วิชา มธ.111 เปิดบรรยายสาธารณะ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ หวังพยากรณ์ผิดว่าขัดแย้งถึงขั้นนองเลือด ธำรงศักดิ์ ล้มทฤษฎี ไทยไม่เคยเป็นประชาธิปไตย ทหารเป็นนายกฯ 65.5% ตลอดอายุประชาธิปไตยไทย ถอดสูตรเก่า-ความฉลาดใหม่ทหารไทย ปิยบุตรอธิบายการเอารัฐประหารไปใส่ในรธน. จีรนุชระบุ ประชามติ-รัฐธรรมนูญเทียม ไม่มีอนาคต
19 ส.ค.2559 ที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในวิชา มธ.111 ประเทศไทยในมิติประวัติศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรม มีการจัดบรรยายในหัวข้อ รัฐธรรมนูญ ประชามติและอนาคตประเทศไทย โดยมีผู้ร่วมอภิปราย ได้แก่ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ ประธานหลักสูตรรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต, ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ-ปิยบุตร แสงกนกกุล
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ หวังพยากรณ์ผิดว่าขัดแย้งถึงขั้นนองเลือด
ชาญวิทย์ กล่าวว่า การต่อสู้รบรากันมาจนเป็นศึกสงครามย่อยๆ หลายปีมานี้เป็นการต่อสู้ของตัวแทนสองฝ่าย (proxy war) ฝ่ายแรกคือ อำนาจเดิม บารมีเดิม เงินทุนเดิม และความคิดอนุรักษ์นิยมเดิม กับ อำนาจใหม่ บารมีใหม่ เงินทุนใหม่ และความคิดเสรีนิยมประชาธิปไตยใหม่ การต่อสู้นี้ยาวยืดและรุนแรงข้ามทศสมัยและกำลังข้ามรัชสมัย ดังนั้นสิ่งที่เราไม่เคยคิดจะได้เห็นก็ได้เห็นอย่างไม่น่าเชื่อ ที่สำคัญสิ่งที่ได้เห็นมาชั่วชีวิตก็จะไม่มีให้เห็นอีกต่อไปในไม่ช้านาน สังคมจากระดับกลางถึงระดับล่างได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ผู้คนจำนวนหนึ่งในระดับกลางบนและระดับบนอาจนึกไม่ถึงและมองไม่เห็นด้วยซ้ำ วันเวลาการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ยิ่งกว่าการเสียกรุงศรีกำลังมาถึง ต่างแค่นี่เป็นศึกของคนไทยด้วยกัน
ในการต่อสู้เพื่อชิงชัยระหว่างฝ่ายเดิมและฝ่ายใหม่ คนคงต้องการคำตอบว่าใครจะชนะ ตนเองเคยตอบว่า ฝ่ายชนะคือฝ่ายที่มีความอดทนสูง มีขันติบารมี ใครอดทนรอจนถึง “ชั่วขณะของสัจธรรม” (moment of truth) คือฝ่ายชนะ สิ่งที่เห็นจึงเป็นเกมรอ เกมรั้ง เกมยื้อ ไม่แตกหักให้รู้แล้วรู้รอด แต่เป็นการช่วงชิงความได้เปรียบในการกำหนดทิศทางชั่วขณะของสัจธรรมประหนึ่ง manager of the big change
นอกจากนี้ยังอยากคาดคะเนอนาคตด้วย ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าตนเองคาดคะเนผิดมาตลอดและหวังว่าครั้งนี้จะคาดคะเนผิดอีก คิดว่าในศึกครั้งนี้ไม่สามารถประนีประนอมปรองดองและเกี้ยเซี้ยกันได้อีกต่อไป สิ่งที่เรียกว่าการปฏิรูปจะไม่เกิด เพราะรัฐธรรมนูญที่กำหนดโรดแม็ปของสังคมและประเทศชาติไม่ใช่ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน แต่เป็นการรักษาสถานะเดิมของเสนาอำมาตย์ตุลาการ การแตกหักจนถึงขั้นมีการจลาจลปั่นป่วนนองเลือดคงหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
“ผมอยากเชื่อ แต่ไม่อยากได้เห็น ดังที่เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยากล่าวไว้...ผมหวังว่าจะคาดคะเนผิดอีกเช่นเคย และเพลงยาวที่แต่งไว้สองสามร้อยปีก็จะผิดด้วย” ชาญวิทย์กล่าว
นอกจากนี้ยังอยากคาดคะเนอนาคตด้วย ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าตนเองคาดคะเนผิดมาตลอดและหวังว่าครั้งนี้จะคาดคะเนผิดอีก คิดว่าในศึกครั้งนี้ไม่สามารถประนีประนอมปรองดองและเกี้ยเซี้ยกันได้อีกต่อไป สิ่งที่เรียกว่าการปฏิรูปจะไม่เกิด เพราะรัฐธรรมนูญที่กำหนดโรดแม็ปของสังคมและประเทศชาติไม่ใช่ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน แต่เป็นการรักษาสถานะเดิมของเสนาอำมาตย์ตุลาการ การแตกหักจนถึงขั้นมีการจลาจลปั่นป่วนนองเลือดคงหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
“ผมอยากเชื่อ แต่ไม่อยากได้เห็น ดังที่เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยากล่าวไว้...ผมหวังว่าจะคาดคะเนผิดอีกเช่นเคย และเพลงยาวที่แต่งไว้สองสามร้อยปีก็จะผิดด้วย” ชาญวิทย์กล่าว
ธำรงศักดิ์ ล้มทฤษฎีไทยไม่เคยเป็นประชาธิปไตย ทหารเป็นนายกฯ 65.5% ตลอดอายุประชาธิปไตยไทย
ธำรงศักดิ์ เริ่มต้นด้วยการล้มความคิดเดิมของรูปแบบรัฐไทยที่ทุกคนเชื่อ โดยกล่าวว่า เราถูกบรรจุในซอฟต์แวร์ว่า รัฐไทยคือรัฐประชาธิปไตยที่เริ่มต้นตั้งแต่การปฏิวัติ 2475 และเรายังมีซอฟต์แวร์อีกตัวหนึ่งในหัวของเราซึ่งเป็นผลงานสำคัญของโลกตะวันตกที่ศึกษาคณะรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองของไทยแล้วเรียกรัฐไทยว่าเป็นรัฐราชการ ราชการเป็นใหญ่ ทั้งสองสิ่งไปด้วยกันได้อย่างไรก็ยังน่าแปลกใจ อย่างไรก็ตาม วันนี้จะขอล้มซอฟต์แวร์ทั้งสองตัวนั้นแล้วนำเสนอใหม่ว่า รัฐไทยเป็นรัฐทหาร (military state) ตลอด 84 ปีที่ผ่านมา เมื่อรัฐสมบูรณาญาสิทธราชย์เริ่มสร้างตนเอง โดยมีการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้นรัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์สร้างสถาบันการศึกษาที่สำคัญที่สุดแห่งแรกคือ โรงเรียนนายร้อยทหารบก เป็นโรงเรียนการศึกษาขั้นสูงที่ก่อตั้งก่อนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเกือบ 3 ทศวรรษ ฐานกองทัพจึงเป็นฐานสำคัญของการเมืองสมัยใหม่ และผ่านไปเพียง 25 ปีก็พบว่าทหารลุกขึ้นมาจะเปลี่ยนระบอบ นั่นคือ กบฏยังเติร์กหรือกบฏหมอเหล็ง และต่อมาก็ทำการปฏิวัติปี 2475 ทหารกลายเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันสังคมไทยเข้าสุ่ยุคใหม่
คณะราษฎรมีสมาชิก 102 คนโดยครึ่งหนึ่งเป็นทหาร ครึ่งหนึ่งเป็นพลเรือน ตัวบุคคลที่สำคัญสุดคือ หัวหน้าคณะยึดอำนาจ ในรอบ 84 ปีที่ผ่านมา ขอแบ่งออกเป็นสามช่วงคือ ช่วง 41 ปีแรก ระหว่างปี 2475-2516 เรามีนายกฯ ที่เป็นทหารอยู่ 4 คน คือ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกฯ เกือบ 6 ปี จอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกฯ 15 ปี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นนายกฯ 5 ปี จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกฯ 11 ปี รวมแล้วทหารเป็นนายกฯ 37 ปี แล้วยังมีนายกฯ ตัวแทนของคณะยึดอำนาจคือ ควง อภัยวงศ์ และ พจน์ สารสิน อีก 2 ปี เหลือเวลาแย่งชิงกันของพรรคการเมือง 3 ปี เรียกได้ว่ายุคนี้เป็นรัฐทหารสมบูรณ์แบบ
หลังพลังนักศึกษาล้มรัฐบาลทหารถนอมซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะล้มได้ ในช่วงที่สองนั้นนับตั้งแต่ปี 2517-2533 รวมระยะเวลา 17 ปี เรามีนายกฯ ทหาร 2 คน คือ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นนายกฯ 2 ปีครึ่ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อยู่ 8 ปีครึ่ง นายกฯ ตัวแทนคณะยึดอำนาจ คือ ธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกฯ อีก 1 ปี รวมแล้วนายทหารเป็นผู้นำ 12 ปี เหลือเวลาให้การเมืองแบบการเลือกตั้งของพลเรือนแย่งชิงกัน 5 ปี
ช่วงเวลาที่สาม ตั้งแต่ปี 2534-2559 รวมระยะเวลา 26 ปี ในช่วงนี้มีนายพล 3 คนเป็นนายกฯ คือ พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นนายกฯ ได้ 48 วัน ทำสถิติต่ำสุดของกองทัพไทย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกฯ 1 ปีครึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ มาแล้ว 2 ปี 3 เดือนและอาจจะอยู่นิรันดร อันนี้เป็นเรื่องตามใจท่าน นอกจากนี้ยังมีนายกฯ ที่คณะรัฐประหารตั้งมาคือ อานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกฯ อยู่ 1 ปีครึ่ง รวมแล้วทหารรวมกับอานันท์อยู่ได้ 5 ปี แปลว่าช่วงนี้เจอผู้นำทหารน้อยมาก มาแล้วไปเร็ว เรามีเวลา 21 ปีที่พรรคการเมืองต่างๆ จะแข่งขันกันเป็นรัฐบาล และในช่วงนี้ก็มีนายกฯ พลเรือนจำนวนมาก แต่เราแทบจดจำอะไรเขาไม่ได้เลยนอกจากความรักและความเกลียด
“นักการเมืองไทยถูกทำให้ไม่เป็นที่จดจำ ถูกทำให้เป็นมนุษย์ที่ไร้ตัวตน เป็นบุคคลที่ถูกทำให้มีแต่ภาพด้านลบ”
รวมเวลาของเส้นทางประชาธิปไตยทั้งหมด 84 ปี มีนายกฯ เป็นทหาร 9 คน ตัวแทนทหาร 4 คน ใน 13 คนนี้รวมเวลาปกครอง 55 ปี คิดเป็น 65.5% ของชีวิตประชาธิปไตย ในขณะที่ 29 ปีที่เหลือที่มีนายกฯ พลเรือนก็ขาดวิ่นเป็นช่วงๆ
ช่วงมีนายกฯ พลเรือนดูเหมือนบ้านเมืองวุ่นวาย พอมีนายกฯ ทหารบ้านเมืองดูสงบราบคาบ อะไรคือสิ่งที่ทำให้รัฐทหารของไทยเสถียรและมั่นคงมาก ขอชี้ให้เห็นถึงวิธีการทางอำนาจทหารที่ใช้ในการเข้าสู่อำนาจและรักษาอำนาจ นั่นคือ
1. การรัฐประหารหรือยึดอำนาจ ใน 84 ปีมีการรัฐประหารทั้งหมด 13 ครั้ง เฉลี่ย 6 ปีครึ่งมีการยึดอำนาจ 1 ครั้ง โดยเฉพาะครึ่งหลังช่วงระหว่างปี 2516-ปัจจุบัน รวมเวลา 43 ปีมีรัฐประหารเกิดขึ้น 5 ครั้ง เฉลี่ยแล้ว 8 ปีต่อครั้ง
โดยรูปแบบที่ผ่านมาเมื่อยึดอำนาจแล้วทหารจะใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในช่วง 2-3 ปีแรก แต่ช่วงสฤษดิ์และถนอมใช้อำนาจเบ็ดเสร็จนานถึง 10 ปี รัฐทหารไทยเติบโตมาพร้อมกับการปฏิวัติ 2475 ดังนั้น รัฐทหารไทยจึงไม่อาจปฏิเสธข้ออ้างการสร้างประชาธิปไตยได้ รัฐทหารจะกระชับอำนาจอย่างเต็มที่ 2-3 ปีแล้วจะคลายตัวให้คนอื่นมามีส่วนร่วมทางการเมือง แต่ในช่วงปลายๆ ก็จะเริ่มต้นล้มอำนาจรัฐบาลพลเรือนแล้วกระชับอำนาจใหม่
“มันคือพฤติกรรมที่ปฏิบัติซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นแนวทฤษฎีของการเมืองไทยได้เลย นี่เป็นการอธิบายว่า ท่านอยู่กับอะไร จะได้ไม่เพ้อฝัน และสิ่งนี้ในทางการเมืองเราเรียกว่า วงจรอุบาทว์ ทหารจะต้องกระชับอำนาจของตนเองเป็นระยะๆ”
เวลากระชับอำนาจครั้งหนึ่งทหารจะได้งบประมาณที่เพิ่มขึ้น เงินเดือนเพิ่มขึ้น เรียกว่าเป็นการบำรุงบำเรอให้ทหารมีความสุขในหน่วย
2. รัฐทหารต้องสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘รัฐธรรมนูญ’ ขึ้นมา ตอนนี้กำลังอยู่ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวเพื่อไปสู่รัฐธรรมนูญถาวร ซึ่งเป็นวิธีการรักษาอำนาจอย่างมีจังหวะจะโคน ในยุคของจอมพลสฤษดิ์และถนอม ใช้การสร้างรัฐธรรมนูญกันถึง 10 ปี วิธีการง่ายมาก เนื่องจากพลเรือนนั้นชอบเถียงกันทุกถ้อยคำ ทหารปล่อยให้เถียงเต็มที่ เถียงอยู่ 10 ปีแล้วพอรัฐธรรมนูญจะออก ทหารจะบอกว่าต้องการอะไร ที่เถียงกันมาทิ้งหมด เมื่อเทียบกับปัจจุบัน วิธีการหนึ่งที่เห็นว่าใหม่และเพิ่มเติมขึ้นมา คือ คณะทหารแต่งตั้งคน 2 กลุ่ม คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เราแทบไม่เคยรู้เรื่องของ สนช. เพราะมีสภาอีกอัน คือ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่ตั้งพลเรือนฝีปากกล้าอยู่ในนี้เพื่อให้เป็นเป้า ขณะที่ สนช.ไม่มีใครสนใจแต่มีอำนาจจริงและจะสแตมป์ทุกอย่างเพื่อรับรองอำนาจทหาร นี่เป็นกลยุทธ์ใหม่ที่คิดค้นขึ้นมาได้
วิธีที่ทหารใช้ในครั้งนี้ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกแล้วแท้งโดยไม่มีปัญหาใด ร่างฉบับที่สองของมีชัย ฤชุพันธุ์ ก่อนร่างจะเสร็จได้มีข้อเสนอของคณะทหาร 3 ข้อ หนึ่งในนั้นคือให้ ส.ว.มี 250 คนและให้แต่งตั้งผู้นำเหล่าทัพเข้าไปอยู่ในนั้นโดยตำแหน่ง ถามว่าทำไมไม่เสนอตั้งแต่ฉบับแรก นี่คือยุทธวิธี “อยากได้อะไรเอาไว้ตอนท้าย” ตอนประชามติก็มีคำถามพ่วงท้าย มันเป็นจังหวะค่อยๆ ใส่ทีละเล็กน้อย
“การสร้างรัฐธรรมนูญถาวรเป็นการรักษาอำนาจในแง่ของเวลา ยุทธวิธีพวกนี้เขาใช้มาตั้งนานแล้ว เพราะคณะทหารนั้นเมื่อเข้าสู่อำนาจแล้วไม่เคยบอกว่าตนเองจะจบจากอำนาจเมื่อไร แต่รัฐสภาของพลเรือนนั้นชัดเจนว่ามีอายุ 4 ปีหรือยุบสภาหรือลาออก แต่ทหารนั้นแล้วแต่จังหวะเวลาและแรงบีบ เรียกว่าอยู่ไปวันๆ แต่อยู่ยาว”
ประเด็นต่อมา ในรัฐธรรมนูญถาวร อะไรคือสิ่งที่ทหารต้องการมากที่สุด 1.ทหารต้องการให้ “ทหารหรือข้าราชการประจำเป็นนายกฯ ได้” ส่วนคณะรัฐมนตรี ช่วงจังหวะใดที่ตั้งเพื่อนทหารมาเป็นรัฐมนตรีไม่ได้ ก็จะยอมคุมแค่นายกฯ และจะแจกจ่ายตำแหน่งรัฐมนตรีให้ข้าราชการเกษียณทั่วไป จากนั้นค่อยปรับให้ทหารจากเหล่าต่างๆ มาเป็นรัฐมนตรี นี่คือ พรรคการเมืองที่สำคัญที่สุดของประเทศคือ พรรคทหาร ที่มีฐานจากภาษีทุกท่าน 2. ทหารแบ่งสภาเป็นสองส่วน วุฒิสภานั้นต้องการให้ทหารข้าราชการประจำเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ รัฐธรรมนูญก็มีข้อยกเว้นให้ข้าราชการประจำเป็นวุฒิสภาได้ และอยากออกแบบให้วุฒิสภาร่วมอภิปรายและยกมือไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้เพื่อให้วุฒิสภาเป็นหน่วยค้ำจุนสนับสนุนรัฐบาลทหาร
หลังพลังนักศึกษาล้มรัฐบาลทหารถนอมซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะล้มได้ ในช่วงที่สองนั้นนับตั้งแต่ปี 2517-2533 รวมระยะเวลา 17 ปี เรามีนายกฯ ทหาร 2 คน คือ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นนายกฯ 2 ปีครึ่ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อยู่ 8 ปีครึ่ง นายกฯ ตัวแทนคณะยึดอำนาจ คือ ธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกฯ อีก 1 ปี รวมแล้วนายทหารเป็นผู้นำ 12 ปี เหลือเวลาให้การเมืองแบบการเลือกตั้งของพลเรือนแย่งชิงกัน 5 ปี
ช่วงเวลาที่สาม ตั้งแต่ปี 2534-2559 รวมระยะเวลา 26 ปี ในช่วงนี้มีนายพล 3 คนเป็นนายกฯ คือ พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นนายกฯ ได้ 48 วัน ทำสถิติต่ำสุดของกองทัพไทย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกฯ 1 ปีครึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ มาแล้ว 2 ปี 3 เดือนและอาจจะอยู่นิรันดร อันนี้เป็นเรื่องตามใจท่าน นอกจากนี้ยังมีนายกฯ ที่คณะรัฐประหารตั้งมาคือ อานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกฯ อยู่ 1 ปีครึ่ง รวมแล้วทหารรวมกับอานันท์อยู่ได้ 5 ปี แปลว่าช่วงนี้เจอผู้นำทหารน้อยมาก มาแล้วไปเร็ว เรามีเวลา 21 ปีที่พรรคการเมืองต่างๆ จะแข่งขันกันเป็นรัฐบาล และในช่วงนี้ก็มีนายกฯ พลเรือนจำนวนมาก แต่เราแทบจดจำอะไรเขาไม่ได้เลยนอกจากความรักและความเกลียด
“นักการเมืองไทยถูกทำให้ไม่เป็นที่จดจำ ถูกทำให้เป็นมนุษย์ที่ไร้ตัวตน เป็นบุคคลที่ถูกทำให้มีแต่ภาพด้านลบ”
รวมเวลาของเส้นทางประชาธิปไตยทั้งหมด 84 ปี มีนายกฯ เป็นทหาร 9 คน ตัวแทนทหาร 4 คน ใน 13 คนนี้รวมเวลาปกครอง 55 ปี คิดเป็น 65.5% ของชีวิตประชาธิปไตย ในขณะที่ 29 ปีที่เหลือที่มีนายกฯ พลเรือนก็ขาดวิ่นเป็นช่วงๆ
ช่วงมีนายกฯ พลเรือนดูเหมือนบ้านเมืองวุ่นวาย พอมีนายกฯ ทหารบ้านเมืองดูสงบราบคาบ อะไรคือสิ่งที่ทำให้รัฐทหารของไทยเสถียรและมั่นคงมาก ขอชี้ให้เห็นถึงวิธีการทางอำนาจทหารที่ใช้ในการเข้าสู่อำนาจและรักษาอำนาจ นั่นคือ
1. การรัฐประหารหรือยึดอำนาจ ใน 84 ปีมีการรัฐประหารทั้งหมด 13 ครั้ง เฉลี่ย 6 ปีครึ่งมีการยึดอำนาจ 1 ครั้ง โดยเฉพาะครึ่งหลังช่วงระหว่างปี 2516-ปัจจุบัน รวมเวลา 43 ปีมีรัฐประหารเกิดขึ้น 5 ครั้ง เฉลี่ยแล้ว 8 ปีต่อครั้ง
โดยรูปแบบที่ผ่านมาเมื่อยึดอำนาจแล้วทหารจะใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในช่วง 2-3 ปีแรก แต่ช่วงสฤษดิ์และถนอมใช้อำนาจเบ็ดเสร็จนานถึง 10 ปี รัฐทหารไทยเติบโตมาพร้อมกับการปฏิวัติ 2475 ดังนั้น รัฐทหารไทยจึงไม่อาจปฏิเสธข้ออ้างการสร้างประชาธิปไตยได้ รัฐทหารจะกระชับอำนาจอย่างเต็มที่ 2-3 ปีแล้วจะคลายตัวให้คนอื่นมามีส่วนร่วมทางการเมือง แต่ในช่วงปลายๆ ก็จะเริ่มต้นล้มอำนาจรัฐบาลพลเรือนแล้วกระชับอำนาจใหม่
“มันคือพฤติกรรมที่ปฏิบัติซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นแนวทฤษฎีของการเมืองไทยได้เลย นี่เป็นการอธิบายว่า ท่านอยู่กับอะไร จะได้ไม่เพ้อฝัน และสิ่งนี้ในทางการเมืองเราเรียกว่า วงจรอุบาทว์ ทหารจะต้องกระชับอำนาจของตนเองเป็นระยะๆ”
เวลากระชับอำนาจครั้งหนึ่งทหารจะได้งบประมาณที่เพิ่มขึ้น เงินเดือนเพิ่มขึ้น เรียกว่าเป็นการบำรุงบำเรอให้ทหารมีความสุขในหน่วย
2. รัฐทหารต้องสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘รัฐธรรมนูญ’ ขึ้นมา ตอนนี้กำลังอยู่ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวเพื่อไปสู่รัฐธรรมนูญถาวร ซึ่งเป็นวิธีการรักษาอำนาจอย่างมีจังหวะจะโคน ในยุคของจอมพลสฤษดิ์และถนอม ใช้การสร้างรัฐธรรมนูญกันถึง 10 ปี วิธีการง่ายมาก เนื่องจากพลเรือนนั้นชอบเถียงกันทุกถ้อยคำ ทหารปล่อยให้เถียงเต็มที่ เถียงอยู่ 10 ปีแล้วพอรัฐธรรมนูญจะออก ทหารจะบอกว่าต้องการอะไร ที่เถียงกันมาทิ้งหมด เมื่อเทียบกับปัจจุบัน วิธีการหนึ่งที่เห็นว่าใหม่และเพิ่มเติมขึ้นมา คือ คณะทหารแต่งตั้งคน 2 กลุ่ม คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เราแทบไม่เคยรู้เรื่องของ สนช. เพราะมีสภาอีกอัน คือ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่ตั้งพลเรือนฝีปากกล้าอยู่ในนี้เพื่อให้เป็นเป้า ขณะที่ สนช.ไม่มีใครสนใจแต่มีอำนาจจริงและจะสแตมป์ทุกอย่างเพื่อรับรองอำนาจทหาร นี่เป็นกลยุทธ์ใหม่ที่คิดค้นขึ้นมาได้
วิธีที่ทหารใช้ในครั้งนี้ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกแล้วแท้งโดยไม่มีปัญหาใด ร่างฉบับที่สองของมีชัย ฤชุพันธุ์ ก่อนร่างจะเสร็จได้มีข้อเสนอของคณะทหาร 3 ข้อ หนึ่งในนั้นคือให้ ส.ว.มี 250 คนและให้แต่งตั้งผู้นำเหล่าทัพเข้าไปอยู่ในนั้นโดยตำแหน่ง ถามว่าทำไมไม่เสนอตั้งแต่ฉบับแรก นี่คือยุทธวิธี “อยากได้อะไรเอาไว้ตอนท้าย” ตอนประชามติก็มีคำถามพ่วงท้าย มันเป็นจังหวะค่อยๆ ใส่ทีละเล็กน้อย
“การสร้างรัฐธรรมนูญถาวรเป็นการรักษาอำนาจในแง่ของเวลา ยุทธวิธีพวกนี้เขาใช้มาตั้งนานแล้ว เพราะคณะทหารนั้นเมื่อเข้าสู่อำนาจแล้วไม่เคยบอกว่าตนเองจะจบจากอำนาจเมื่อไร แต่รัฐสภาของพลเรือนนั้นชัดเจนว่ามีอายุ 4 ปีหรือยุบสภาหรือลาออก แต่ทหารนั้นแล้วแต่จังหวะเวลาและแรงบีบ เรียกว่าอยู่ไปวันๆ แต่อยู่ยาว”
ประเด็นต่อมา ในรัฐธรรมนูญถาวร อะไรคือสิ่งที่ทหารต้องการมากที่สุด 1.ทหารต้องการให้ “ทหารหรือข้าราชการประจำเป็นนายกฯ ได้” ส่วนคณะรัฐมนตรี ช่วงจังหวะใดที่ตั้งเพื่อนทหารมาเป็นรัฐมนตรีไม่ได้ ก็จะยอมคุมแค่นายกฯ และจะแจกจ่ายตำแหน่งรัฐมนตรีให้ข้าราชการเกษียณทั่วไป จากนั้นค่อยปรับให้ทหารจากเหล่าต่างๆ มาเป็นรัฐมนตรี นี่คือ พรรคการเมืองที่สำคัญที่สุดของประเทศคือ พรรคทหาร ที่มีฐานจากภาษีทุกท่าน 2. ทหารแบ่งสภาเป็นสองส่วน วุฒิสภานั้นต้องการให้ทหารข้าราชการประจำเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ รัฐธรรมนูญก็มีข้อยกเว้นให้ข้าราชการประจำเป็นวุฒิสภาได้ และอยากออกแบบให้วุฒิสภาร่วมอภิปรายและยกมือไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้เพื่อให้วุฒิสภาเป็นหน่วยค้ำจุนสนับสนุนรัฐบาลทหาร
ตอนนี้คำถามพ่วงท้ายประชามติ ทำให้ ส.ว.ร่วมโหวตนายกฯ ได้ด้วย นี่เป็นมิติใหม่มาก ทหารสามารถเพิ่มอำนาจตัวเองเพิ่มขึ้นได้มาก ในส่วน ส.ส. ทหารต้องการให้บางจังหวะทหารสร้างพรรคการเมืองของตนเองขึ้นมาโดย ผบ.ทบ.เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อลงเล่นในสนามการเลือกตั้งได้ เช่น จอมพล ป.ตั้งพรรคเสรีมนังคศิลา, จอมพลถนอมสร้างพรรคสหประชาไทย อีกวิธีคือตั้งพรรคการเมืองที่ไม่มีทหารแต่มีเครือข่ายทหารเป็นผู้นำ หรืออีกวิธีคือ ทำให้พรรคการเมืองต่างๆ ไม่มีใครกุมเสียงสภาได้เลย ทำให้ต้องยก ผบ.ทบ.ขึ้นเป็นนายกฯ เหตุการณ์นี้เกิดในทศวรรษ 2520 ส่วนในกระบวนการเลือกตั้ง มุ่งเน้นกำจัด ส.ส.และพรรคการเมืองที่อยู่ตรงข้ามทหาร ในการเลือกตั้งปี 2495 ตอนนั้นทหารให้เลือกตั้งได้แต่มีข้อห้ามคือ 1.ห้ามปราศรัยหาเสียง 2.ห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป มันก็เหมือนกับประชามติที่ห้ามรณรงค์ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาทำมาก่อนแล้วตั้งแต่ปี 2495 และต่อมา ทำให้พรรคต่างๆ ไม่มีพละกำลังต่อรอง ทำให้ทหารคุมทั้งวุฒิสภา และคุม ส.ส.ซึ่งเสียงแตก และรัฐบาลในท้ายสุดก็เป็นรัฐบาลทหาร
อีกจุดหนึ่งที่คิดค้นในระยะ 20 ปีที่ผ่านมาและประสบความสำเร็จมาก คือ องค์กรอิสระจากฝ่ายการเมือง ทหารสามารถใช้องค์กรเหล่านี้คุมรัฐบาลพลเรือนได้อย่างดี
อีกจุดหนึ่งที่คิดค้นในระยะ 20 ปีที่ผ่านมาและประสบความสำเร็จมาก คือ องค์กรอิสระจากฝ่ายการเมือง ทหารสามารถใช้องค์กรเหล่านี้คุมรัฐบาลพลเรือนได้อย่างดี
จีรนุช เปรมชัยพร-ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์
ปิยบุตรอธิบายการเอารัฐประหารไปใส่ในรธน.
ปิยบุตร กล่าวถึงหลักการโดยทั่วไปของรัฐธรรมนูญว่า มันคือกฎหมายสูงสุดของประเทศที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันทางการเมืองต่างๆ และความสัมพันธ์ระหว่างคนในรัฐกับผู้ปกครอง ในอดีตที่มาของรัฐธรรมนูญคนคิดว่ามาจากพระเจ้า ต่อมานั้นมาจากกษัตริย์ และยุคสมัยใหม่ยึดหลักประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญจึงเกิดจากประชาชน ประชาชนเป็นผู้มีอำนาจในการทำรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญสัมพันธ์กับระบบการเมืองในแต่ละประเทศ รัฐบาลที่มีอายุยาวในไทยคือรัฐบาลที่มาจากทหารทั้งสิ้น รัฐธรรมนูญที่อายุยาวนานในไทยส่วนใหญ่คือ รัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากทหารที่ยึดอำนาจฉีกรัฐธรรมนูญถาวร ตัวอย่างสำคัญคือธรรมนูญการปกครองของสฤษดิ์ปี 2502 มีอายุยาวถึง 9 ปี
ถามว่าทำไมรัฐธรรมนูญของไทยจึงโดนฉีกบ่อย นั่นเพราะรัฐธรรมนูญมีความสัมพันธ์กับความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างพลังทางการเมืองต่างๆ ยกตัวอย่าง ธรรมนูญปกครองสยามปี 2475 ที่ปรีดี พนมยงค์จัดทำขึ้นมา รัชกาลที่7 ก็ได้เติมคำว่า “ชั่วคราว” ทำให้ต้องทำใหม่เป็นฉบับ 10 ธ.ค.2475 นั่นสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่พลังการเมืองสองฝ่ายไม่ชนะขาด และการต่อรองนั้นเริ่มต้นตั้งแต่วันแรกของการอภิวัฒน์เลย จนตกลงกันได้ในรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาซึ่งต่างจากฉบับแรกโดยเพิ่มพระราชอำนาจให้กษัตริย์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญนั้นเป็นเพียงกระดาษ เมื่อหลุดจากมือคนร่างก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้เล่นฝ่ายต่างๆ ที่เอารัฐธรรมนูญไปใช้ 1 ปีหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมีการสู้กันของสองฝ่าย รัชกาลที่ 7 อยากวีโต้กฎหมายหลายฉบับ แต่รัฐบาลบอกว่าทำไม่ได้เพราะผิดหลัก ทำให้นำมาสู่การสละราชสมบัติ และพอคณะราษฎรเริ่มแตกกันก็ยิ่งแย่ แต่สถานการณ์ก็หยุดลงชั่วคราวเพราะสงครามโลก จนเมื่อสงครามสิ้นสุด มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่เป็นฉบับที่ 3 ในปี 2489 ซึ่งมีเนื้อหาเป็นประชาธิปไตยค่อนข้างมาก เข้าใจว่าปรีดีอยากทำใหม่เพราะต้องการแก้มือจากฉบับ 10 ธันวาเนื่องจากตอนนั้นคณะกรรมการร่างเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมทั้งหมด มีเขาเป็นฝ่ายก้าวหน้าเพียงคนเดียว แต่ก็ยังมีการถกเถียงกันว่าทำไมไม่แก้ฉบับ 10 ธันวา อย่างไรก็ตาม อายุของรัฐธรรมนูญ 2489 ก็สั้นมาก ซึ่งสัมพันธ์กับการสวรรคตของในหลวงอานันท์ ในปี 2490 ก็มีรัฐประหารเป็นจังหวะอันดีที่จะล้มกลุ่มของปรีดี จะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญกลายเป็นเดิมพันของสองฝ่ายที่สู้กัน คนชนะจะไปกำหนดรัฐธรรมนูญ เพียงแต่เมืองไทยไม่สู้แบบอารยะ ใช้กระบวนการนอกรัฐธรรมนูญมาทำลายรัฐธรรมนูญแล้วกำหนดรัฐธรรมนูญใหม่ให้เป็นประโยชน์กับฝ่ายตัวเอง
หากพิจารณารัฐประหารเราจะพบว่าแต่ละครั้งมีวัตถุประสงค์ไม่เหมือนกัน บางคณะอยากอยู่สั้น บางคณะอยากอยู่ยาว คณะที่อยากอยู่สั้นคือ ปี 2549 ส่วนที่อยากอยู่ยาวคือ สฤษดิ์ อยู่ยาวถึง 16 ปี, ธานินทร์ มีแผน 12 ปีเพื่อปฏิรูปประเทศ แต่อยู่ได้ปีเดียว, คสช. ไม่เคยพูดแต่วิธีการนั้นใช่ว่าจะอยู่ยาว
แล้วมีเหตุอะไรที่ทำให้อยากอยู่ยาว ในปี 2500-2516 มีอะไรมาท้าทายพลังกลุ่มของเขา มีอะไรอันตรายต่อชนชั้นนำจารีตประเพณี ในสมัยธานินทร์นั้นอยากสู้กับคอมมิวนิสต์ชัดเจน ในยุค พล.อ.ประยุทธ์มีอะไรเป็นเรื่องท้าทาย ขอให้ผู้ฟังพิจารณากันเอง
รัฐธรรมนูญหลังรัฐประหารทุกครั้งต้องสนองวัตถุประสงค์ของรัฐประหาร สำหรับฉบับนี้กล่าวโดยย่อ เป็นการลดทอนอำนาจประชาชนที่แสดงออกผ่านการเลือกตั้งเพื่อเลือกรัฐบาลตัวเอง รัฐบาลจากการเลือกตั้งจะอ่อนแอ คนมาจากการเลือกตั้งจะเป็น เพียงหน้ากาก เป็นเสื้อผ้าอาภรณ์เพื่อบอกโลกว่าประเทศไทยมีเลือกตั้ง แต่คนที่ได้รับเลือกตั้งจะไม่มีอำนาจอะไรเลย แล้วเพิ่มอำนาจให้รัฐทหาร รัฐราชการ ผ่านกลไกต่างๆ ส.ว. ศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ ฯลฯ เราจะนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปปี 2520
“การทำรัฐประหารในศตวรรษที่ 21 น่าอับอายมาก จึงต้องเอารัฐประหารที่ดูไม่สวยงามนั้นไปใส่ในรัฐธรรมนูญ ต่อไปนี้ถ้าเกิดวิกฤตอะไร รัฐธรมนูญจะให้งดเว้นบางมาตราในรัฐธรรมนูญโดยรัฐธรรมนูญอนุญาตให้ทำ เช่น เกิดวิกฤตหาทางออกไม่ได้ อย่างเกิดการปิดถนนชุมนุม รัฐธรรมนูญใหม่มีกลไกแก้โดยทหารไม่ต้องออกมาทำรัฐประหารโดยให้มีกรรมการพิเศษ มีที่ประชุมร่วมชี้ขาดว่าจะเอายังไง สิ่งที่เคยผิดรัฐธรรมนูญก็จะถูกรัฐธรรมนูญทั้งหมดเพราะอยู่ในรัฐธรรมนูญแล้ว องค์กรที่จะมีบทบาทสำคัญในอนาคตนอกจากกองทัพ ต่อไปคือ ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะดูศิวิไลซ์กว่าให้ทหารทำ”
ในเรื่องประชามติ จะขอพูดถึงกระบวนการและผลประชามติ เรื่องกระบวนการ ประชามติที่เป็นสากลได้มาตรฐานประชาธิปไตย มีเงื่อนไขของมันอยู่ ฟรี และ แฟร์ ทั้งนี้ ฟรีคือเป็นอิสระ สัมพันธ์กับเรื่องสิทธิของทุกคนที่จะได้รู้ว่ารัฐธรรมนูญหน้าตาเป็นอย่างไร ฝ่ายเห็นด้วยและเห็นแย้งแสดงความเห็นเต็มที่หรือมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น พูด ชุมนุม เพื่อเป็นข้อมูลให้ประชาชนพิจารณาอย่างรอบคอบรอบด้าน ส่วนแฟร์คือเป็นธรรม เป็นธรรมในการเลือก ทางเลือกมี yes, no, no vote คนที่ไปโหวตเยสต้องรู้ว่าได้อะไรตามมา นั่นตอบง่ายก็คือได้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ คนโหวตโนรู้ไหมว่าได้อะไรตามมา มันไม่รู้เลยที่ผ่านมา การรณรงค์ทั้งหมดต้องเต็มที่เสมอกัน แต่ประชามติที่ผ่านมาไม่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงการใช้เสียงประชาชนเพื่อเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้อำนาจตัวเอง แต่เสียงประชาชนไม่สะท้อนความเป็นจริงเพราะไม่ได้เปิดอย่างฟรีและแฟร์
ผลของประชามติ มีผู้ออกใช้สิทธิ 55% สัดส่วนรับต่อไม่รับคือ 60:40 ไม่ค่อยต่างจากปี 2550 แต่ถ้าคิดจากฐานประชากรทั้งประเทศ มีจำนวนเพียง 30% ของประชาชนทั้งประเทศ และเหตุผลที่คน 16 ล้านคนรับร่าง คิดว่า คนจำนวนมากอยากเลือกตั้งให้เข้าสู่ระบบปกติ นักการเมืองท้องถิ่นอยากเลือกตั้งเร็ว ซึ่งเป็นความเหนื่อยหน่ายของประชาชนที่ผ่านการต่อสู้มายาวนาน ยกตัวอย่างฝรั่งเศสซึ่งต่อสู้กันมานานมาระหว่างฝ่ายสาธารณรัฐนิยมและกษัตริย์นิยม ทำให้ประชาชนจำนวนมากลงคะแนนรับ หลุยส์ นโปเลียน โบนาปาร์ต เป็นผู้ปกครอง ทั้งที่คนฝรั่งเศสฉลาดมาก นั่นเป็นคนฝรั่งเศสช่วงนั้นคือ “ชาวฝรั่งเศสที่อ่อนล้า” และยินดีที่จะให้เผด็จการยึดครองเพื่อความสงบ
เรื่องอนาคต จะพูดถึง 4 อย่าง คือ
1. รัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งกำหนดวิธีการแก้ไว้ยากมาก ยืนยันว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่แก้ยากที่สุดในโลก และไม่มีทางแก้ได้ในทางปฏิบัติ ถ้ามีคนอยากแก้แต่แก้ไม่ได้ในความเป็นจริงก็จะเกิดวิกฤต
“กระบวนการไม่อนุญาตให้แก้ก็ต้องแก้นอกกระบวนการรัฐธรรมนูญ มันต้องถูกฉีกแน่นอน ไม่รู้เมื่อไร เหลือแต่ว่าจะถูกฉีกโดยกองทัพ หรือมือและตีนของประชาชน ซึ่งอย่างหลังยังไม่เคยเกิดขึ้น”
2. ความขัดแย้ง จากความขัดแย้งในรูปกฎหมายจะกลายเป็นความขัดแย้งทางการเมือง ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา กฎหมายเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ ที่ผ่านมาเราเถียงกันในเชิงประเด็นทางกฎหมายกันเยอะมาก แต่ผลจากรัฐธรรมนูญใหม่ทำให้เราไม่ได้เถียงในเชิงกฎหมายเพราะรัฐธรรมนูญใหม่เขียนเอาไว้หมดแล้ว มันจะกลายเป็นการยกระดับให้กลายเป็นความขัดแย้งทางการเมืองแทน พลังของกฎหมายจะแก้ปัญหาไม่ได้อีกต่อไป เมื่อก่อนสู้ในกรอบรัฐธรรมนูญแต่อนาคตจะไม่อยู่ในกรอบแล้วเพราะกรอบไม่อนุญาตให้สู้ ความขัดแย้งว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จะหายไป จะกลายเป็นความชอบธรรมของระบอบการปกครองแทน
3. ขบวนการหรือพลังทางการเมืองที่สนับสนุนประชาธิปไตยจะเปลี่ยนรูปมากขึ้น จะไม่ผูกกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแต่กระจายเป็นเน็ตเวิร์ก มีความแตกต่างหลากหลายแต่มีจุดร่วมกันคือ อยากให้เป็นประชาธิปไตยเสียที
4. เราจะเปลี่ยนผ่านจากเผด็จการไปสู่ประชาธิปไตยได้หรือไม่ และเกิดขึ้นอย่างไร การเปลี่ยนผ่านของประเทศต่างๆ มีสองแบบ คือ ปฏิรูปกับปฏิวัติ การปฏิรูปจะเกิดขึ้นได้ผู้ทรงอำนาจเผด็จการในเวลานั้นต้องยินยอมให้เปลี่ยนแล้วนำสู่การเจรจา ส่วนการปฏิวัติเกิดจากฝ่ายเผด็จการกดขี่ปราบปรามหนักขึ้นๆ ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนก็เปลี่ยนทั้งกระดานกรณีของไทยตอบไม่ได้ว่าจะเป็นเช่นไร จะเป็นปฏิรูปหรือปฏิวัติ ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจในเวลานี้ว่าจะมีสายตายาวแค่ไหน
ถามว่าทำไมรัฐธรรมนูญของไทยจึงโดนฉีกบ่อย นั่นเพราะรัฐธรรมนูญมีความสัมพันธ์กับความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างพลังทางการเมืองต่างๆ ยกตัวอย่าง ธรรมนูญปกครองสยามปี 2475 ที่ปรีดี พนมยงค์จัดทำขึ้นมา รัชกาลที่7 ก็ได้เติมคำว่า “ชั่วคราว” ทำให้ต้องทำใหม่เป็นฉบับ 10 ธ.ค.2475 นั่นสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่พลังการเมืองสองฝ่ายไม่ชนะขาด และการต่อรองนั้นเริ่มต้นตั้งแต่วันแรกของการอภิวัฒน์เลย จนตกลงกันได้ในรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาซึ่งต่างจากฉบับแรกโดยเพิ่มพระราชอำนาจให้กษัตริย์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญนั้นเป็นเพียงกระดาษ เมื่อหลุดจากมือคนร่างก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้เล่นฝ่ายต่างๆ ที่เอารัฐธรรมนูญไปใช้ 1 ปีหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมีการสู้กันของสองฝ่าย รัชกาลที่ 7 อยากวีโต้กฎหมายหลายฉบับ แต่รัฐบาลบอกว่าทำไม่ได้เพราะผิดหลัก ทำให้นำมาสู่การสละราชสมบัติ และพอคณะราษฎรเริ่มแตกกันก็ยิ่งแย่ แต่สถานการณ์ก็หยุดลงชั่วคราวเพราะสงครามโลก จนเมื่อสงครามสิ้นสุด มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่เป็นฉบับที่ 3 ในปี 2489 ซึ่งมีเนื้อหาเป็นประชาธิปไตยค่อนข้างมาก เข้าใจว่าปรีดีอยากทำใหม่เพราะต้องการแก้มือจากฉบับ 10 ธันวาเนื่องจากตอนนั้นคณะกรรมการร่างเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมทั้งหมด มีเขาเป็นฝ่ายก้าวหน้าเพียงคนเดียว แต่ก็ยังมีการถกเถียงกันว่าทำไมไม่แก้ฉบับ 10 ธันวา อย่างไรก็ตาม อายุของรัฐธรรมนูญ 2489 ก็สั้นมาก ซึ่งสัมพันธ์กับการสวรรคตของในหลวงอานันท์ ในปี 2490 ก็มีรัฐประหารเป็นจังหวะอันดีที่จะล้มกลุ่มของปรีดี จะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญกลายเป็นเดิมพันของสองฝ่ายที่สู้กัน คนชนะจะไปกำหนดรัฐธรรมนูญ เพียงแต่เมืองไทยไม่สู้แบบอารยะ ใช้กระบวนการนอกรัฐธรรมนูญมาทำลายรัฐธรรมนูญแล้วกำหนดรัฐธรรมนูญใหม่ให้เป็นประโยชน์กับฝ่ายตัวเอง
หากพิจารณารัฐประหารเราจะพบว่าแต่ละครั้งมีวัตถุประสงค์ไม่เหมือนกัน บางคณะอยากอยู่สั้น บางคณะอยากอยู่ยาว คณะที่อยากอยู่สั้นคือ ปี 2549 ส่วนที่อยากอยู่ยาวคือ สฤษดิ์ อยู่ยาวถึง 16 ปี, ธานินทร์ มีแผน 12 ปีเพื่อปฏิรูปประเทศ แต่อยู่ได้ปีเดียว, คสช. ไม่เคยพูดแต่วิธีการนั้นใช่ว่าจะอยู่ยาว
แล้วมีเหตุอะไรที่ทำให้อยากอยู่ยาว ในปี 2500-2516 มีอะไรมาท้าทายพลังกลุ่มของเขา มีอะไรอันตรายต่อชนชั้นนำจารีตประเพณี ในสมัยธานินทร์นั้นอยากสู้กับคอมมิวนิสต์ชัดเจน ในยุค พล.อ.ประยุทธ์มีอะไรเป็นเรื่องท้าทาย ขอให้ผู้ฟังพิจารณากันเอง
รัฐธรรมนูญหลังรัฐประหารทุกครั้งต้องสนองวัตถุประสงค์ของรัฐประหาร สำหรับฉบับนี้กล่าวโดยย่อ เป็นการลดทอนอำนาจประชาชนที่แสดงออกผ่านการเลือกตั้งเพื่อเลือกรัฐบาลตัวเอง รัฐบาลจากการเลือกตั้งจะอ่อนแอ คนมาจากการเลือกตั้งจะเป็น เพียงหน้ากาก เป็นเสื้อผ้าอาภรณ์เพื่อบอกโลกว่าประเทศไทยมีเลือกตั้ง แต่คนที่ได้รับเลือกตั้งจะไม่มีอำนาจอะไรเลย แล้วเพิ่มอำนาจให้รัฐทหาร รัฐราชการ ผ่านกลไกต่างๆ ส.ว. ศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ ฯลฯ เราจะนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปปี 2520
“การทำรัฐประหารในศตวรรษที่ 21 น่าอับอายมาก จึงต้องเอารัฐประหารที่ดูไม่สวยงามนั้นไปใส่ในรัฐธรรมนูญ ต่อไปนี้ถ้าเกิดวิกฤตอะไร รัฐธรมนูญจะให้งดเว้นบางมาตราในรัฐธรรมนูญโดยรัฐธรรมนูญอนุญาตให้ทำ เช่น เกิดวิกฤตหาทางออกไม่ได้ อย่างเกิดการปิดถนนชุมนุม รัฐธรรมนูญใหม่มีกลไกแก้โดยทหารไม่ต้องออกมาทำรัฐประหารโดยให้มีกรรมการพิเศษ มีที่ประชุมร่วมชี้ขาดว่าจะเอายังไง สิ่งที่เคยผิดรัฐธรรมนูญก็จะถูกรัฐธรรมนูญทั้งหมดเพราะอยู่ในรัฐธรรมนูญแล้ว องค์กรที่จะมีบทบาทสำคัญในอนาคตนอกจากกองทัพ ต่อไปคือ ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะดูศิวิไลซ์กว่าให้ทหารทำ”
ในเรื่องประชามติ จะขอพูดถึงกระบวนการและผลประชามติ เรื่องกระบวนการ ประชามติที่เป็นสากลได้มาตรฐานประชาธิปไตย มีเงื่อนไขของมันอยู่ ฟรี และ แฟร์ ทั้งนี้ ฟรีคือเป็นอิสระ สัมพันธ์กับเรื่องสิทธิของทุกคนที่จะได้รู้ว่ารัฐธรรมนูญหน้าตาเป็นอย่างไร ฝ่ายเห็นด้วยและเห็นแย้งแสดงความเห็นเต็มที่หรือมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น พูด ชุมนุม เพื่อเป็นข้อมูลให้ประชาชนพิจารณาอย่างรอบคอบรอบด้าน ส่วนแฟร์คือเป็นธรรม เป็นธรรมในการเลือก ทางเลือกมี yes, no, no vote คนที่ไปโหวตเยสต้องรู้ว่าได้อะไรตามมา นั่นตอบง่ายก็คือได้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ คนโหวตโนรู้ไหมว่าได้อะไรตามมา มันไม่รู้เลยที่ผ่านมา การรณรงค์ทั้งหมดต้องเต็มที่เสมอกัน แต่ประชามติที่ผ่านมาไม่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงการใช้เสียงประชาชนเพื่อเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้อำนาจตัวเอง แต่เสียงประชาชนไม่สะท้อนความเป็นจริงเพราะไม่ได้เปิดอย่างฟรีและแฟร์
ผลของประชามติ มีผู้ออกใช้สิทธิ 55% สัดส่วนรับต่อไม่รับคือ 60:40 ไม่ค่อยต่างจากปี 2550 แต่ถ้าคิดจากฐานประชากรทั้งประเทศ มีจำนวนเพียง 30% ของประชาชนทั้งประเทศ และเหตุผลที่คน 16 ล้านคนรับร่าง คิดว่า คนจำนวนมากอยากเลือกตั้งให้เข้าสู่ระบบปกติ นักการเมืองท้องถิ่นอยากเลือกตั้งเร็ว ซึ่งเป็นความเหนื่อยหน่ายของประชาชนที่ผ่านการต่อสู้มายาวนาน ยกตัวอย่างฝรั่งเศสซึ่งต่อสู้กันมานานมาระหว่างฝ่ายสาธารณรัฐนิยมและกษัตริย์นิยม ทำให้ประชาชนจำนวนมากลงคะแนนรับ หลุยส์ นโปเลียน โบนาปาร์ต เป็นผู้ปกครอง ทั้งที่คนฝรั่งเศสฉลาดมาก นั่นเป็นคนฝรั่งเศสช่วงนั้นคือ “ชาวฝรั่งเศสที่อ่อนล้า” และยินดีที่จะให้เผด็จการยึดครองเพื่อความสงบ
เรื่องอนาคต จะพูดถึง 4 อย่าง คือ
1. รัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งกำหนดวิธีการแก้ไว้ยากมาก ยืนยันว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่แก้ยากที่สุดในโลก และไม่มีทางแก้ได้ในทางปฏิบัติ ถ้ามีคนอยากแก้แต่แก้ไม่ได้ในความเป็นจริงก็จะเกิดวิกฤต
“กระบวนการไม่อนุญาตให้แก้ก็ต้องแก้นอกกระบวนการรัฐธรรมนูญ มันต้องถูกฉีกแน่นอน ไม่รู้เมื่อไร เหลือแต่ว่าจะถูกฉีกโดยกองทัพ หรือมือและตีนของประชาชน ซึ่งอย่างหลังยังไม่เคยเกิดขึ้น”
2. ความขัดแย้ง จากความขัดแย้งในรูปกฎหมายจะกลายเป็นความขัดแย้งทางการเมือง ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา กฎหมายเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ ที่ผ่านมาเราเถียงกันในเชิงประเด็นทางกฎหมายกันเยอะมาก แต่ผลจากรัฐธรรมนูญใหม่ทำให้เราไม่ได้เถียงในเชิงกฎหมายเพราะรัฐธรรมนูญใหม่เขียนเอาไว้หมดแล้ว มันจะกลายเป็นการยกระดับให้กลายเป็นความขัดแย้งทางการเมืองแทน พลังของกฎหมายจะแก้ปัญหาไม่ได้อีกต่อไป เมื่อก่อนสู้ในกรอบรัฐธรรมนูญแต่อนาคตจะไม่อยู่ในกรอบแล้วเพราะกรอบไม่อนุญาตให้สู้ ความขัดแย้งว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จะหายไป จะกลายเป็นความชอบธรรมของระบอบการปกครองแทน
3. ขบวนการหรือพลังทางการเมืองที่สนับสนุนประชาธิปไตยจะเปลี่ยนรูปมากขึ้น จะไม่ผูกกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแต่กระจายเป็นเน็ตเวิร์ก มีความแตกต่างหลากหลายแต่มีจุดร่วมกันคือ อยากให้เป็นประชาธิปไตยเสียที
4. เราจะเปลี่ยนผ่านจากเผด็จการไปสู่ประชาธิปไตยได้หรือไม่ และเกิดขึ้นอย่างไร การเปลี่ยนผ่านของประเทศต่างๆ มีสองแบบ คือ ปฏิรูปกับปฏิวัติ การปฏิรูปจะเกิดขึ้นได้ผู้ทรงอำนาจเผด็จการในเวลานั้นต้องยินยอมให้เปลี่ยนแล้วนำสู่การเจรจา ส่วนการปฏิวัติเกิดจากฝ่ายเผด็จการกดขี่ปราบปรามหนักขึ้นๆ ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนก็เปลี่ยนทั้งกระดานกรณีของไทยตอบไม่ได้ว่าจะเป็นเช่นไร จะเป็นปฏิรูปหรือปฏิวัติ ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจในเวลานี้ว่าจะมีสายตายาวแค่ไหน
จีรนุชระบุ ประชามติ-รัฐธรรมนูญเทียม ไม่มีอนาคต
จีรนุช ระบุว่า เพื่อนฝรั่งที่ติดตามสถานการณ์เมืองไทยมานานให้นิยามว่าที่ผ่านมาคือ fake constitution, fake referendum and no future (รัฐธรรมนูญปลอม ประชามติปลอม และไม่มีอนาคต) นอกจากนี้เธอยังหยิบยกกฎบัตรแมคนาคาร์ตาของอังกฤษเมื่อ 800 ปีก่อนที่อาจนับได้ว่าเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ในสมัยพระเจ้าจอห์น เป็นรัฐธรรมนูญแรกของอังกฤษ แม้อังกฤษจะไม่มีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร นอกจากนี้มันยังเป็นต้นทางของรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกาและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนก็อ้างอิงไปถึงกฎหมายนี้ด้วย แมคนาคาร์ตาเกิดขึ้นจากการที่เหล่าขุนนางลุกขึ้นมาร่วมกันจำกัดอำนาจกษัตริย์ที่ขูดรีดเอาเปรียบอย่างมาก ในกฎบัตรดังกล่าวมีเรื่องการพูดถึงสิทธิที่เท่าเทียมเสมอกันต่อหน้ากฎหมายและจะลงโทษใครไม่ได้หากไม่ได้ถูกพิพากษาโดยกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ในยุคนั้นยังมีคนบางส่วนที่ไม่ได้ถูกนับเป็น free man
ส่วนในสวีเดน ก็มีรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 1766 ซึ่งพูดเรื่องเสรีภาพสื่อเป็นฉบับแรกของโลก และฉลองครบ 250 ปีในปีนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ ในสวีเดนมีกษัตริย์และมีการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกัน กษัตริย์บางองค์ก็ไม่ค่อยพอใจบทบาทของหนังสือพิมพ์ที่วิจารณ์และล้อเลียนสถาบันจึงพยายามจะให้มีกฎหมายเซ็นเซอร์ แต่กลุ่มสื่อได้ต่อรองต่อสู้จนมีบทบัญญัติเรื่องนี้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญสืบมาจนปัจจุบัน
ส่วนในสวีเดน ก็มีรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 1766 ซึ่งพูดเรื่องเสรีภาพสื่อเป็นฉบับแรกของโลก และฉลองครบ 250 ปีในปีนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ ในสวีเดนมีกษัตริย์และมีการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกัน กษัตริย์บางองค์ก็ไม่ค่อยพอใจบทบาทของหนังสือพิมพ์ที่วิจารณ์และล้อเลียนสถาบันจึงพยายามจะให้มีกฎหมายเซ็นเซอร์ แต่กลุ่มสื่อได้ต่อรองต่อสู้จนมีบทบัญญัติเรื่องนี้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญสืบมาจนปัจจุบัน
“รัฐธรรมนูญที่ไหนก็ตาม เกิดขึ้นบนการต่อรองเพื่อการจัดการความสัมพันธ์ ผลประโยชน์ แต่รัฐธรรมนูญไทยอายุสั้น ไม่มีโอกาสได้ต่อรองและจัดการกับอำนาจ แต่การต่อสู้ไม่เหมือนในหนังที่ม้วนเดียวจบ บางทีมันต้องการความต่อเนื่อง”
ส่วนเรื่องประชามตินั้น หากเราเปรียบรัฐประหารเหมือนการข่มขืน ประชามติก็เหมือนกับการบังคับแต่งงาน โดยขันหมากก็ไม่ให้ดูว่ามีอะไรบ้าง จึงอยากเรียกมันว่าประชามัดติดมากกว่า ไม่ใช่ free and fair (เสรีและเป็นธรรม) แต่เป็น fake and fear referendum (ประชามติแห่งความกลัวและจอมปลอม) นอกจากนี้ยังหยิบยกสิ่งตกค้างที่เกิดขึ้นในช่วงประชามตินั่นคือ การดำเนินคดีกับคนที่ต้องการแสดงความคิดเห็นธรรมดา เช่น กรณีของไผ่ ดาวดิน กรณีของโตโต้ที่แสดงออกซึ่งการไม่ยอมรับโดยการฉีกบัตรประชามติ หรือคดีที่เกิดขึ้นกับนักการเมือง นักกิจกรรมจำนวนมากที่พยายามรณรงค์เรื่องรัฐธรรมนูญ จึงไม่อาจยอมรับได้ว่านี่คือประชามติที่ชอบธรรม
ส่วนเรื่องประชามตินั้น หากเราเปรียบรัฐประหารเหมือนการข่มขืน ประชามติก็เหมือนกับการบังคับแต่งงาน โดยขันหมากก็ไม่ให้ดูว่ามีอะไรบ้าง จึงอยากเรียกมันว่าประชามัดติดมากกว่า ไม่ใช่ free and fair (เสรีและเป็นธรรม) แต่เป็น fake and fear referendum (ประชามติแห่งความกลัวและจอมปลอม) นอกจากนี้ยังหยิบยกสิ่งตกค้างที่เกิดขึ้นในช่วงประชามตินั่นคือ การดำเนินคดีกับคนที่ต้องการแสดงความคิดเห็นธรรมดา เช่น กรณีของไผ่ ดาวดิน กรณีของโตโต้ที่แสดงออกซึ่งการไม่ยอมรับโดยการฉีกบัตรประชามติ หรือคดีที่เกิดขึ้นกับนักการเมือง นักกิจกรรมจำนวนมากที่พยายามรณรงค์เรื่องรัฐธรรมนูญ จึงไม่อาจยอมรับได้ว่านี่คือประชามติที่ชอบธรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น