละกึ่งหนึ่ง เป็นโทษจำคุก 3 ปี 18 เดือน
รวมโทษ 5 กระทง คงให้จำคุกจำเลยไว้ มีกำหนด 7 ปี 30 เดือน โทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางริบ
อย่างไรก็ตาม ทนายความจะดำเนินการยื่นอุทธรณ์ต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น