คลิปจับพธม.พกอาวุธปืน
ดาวน์โหลดคลิ๊ปคนเสื้อแดง
วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ถูก'เอาคืน'! บุกรื้อเต๊นท์!! ต.ช.ด.-กองปราบ 700 ลุยทันที!!
‘ไชยวัฒน์’ หวังลบเหลี่ยม ‘มาร์ค’
เอาหมายศาลแปะหน้าทำเนียบ
เล่นกันแรงและยืดเยื้อ เพื่อวัดกันให้รู้ไปเลยว่า ใครจะเส้นใหญ่กว่ากัน??
เพราะแม้ว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะมีภูมิคุ้มกันต่อระบบยุติธรรมสูงมาก
จนก่อให้เกิดปรากฏการณ์ 2 มาตรฐานกระฉ่อนเมืองไทยและก้องโลกไปแล้ว
บรรดานักกฎหมายทั้งหลายต่างต้องหยิบยกมาเป็นกรณีศึกษา มีการวิพากษ์วิจารณ์กันตลอด
แต่ทุกเรื่องทุกกรณี ก็เป็นได้เพียงแค่วิพากษ์วิจารณ์ว่าผิดหลักระบบยุติธรรมบ้าง
เป็นการเลี่ยงบาลีแบบด้านๆบ้าง
แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้เป็นเหตุการณ์ “สีเทา”ในแวดวงกฎหมาย
ที่ไม่สามารถทำอะไรได้
เพราะวัคซีนคุ้มกันของรัฐบาล
ได้รับการฉีดมาจากกลุ่ม”ขั้วอำนาจพิเศษ” กลุ่มทหารผลประโยชน์การเมือง
ในขณะที่กลุ่มม็อบพันธมิตรฯ ก็เป็นม็อบที่มีภูมิคุ้มกันทางกฎหมายสูงด้วยเหมือนกัน
เพราะไม่เพียงยึดทำเนียบ
ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ
ยึดถนน ได้
โดยที่ฝ่ายกฎหมายอ้ำๆอึ้งๆ ในการที่จะดำเนินคดี
ในขณะที่ระบบยุติธรรมก็ตกอยู่ในสภาพแกล้งหลับตาข้างหนึ่งเอาไว้ตลอดเวลา
ดังนั้นทั้งคู่ จึงถือเป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อกันเป็นอย่างยิ่ง
และเมื่อกลุ่มม็อบพันธมิตรฯใช้ประเด็นพื้นที่พิพาทระหว่างไทย - กัมพูชา
ออกมาเล่นงานรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
และทำการยึดถนนประท้วงยืดเยื้อ ทำให้รัฐบาลได้มีการใช้ตัวช่วย
ด้วยการประกาศใช้พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551
หวังจะสยบม็อบพันธมิตรฯ ให้ได้
โดยลืมนึกไปว่า
กลุ่มม็อบพันธมิตรฯก็มีภูมิคุ้มกันกฎหมายที่สูงเหมือนกัน พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ
ก็เลยไม่ระคายผิว
ซ้ำนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย
พร้อมด้วยสมาชิกเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติ และ
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานสมัชชาประชาชน ฯ ยังสวนหมัดกลับ
โดยยื่นฟ้องคณะรัฐมนตรีทั้งคณะต่อศาลปกครองสูงสุด
ว่ากระทำการโดยมิชอบที่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ใน 7 พื้นที่กรุงเทพฯ
แน่นอนว่าเมื่อเป็นการยื่นฟ้อง ครม. ทั้งคณะ ย่อมต้องรวมนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีด้วย
เพราะอยู่ในฐานะประธานการประชุม
โดยในการฟ้อง ได้ขอให้
1.ศาลมีคำสั่งหรือพิพากษา เพิกถอน มติ ครม.
ที่ได้พิจารณาข้อเสนอของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ( สตช.)
ในการเริ่มใช้มาตรการจัดการประชาชน ผู้ชุมนุมประท้วง
ที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 9- 23 ก.พ.
2.เพิก ถอนประกาศที่ออกโดย ครม.เมื่อวันที่ 8 ก.พ.54
ทั้งหมด 3 ฉบับ ประกอบด้วย
ประกาศเรื่องพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคง
ภายในราชอาณาจักร 7 เขตพื้นที่ในเขตกรุงเทพ ฯ
ประกาศเรื่องการห้ามบุคคลใดเข้า
หรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร
หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.
และภายในระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.
เรื่องการห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน
และเรื่องการห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ
หรือต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคม
หรือการใช้ยานพาหนะ ตามที่ ผอ.กอ.รมน.กำหนด
กลุ่มม็อบพันธมิตรฯระบุว่า
ที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ
การประกาศข้อกำหนด ข้อที่สอง ตามมาตรา 18 ที่ห้ามบุคคลใดเข้า
หรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร
หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.
และภายในระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.
งานนี้จึงทำการยื่นฟ้องศาลปกครอง รวมทั้งยังได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน
เพื่อมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติ ครม.ดังกล่าวด้วย
เพราะการประกาศให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ตามมติ ครม.
ที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคง ฯ จะกระทบต่อการชุมนุมของเครือข่าย
ประชาชนหัวใจรักชาติที่ตรวจสอบการบริหาร ราชการแผ่นดินของรัฐบาล
ซึ่งส่อว่าจะทำให้เกิดการละเมิดอำนาจอธิปไตย
เบื้องต้นศาลปกครองสูงสุด ได้รับคดีไว้พิจารณาเป็นหมายเลขดำ ฟ.11/2554
โดยจะมีคำสั่งว่าจะประทับรับฟ้องหรือไม่
และจะไต่สวนฉุกเฉินเพื่อพิจารณาคำสั่งทุเลาการบังคับมติ ครม. หรือไม่
แต่สุดท้ายศาลปกครองสูงสุด ก็ได้มีคำสั่งไม่รับฟ้องไปแล้ว
เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลยุติธรรม
ภูมิคุ้มกัน และโชคของรัฐบาลยังคงสูงอยู่เหมือนเดิม
แต่กลุ่มม็อบพันธมิตรฯ ก็ไม่ใช่ประเภทหมูกลัวน้ำร้อน จึงลุยต่อ
โดยยื่นฟ้องนายภิสิทธิ์ และ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. อีกรอบ
แต่ครั้งนี้หันมาฟ้องศาลแพ่งแทน
โดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้ประกาศและข้อกำหนดทุกฉบับที่ออกตามพ.ร.บ.มั่นคงฯ
ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 9- 23 ก.พ.นี้ ให้เป็นโมฆะ
เพราะในช่วงที่มีการประกาศและมีข้อกำหนดดังกล่าว
ยังไม่มีเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ถึงขนาดกับต้องมีมาตราการป้องกัน ปราบปราม ยับยั้ง
หรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคง
อีกทั้งข้อกำหนดไม่ชอบด้วยกฏหมาย
เพราะยังไม่มีเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคง
เป็นแค่มุ่งที่จะสกัดกั้น ยับยั้งไม่ให้ประชาชนเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม
ม็อบพันธมิตรฯ เท่ากับว่าจงใจจำกัดสิทธิเสรีภาพในการเข้าร่วมชุมนุมโดยสงบ
แต่รัฐบาลก็ไม่ยี่หระ
เพราะมีการต่ออายุการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงประกาศต่อเนื่องออกไปอีก
ลากยาวถึง 25 มีนาคมกันเลยทีเดียว
ประลองกำลังกันสนุก ว่า
ในระบบกฎหมายประเทศนี้ ใครจะแน่กว่ากัน โดยที่มีศาลแพ่งรับบทเหนื่อยหนัก
และที่น่าสนใจก็คือ ชนะหรือแพ้สำหรับกับกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ อาจจะไม่สำคัญ
แต่สะใจตรงที่ ได้มีการนำหมายศาลไปปิดไว้หน้าทำเนียบ
เพื่อเรียกให้นายอภิสิทธิ์ และ พล.ต.อ.วิเชียร ไปขึ้นให้ปากคำ
ถือเป็นการลบเหลี่ยมลูกกำนันกันตรงๆ
เพราะนายอภิสิทธิ์นั้น เป็นที่รู้กันชัดเจนว่าได้รับการอุ้มชูจากหลายๆฝ่ายในกลุ่ม”อำนาจพิเศษ”
เมื่อมาเจอหมายศาลปิดหน้าทำเนียบเช่นนี้ ย่อมเท่ากับว่าเป็นการเสียหน้าอย่างมาก
มีภูมิคุ้มกันสูงขนาดนี้ โดนหมายศาลแปะหน้าทำเนียบได้อย่างไร
งานนี้แน่นอนว่านายอภิสิทธิ์ ไม่ได้ไปเองตามหมายศาล
แต่ส่งตัวแทนไป ในขณะที่ พล.ต.อ.วิเชียร นั้นไปด้วยตัวเอง
การต่อสู้ระหว่างรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ
ดูแล้วเป็นคู่ต่อสู้ที่พอฟัดพอเหวี่ยงกันจริง ว่าใครจะเส้นใหญ่กว่ากัน
ใครจะมีภูมิคุ้มกันในระบบยุติธรรมมากกว่ากัน!!!
เพราะเมื่อโดนกลุ่มม็อบพันธมิตรฯฟ้องจนเสียหน้า
เนื่องจากโดนหมายศาลแปะหน้าทำเนียบแบบนี้
ทาง ผบ.ตร.ก็เลยมีการจี้ให้เร่งดำเนินคดีข้อหาก่อการร้ายและซ่องโจร
จากกรณีม็อบพันธมิตรฯ บุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง ให้เร็วขึ้นแล้ว
ซึ่งทางกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ โดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็เดินหน้าแลกหมัดแล้วว่า
การตั้งข้อหาก่อการร้ายและซ่องโจรนั้นรุนแรงเกินความเป็นจริง
ฉะนั้นหากทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งฟ้องในข้อหาก่อการร้ายและซ่องโจร
ทางกลุ่มพันธมิตรฯ ก็จะดำเนินการฟ้องกลับเช่นกัน!!!
แต่.....ในที่สุด รัฐบาลเส้นใหญ่ ก็ออกมา”สั่งสอน” ม็อบมีเส้นชนิด”ตาต่อตา”อย่างทันทีทันควัน
ซึ่งเป็นไปตามคาด เมื่อ เช้ามืดฟ้ายังไม่ทันรุ่งสาง 05.00 น โดย ตำรวจเข้ารื้อเต็นท์ชุมนุมพันธ
มิตรฯ - ยึดถนนคืน 2 เลน
กรณี”เอาคืน” ทันควัน-ทันตาเห็น ของ อภิมหารัฐบาลเส้นใหญ่ เกิดขึ้น
เมื่อ วันที่ 28 ก.พ. 2554 เวลาประมาณ 05.30 น.
บรรยากาศที่เวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วย
พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล 1 นำกำลังตำรวจประมาณ 700 นาย
ซึ่งเป็นหน่วยของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน กองปราบปราม
และตำรวจภูธรภาค 1-2-7 และตำรวจสายสืบจากกองบังคับการ 1-9
ศูนย์สืบสวน เข้ารื้อเต็นท์ประมาณ 5-6 เต็นท์
พร้อมกับเปิดการจราจรหน้ากระทรวงศึกษาธิการ 2 เลน ให้รถวิ่งฝ่าฝูงชนเข้ามา
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ซึ่งยังอยู่บนเทีพันธมิตร ก็ยังปากแข็งประกาศว่า
ตำรวจรื้อเต็นท์เราออกไปเราถือว่าทำตามคำสั่ง
“แต่ขออย่ารื้อห้องน้ำของเรา” เพราะเป็นเงินประชาชน
เราใช้ตามความจำเป็น
เนื่องจากไม่อยากรบกวนกรุงเทพฯ ที่ต้องเอารถสุขามา
จึงได้สร้างขึ้นมาเอง คนมามากไม่มีห้องน้ำจะทำอย่างไร
อีกอย่างห้องน้ำของเราสะอาดไม่มีกลิ่นเหม็น
หลังกำลังตำรวจบุกรื้อเต๊นท์ม็อบมีเส้น
พล.ต.จำลอง ก็ยังไม่ยอมลดรา ฉวยไมโครโฟนประกาศทันทีว่า
ประชาชนที่อยู่ทางบ้านไม่ต้องมามากเป็นพิเศษ ถึงแม้เรารู้ว่ามากกว่านี้ก็ดี
แต่ยังไม่จำเป็น เมื่อถึงเวลา”จะเป่านกหวีดเอง”
เราอยู่แค่นี้ก็พอเป็นพอไป ยังไม่จำเป็นต้องมามืดฟ้ามัวดิน
แต่ใกล้เข้ามาแล้ว ขอให้มาเป็นปกติก็แล้วกัน
จัดเวรกันมา ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริง ออกมาให้มากๆ
เราสามารถเอาแผ่นดินรอบเขาวิหารกลับมาได้แน่นอนหากเราชุมนุมกันอยู่อย่างนี้
สรุปว่า...
กำลังตำรวจตั้ง 700 คนก็สามารถ”ขอพื้นที่คืน” หรือ”กระชับพื้นที่”ได้เพียงเท่าที่เห็น
ม็อบพันธมิตรก็ยังตั้งหลักอยู่ตรงที่เดิมแถวสะพานมัฆวานอยู่เหมือนไม่มีเกิดขึ้นต่อไป
มองอย่างไรเรื่องนี้ ก็หนีไม้พ้น”การเอาคืนของฝ่ายรัฐบาล” เพราะ”เสียหน้า”
ที่ถูก นาย ชัยวัฒน์ สินสุวงศ์ บังอาจเอาหมายศาลไปแปะไว้หน้าที่ทำเนียบรัฐบาล
เหมือนจะฉีกหน้า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ก็บอกแล้วว่า เป็นคู่ฟัดที่เหมาะสมอย่างยิ่งจริงๆ
เพราะกลุ่มขั้วอำนาจพิเศษยังมึนไปเลยว่า แบบนี้จะช่วยฝ่ายไหนดี???
http://www.bangkok-today.com/node/8450
‘ไชยวัฒน์’ หวังลบเหลี่ยม ‘มาร์ค’
เอาหมายศาลแปะหน้าทำเนียบ
เล่นกันแรงและยืดเยื้อ เพื่อวัดกันให้รู้ไปเลยว่า ใครจะเส้นใหญ่กว่ากัน??
เพราะแม้ว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะมีภูมิคุ้มกันต่อระบบยุติธรรมสูงมาก
จนก่อให้เกิดปรากฏการณ์ 2 มาตรฐานกระฉ่อนเมืองไทยและก้องโลกไปแล้ว
บรรดานักกฎหมายทั้งหลายต่างต้องหยิบยกมาเป็นกรณีศึกษา มีการวิพากษ์วิจารณ์กันตลอด
แต่ทุกเรื่องทุกกรณี ก็เป็นได้เพียงแค่วิพากษ์วิจารณ์ว่าผิดหลักระบบยุติธรรมบ้าง
เป็นการเลี่ยงบาลีแบบด้านๆบ้าง
แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้เป็นเหตุการณ์ “สีเทา”ในแวดวงกฎหมาย
ที่ไม่สามารถทำอะไรได้
เพราะวัคซีนคุ้มกันของรัฐบาล
ได้รับการฉีดมาจากกลุ่ม”ขั้วอำนาจพิเศษ” กลุ่มทหารผลประโยชน์การเมือง
ในขณะที่กลุ่มม็อบพันธมิตรฯ ก็เป็นม็อบที่มีภูมิคุ้มกันทางกฎหมายสูงด้วยเหมือนกัน
เพราะไม่เพียงยึดทำเนียบ
ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ
ยึดถนน ได้
โดยที่ฝ่ายกฎหมายอ้ำๆอึ้งๆ ในการที่จะดำเนินคดี
ในขณะที่ระบบยุติธรรมก็ตกอยู่ในสภาพแกล้งหลับตาข้างหนึ่งเอาไว้ตลอดเวลา
ดังนั้นทั้งคู่ จึงถือเป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อกันเป็นอย่างยิ่ง
และเมื่อกลุ่มม็อบพันธมิตรฯใช้ประเด็นพื้นที่พิพาทระหว่างไทย - กัมพูชา
ออกมาเล่นงานรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
และทำการยึดถนนประท้วงยืดเยื้อ ทำให้รัฐบาลได้มีการใช้ตัวช่วย
ด้วยการประกาศใช้พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551
หวังจะสยบม็อบพันธมิตรฯ ให้ได้
โดยลืมนึกไปว่า
กลุ่มม็อบพันธมิตรฯก็มีภูมิคุ้มกันกฎหมายที่สูงเหมือนกัน พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ
ก็เลยไม่ระคายผิว
ซ้ำนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย
พร้อมด้วยสมาชิกเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติ และ
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานสมัชชาประชาชน ฯ ยังสวนหมัดกลับ
โดยยื่นฟ้องคณะรัฐมนตรีทั้งคณะต่อศาลปกครองสูงสุด
ว่ากระทำการโดยมิชอบที่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ใน 7 พื้นที่กรุงเทพฯ
แน่นอนว่าเมื่อเป็นการยื่นฟ้อง ครม. ทั้งคณะ ย่อมต้องรวมนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีด้วย
เพราะอยู่ในฐานะประธานการประชุม
โดยในการฟ้อง ได้ขอให้
1.ศาลมีคำสั่งหรือพิพากษา เพิกถอน มติ ครม.
ที่ได้พิจารณาข้อเสนอของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ( สตช.)
ในการเริ่มใช้มาตรการจัดการประชาชน ผู้ชุมนุมประท้วง
ที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 9- 23 ก.พ.
2.เพิก ถอนประกาศที่ออกโดย ครม.เมื่อวันที่ 8 ก.พ.54
ทั้งหมด 3 ฉบับ ประกอบด้วย
ประกาศเรื่องพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคง
ภายในราชอาณาจักร 7 เขตพื้นที่ในเขตกรุงเทพ ฯ
ประกาศเรื่องการห้ามบุคคลใดเข้า
หรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร
หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.
และภายในระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.
เรื่องการห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน
และเรื่องการห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ
หรือต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคม
หรือการใช้ยานพาหนะ ตามที่ ผอ.กอ.รมน.กำหนด
กลุ่มม็อบพันธมิตรฯระบุว่า
ที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ
การประกาศข้อกำหนด ข้อที่สอง ตามมาตรา 18 ที่ห้ามบุคคลใดเข้า
หรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร
หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.
และภายในระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.
งานนี้จึงทำการยื่นฟ้องศาลปกครอง รวมทั้งยังได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน
เพื่อมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติ ครม.ดังกล่าวด้วย
เพราะการประกาศให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ตามมติ ครม.
ที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคง ฯ จะกระทบต่อการชุมนุมของเครือข่าย
ประชาชนหัวใจรักชาติที่ตรวจสอบการบริหาร ราชการแผ่นดินของรัฐบาล
ซึ่งส่อว่าจะทำให้เกิดการละเมิดอำนาจอธิปไตย
เบื้องต้นศาลปกครองสูงสุด ได้รับคดีไว้พิจารณาเป็นหมายเลขดำ ฟ.11/2554
โดยจะมีคำสั่งว่าจะประทับรับฟ้องหรือไม่
และจะไต่สวนฉุกเฉินเพื่อพิจารณาคำสั่งทุเลาการบังคับมติ ครม. หรือไม่
แต่สุดท้ายศาลปกครองสูงสุด ก็ได้มีคำสั่งไม่รับฟ้องไปแล้ว
เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลยุติธรรม
ภูมิคุ้มกัน และโชคของรัฐบาลยังคงสูงอยู่เหมือนเดิม
แต่กลุ่มม็อบพันธมิตรฯ ก็ไม่ใช่ประเภทหมูกลัวน้ำร้อน จึงลุยต่อ
โดยยื่นฟ้องนายภิสิทธิ์ และ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. อีกรอบ
แต่ครั้งนี้หันมาฟ้องศาลแพ่งแทน
โดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้ประกาศและข้อกำหนดทุกฉบับที่ออกตามพ.ร.บ.มั่นคงฯ
ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 9- 23 ก.พ.นี้ ให้เป็นโมฆะ
เพราะในช่วงที่มีการประกาศและมีข้อกำหนดดังกล่าว
ยังไม่มีเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ถึงขนาดกับต้องมีมาตราการป้องกัน ปราบปราม ยับยั้ง
หรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคง
อีกทั้งข้อกำหนดไม่ชอบด้วยกฏหมาย
เพราะยังไม่มีเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคง
เป็นแค่มุ่งที่จะสกัดกั้น ยับยั้งไม่ให้ประชาชนเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม
ม็อบพันธมิตรฯ เท่ากับว่าจงใจจำกัดสิทธิเสรีภาพในการเข้าร่วมชุมนุมโดยสงบ
แต่รัฐบาลก็ไม่ยี่หระ
เพราะมีการต่ออายุการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงประกาศต่อเนื่องออกไปอีก
ลากยาวถึง 25 มีนาคมกันเลยทีเดียว
ประลองกำลังกันสนุก ว่า
ในระบบกฎหมายประเทศนี้ ใครจะแน่กว่ากัน โดยที่มีศาลแพ่งรับบทเหนื่อยหนัก
และที่น่าสนใจก็คือ ชนะหรือแพ้สำหรับกับกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ อาจจะไม่สำคัญ
แต่สะใจตรงที่ ได้มีการนำหมายศาลไปปิดไว้หน้าทำเนียบ
เพื่อเรียกให้นายอภิสิทธิ์ และ พล.ต.อ.วิเชียร ไปขึ้นให้ปากคำ
ถือเป็นการลบเหลี่ยมลูกกำนันกันตรงๆ
เพราะนายอภิสิทธิ์นั้น เป็นที่รู้กันชัดเจนว่าได้รับการอุ้มชูจากหลายๆฝ่ายในกลุ่ม”อำนาจพิเศษ”
เมื่อมาเจอหมายศาลปิดหน้าทำเนียบเช่นนี้ ย่อมเท่ากับว่าเป็นการเสียหน้าอย่างมาก
มีภูมิคุ้มกันสูงขนาดนี้ โดนหมายศาลแปะหน้าทำเนียบได้อย่างไร
งานนี้แน่นอนว่านายอภิสิทธิ์ ไม่ได้ไปเองตามหมายศาล
แต่ส่งตัวแทนไป ในขณะที่ พล.ต.อ.วิเชียร นั้นไปด้วยตัวเอง
การต่อสู้ระหว่างรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ
ดูแล้วเป็นคู่ต่อสู้ที่พอฟัดพอเหวี่ยงกันจริง ว่าใครจะเส้นใหญ่กว่ากัน
ใครจะมีภูมิคุ้มกันในระบบยุติธรรมมากกว่ากัน!!!
เพราะเมื่อโดนกลุ่มม็อบพันธมิตรฯฟ้องจนเสียหน้า
เนื่องจากโดนหมายศาลแปะหน้าทำเนียบแบบนี้
ทาง ผบ.ตร.ก็เลยมีการจี้ให้เร่งดำเนินคดีข้อหาก่อการร้ายและซ่องโจร
จากกรณีม็อบพันธมิตรฯ บุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง ให้เร็วขึ้นแล้ว
ซึ่งทางกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ โดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็เดินหน้าแลกหมัดแล้วว่า
การตั้งข้อหาก่อการร้ายและซ่องโจรนั้นรุนแรงเกินความเป็นจริง
ฉะนั้นหากทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งฟ้องในข้อหาก่อการร้ายและซ่องโจร
ทางกลุ่มพันธมิตรฯ ก็จะดำเนินการฟ้องกลับเช่นกัน!!!
แต่.....ในที่สุด รัฐบาลเส้นใหญ่ ก็ออกมา”สั่งสอน” ม็อบมีเส้นชนิด”ตาต่อตา”อย่างทันทีทันควัน
ซึ่งเป็นไปตามคาด เมื่อ เช้ามืดฟ้ายังไม่ทันรุ่งสาง 05.00 น โดย ตำรวจเข้ารื้อเต็นท์ชุมนุมพันธ
มิตรฯ - ยึดถนนคืน 2 เลน
กรณี”เอาคืน” ทันควัน-ทันตาเห็น ของ อภิมหารัฐบาลเส้นใหญ่ เกิดขึ้น
เมื่อ วันที่ 28 ก.พ. 2554 เวลาประมาณ 05.30 น.
บรรยากาศที่เวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วย
พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล 1 นำกำลังตำรวจประมาณ 700 นาย
ซึ่งเป็นหน่วยของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน กองปราบปราม
และตำรวจภูธรภาค 1-2-7 และตำรวจสายสืบจากกองบังคับการ 1-9
ศูนย์สืบสวน เข้ารื้อเต็นท์ประมาณ 5-6 เต็นท์
พร้อมกับเปิดการจราจรหน้ากระทรวงศึกษาธิการ 2 เลน ให้รถวิ่งฝ่าฝูงชนเข้ามา
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ซึ่งยังอยู่บนเทีพันธมิตร ก็ยังปากแข็งประกาศว่า
ตำรวจรื้อเต็นท์เราออกไปเราถือว่าทำตามคำสั่ง
“แต่ขออย่ารื้อห้องน้ำของเรา” เพราะเป็นเงินประชาชน
เราใช้ตามความจำเป็น
เนื่องจากไม่อยากรบกวนกรุงเทพฯ ที่ต้องเอารถสุขามา
จึงได้สร้างขึ้นมาเอง คนมามากไม่มีห้องน้ำจะทำอย่างไร
อีกอย่างห้องน้ำของเราสะอาดไม่มีกลิ่นเหม็น
หลังกำลังตำรวจบุกรื้อเต๊นท์ม็อบมีเส้น
พล.ต.จำลอง ก็ยังไม่ยอมลดรา ฉวยไมโครโฟนประกาศทันทีว่า
ประชาชนที่อยู่ทางบ้านไม่ต้องมามากเป็นพิเศษ ถึงแม้เรารู้ว่ามากกว่านี้ก็ดี
แต่ยังไม่จำเป็น เมื่อถึงเวลา”จะเป่านกหวีดเอง”
เราอยู่แค่นี้ก็พอเป็นพอไป ยังไม่จำเป็นต้องมามืดฟ้ามัวดิน
แต่ใกล้เข้ามาแล้ว ขอให้มาเป็นปกติก็แล้วกัน
จัดเวรกันมา ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริง ออกมาให้มากๆ
เราสามารถเอาแผ่นดินรอบเขาวิหารกลับมาได้แน่นอนหากเราชุมนุมกันอยู่อย่างนี้
สรุปว่า...
กำลังตำรวจตั้ง 700 คนก็สามารถ”ขอพื้นที่คืน” หรือ”กระชับพื้นที่”ได้เพียงเท่าที่เห็น
ม็อบพันธมิตรก็ยังตั้งหลักอยู่ตรงที่เดิมแถวสะพานมัฆวานอยู่เหมือนไม่มีเกิดขึ้นต่อไป
มองอย่างไรเรื่องนี้ ก็หนีไม้พ้น”การเอาคืนของฝ่ายรัฐบาล” เพราะ”เสียหน้า”
ที่ถูก นาย ชัยวัฒน์ สินสุวงศ์ บังอาจเอาหมายศาลไปแปะไว้หน้าที่ทำเนียบรัฐบาล
เหมือนจะฉีกหน้า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ก็บอกแล้วว่า เป็นคู่ฟัดที่เหมาะสมอย่างยิ่งจริงๆ
เพราะกลุ่มขั้วอำนาจพิเศษยังมึนไปเลยว่า แบบนี้จะช่วยฝ่ายไหนดี???
http://www.bangkok-today.com/node/8450
"จาตุรนต์"ขยี้แผล"มาร์ค 2 สัญชาติ"
จาตุรนต์ ฉายแสง
http://www.internetfreedom.us/thread-15298.html
อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย
เรื่องนี้เริ่มจากมีคนนำเรื่องการสังหารประชาชนเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค.53 ไปฟ้องศาลคดีอาญาระหว่างประเทศ หลายคนเชื่อว่าศาลคงไม่รับฟ้องเพราะรัฐบาลไทยไม่ได้ลงสัตยาบันรับรองอำนาจของศาล
แต่ต่อมามีการอธิบายว่าสามารถฟ้องนายอภิสิทธิ์ได้ เนื่องจากถือสัญชาติอังกฤษด้วย เมื่อถามนายอภิสิทธิ์ก็ตอบบ่ายเบี่ยงว่าเลือกที่เกิดไม่ได้ ระหว่างอยู่ในประเทศอังกฤษไม่เคยใช้สิทธิพลเมืองอังกฤษ
เช่น เวลาเรียนหนังสือจ่ายค่าเล่าเรียนอย่างชาวต่างประเทศ แต่ไม่บอกว่ายังมีสัญชาติอังกฤษหรือไม่ แต่ตราบใดที่นายอภิสิทธิ์ยังไม่สละสัญชาติอังกฤษ ถือว่ายังมีสัญชาติอังกฤษ คือมี 2 สัญชาติ
นายอภิสิทธิ์ระบุว่าหากจะให้สละสัญชาติอังกฤษก็สละได้ แต่ถ้าสละตอนนี้อาจถูกกล่าวหาว่ากลัวไปขึ้นศาลโลก
ผมไม่ได้วิเคราะห์เรื่องนายอภิสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีในศาลคดีอาญาระหว่างประเทศหรือไม่ และไม่ได้สนใจว่านายอภิสิทธิ์ควรสละสัญชาติอังกฤษหรือไม่
แต่สนใจประเด็นที่นายอภิสิทธิ์ยอมรับแล้วว่าถือ 2 สัญชาติ และมีเงื่อนไขต่างๆ หากจะสละสัญชาติ ถามว่านายอภิสิทธิ์ยังควรเป็นนายกฯ ของประเทศไทยอยู่หรือไม่ และควรเป็นนายกฯ มาตั้งแต่ต้นหรือไม่
นายอภิสิทธิ์ไม่ใช่ประชาชนทั่วไปแต่เป็นนายกฯ จะอ้างว่าคนอื่นถือสัญชาติ 2 สัญชาติได้ ทำไมต้องเรียกร้องให้เขาสละสัญชาติอยู่คนเดียวไม่ได้
ประเด็นอยู่ที่ว่าคนเป็นนายกฯ ของไทย ต้องมีความรับผิดเท่ากับคนไทยทั่วไป ไม่ใช่มีอภิสิทธิ์หรือมีภูมิคุ้มกันมากกว่าคนอื่นๆ แต่สำหรับประชาชนทั่วไปการถือสองสัญชาติไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะไม่ใช่ผู้นำประเทศ
ที่ผ่านมาไม่ว่านายอภิสิทธิ์จะเคยใช้สิทธิ์ของการมีสัญชาติอังกฤษหรือไม่ แต่วันข้างหน้าอาจต้องใช้สิทธิ์ของการมีสัญชาติอังกฤษก็ได้ เช่น หากอนาคตจะมีการดำเนินคดีข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับรัฐมนตรีในรัฐบาลของตนทุจริตประพฤติมิชอบ หรือสั่งการสังหารประชาชนจำนวนมาก เป็นต้น
แล้วนายอภิสิทธิ์เดินทางไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ โดยขอใช้สิทธิ์ในฐานะที่มีสัญชาติอังกฤษ ก็ทำได้และได้รับการคุ้มครองในฐานะพลเมืองอังกฤษทันที
ถึงตอนนั้นกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะใช้ได้กับนายอภิสิทธิ์ซึ่งถือสัญชาติอังกฤษอยู่ และรัฐบาลไทยหรือประชาชนไทยจะไปร้องต่อศาลอังกฤษเพื่อให้ส่งตัวคุณอภิสิทธิ์มาขึ้นศาลไทย จะทำได้หรือไม่
แต่ที่น่าสนใจและน่าเป็นห่วงคือนายอภิสิทธิ์อาจจะไม่ต้องขึ้นศาลไทย หากมีใครไปร้องให้ดำเนินคดีก็เป็นได้
ประเด็นสำคัญก็คือเชื่อได้แน่ว่าตลอดเวลาที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ มาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงในอนาคตข้างหน้า ไม่ว่าจะยังเป็นนายกฯ อยู่หรือไม่ก็ตาม นายอภิสิทธิ์มีภูมิคุ้มกันต่อกฎหมายไทยมากกว่าคนอื่นๆ
แต่อาจมีบางท่านแย้งว่าถึงแม้จะเป็นเหตุเป็นผล แต่คงไม่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติได้ง่ายๆ หรอก ต้องบอกว่ากรณีทำนองนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดมาก่อน
เมื่อไม่นานมานี้มีกรณีของประเทศเปรูเป็นตัวอย่าง ประธานาธิบดีอัลเบอร์โต ฟูจิมูริ ก็เป็นคนสองสัญชาติ คือสัญชาติเปรูและสัญชาติญี่ปุ่น นายฟูจิมูริถูกรัฐบาลเปรูในเวลาต่อมาดำเนินคดีทั้งเรื่องทุจริตและใช้อำนาจโดย มิชอบ เป็นข้อหาร้ายแรง
ช่วงหนึ่งนายฟูจิมูริหนีไปอยู่ญี่ปุ่น ได้รับการคุ้มครองในฐานะเป็นคนญี่ปุ่นจนรัฐบาลเปรูทำอะไรไม่ได้ ต้องรอจนกระทั่งนายฟูจิมูริไปวางแผนยึดอำนาจคืนที่ประเทศชิลี จึงถูกจับและถูกส่งตัวไปดำเนินคดีในเปรู
นายฟูจิมูริกับรัฐบาลเปรู ใครผิดใครถูกอย่างไร ผมไม่ขอวิจารณ์ แต่เห็นว่ากรณีนี้เป็นตัวอย่างว่าการที่นายกฯ ของไทยมี 2 สัญชาติเป็นสิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้น
มีคนไปถาม กกต.ซึ่งเข้าใจว่ายังไม่ทันหาข้อมูลให้ชัดเจน และยังไม่ได้ประชุมหารือกัน ก็ด่วนออกมาชี้แจงแล้วว่าการที่นายอภิสิทธิ์มี 2 สัญชาติ ไม่ทำให้ขาดคุณสมบัติเพราะมีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ
เรื่องการมี 2 สัญชาตินี้ รัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุไว้ แต่โดยสามัญสำนึกน่าจะเข้าใจได้ไม่ยากว่าระบบกฎหมายของไทยไม่น่ายินยอมให้นายกฯ เป็นบุคคล 2 สัญชาติ
เรื่องนี้เป็นปัญหาทางการเมืองของประเทศ เมื่อเป็นเรื่องการเมือง ต้องแก้ด้วยการเมือง ฟ้องประชาชนกันดีกว่า
ขอย้ำว่าไม่ได้กำลังบอกว่านายอภิสิทธิ์ควรสละสัญชาติอังกฤษเสีย แต่กำลังบอกว่านายอภิสิทธิ์ ซึ่งรู้อยู่แก่ใจมาตลอดว่าตนเองมี 2 สัญชาติ จะสละสัญชาติก็ได้แต่ไม่สละนั้น
ไม่ควรเป็นนายกฯ มาตั้งแต่ต้น และไม่ควรเป็นนายกฯ ต่อไป
ข่าวสด
http://www.internetfreedom.us/thread-15298.html
อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย
เรื่องนี้เริ่มจากมีคนนำเรื่องการสังหารประชาชนเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค.53 ไปฟ้องศาลคดีอาญาระหว่างประเทศ หลายคนเชื่อว่าศาลคงไม่รับฟ้องเพราะรัฐบาลไทยไม่ได้ลงสัตยาบันรับรองอำนาจของศาล
แต่ต่อมามีการอธิบายว่าสามารถฟ้องนายอภิสิทธิ์ได้ เนื่องจากถือสัญชาติอังกฤษด้วย เมื่อถามนายอภิสิทธิ์ก็ตอบบ่ายเบี่ยงว่าเลือกที่เกิดไม่ได้ ระหว่างอยู่ในประเทศอังกฤษไม่เคยใช้สิทธิพลเมืองอังกฤษ
เช่น เวลาเรียนหนังสือจ่ายค่าเล่าเรียนอย่างชาวต่างประเทศ แต่ไม่บอกว่ายังมีสัญชาติอังกฤษหรือไม่ แต่ตราบใดที่นายอภิสิทธิ์ยังไม่สละสัญชาติอังกฤษ ถือว่ายังมีสัญชาติอังกฤษ คือมี 2 สัญชาติ
นายอภิสิทธิ์ระบุว่าหากจะให้สละสัญชาติอังกฤษก็สละได้ แต่ถ้าสละตอนนี้อาจถูกกล่าวหาว่ากลัวไปขึ้นศาลโลก
ผมไม่ได้วิเคราะห์เรื่องนายอภิสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีในศาลคดีอาญาระหว่างประเทศหรือไม่ และไม่ได้สนใจว่านายอภิสิทธิ์ควรสละสัญชาติอังกฤษหรือไม่
แต่สนใจประเด็นที่นายอภิสิทธิ์ยอมรับแล้วว่าถือ 2 สัญชาติ และมีเงื่อนไขต่างๆ หากจะสละสัญชาติ ถามว่านายอภิสิทธิ์ยังควรเป็นนายกฯ ของประเทศไทยอยู่หรือไม่ และควรเป็นนายกฯ มาตั้งแต่ต้นหรือไม่
นายอภิสิทธิ์ไม่ใช่ประชาชนทั่วไปแต่เป็นนายกฯ จะอ้างว่าคนอื่นถือสัญชาติ 2 สัญชาติได้ ทำไมต้องเรียกร้องให้เขาสละสัญชาติอยู่คนเดียวไม่ได้
ประเด็นอยู่ที่ว่าคนเป็นนายกฯ ของไทย ต้องมีความรับผิดเท่ากับคนไทยทั่วไป ไม่ใช่มีอภิสิทธิ์หรือมีภูมิคุ้มกันมากกว่าคนอื่นๆ แต่สำหรับประชาชนทั่วไปการถือสองสัญชาติไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะไม่ใช่ผู้นำประเทศ
ที่ผ่านมาไม่ว่านายอภิสิทธิ์จะเคยใช้สิทธิ์ของการมีสัญชาติอังกฤษหรือไม่ แต่วันข้างหน้าอาจต้องใช้สิทธิ์ของการมีสัญชาติอังกฤษก็ได้ เช่น หากอนาคตจะมีการดำเนินคดีข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับรัฐมนตรีในรัฐบาลของตนทุจริตประพฤติมิชอบ หรือสั่งการสังหารประชาชนจำนวนมาก เป็นต้น
แล้วนายอภิสิทธิ์เดินทางไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ โดยขอใช้สิทธิ์ในฐานะที่มีสัญชาติอังกฤษ ก็ทำได้และได้รับการคุ้มครองในฐานะพลเมืองอังกฤษทันที
ถึงตอนนั้นกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะใช้ได้กับนายอภิสิทธิ์ซึ่งถือสัญชาติอังกฤษอยู่ และรัฐบาลไทยหรือประชาชนไทยจะไปร้องต่อศาลอังกฤษเพื่อให้ส่งตัวคุณอภิสิทธิ์มาขึ้นศาลไทย จะทำได้หรือไม่
แต่ที่น่าสนใจและน่าเป็นห่วงคือนายอภิสิทธิ์อาจจะไม่ต้องขึ้นศาลไทย หากมีใครไปร้องให้ดำเนินคดีก็เป็นได้
ประเด็นสำคัญก็คือเชื่อได้แน่ว่าตลอดเวลาที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ มาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงในอนาคตข้างหน้า ไม่ว่าจะยังเป็นนายกฯ อยู่หรือไม่ก็ตาม นายอภิสิทธิ์มีภูมิคุ้มกันต่อกฎหมายไทยมากกว่าคนอื่นๆ
แต่อาจมีบางท่านแย้งว่าถึงแม้จะเป็นเหตุเป็นผล แต่คงไม่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติได้ง่ายๆ หรอก ต้องบอกว่ากรณีทำนองนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดมาก่อน
เมื่อไม่นานมานี้มีกรณีของประเทศเปรูเป็นตัวอย่าง ประธานาธิบดีอัลเบอร์โต ฟูจิมูริ ก็เป็นคนสองสัญชาติ คือสัญชาติเปรูและสัญชาติญี่ปุ่น นายฟูจิมูริถูกรัฐบาลเปรูในเวลาต่อมาดำเนินคดีทั้งเรื่องทุจริตและใช้อำนาจโดย มิชอบ เป็นข้อหาร้ายแรง
ช่วงหนึ่งนายฟูจิมูริหนีไปอยู่ญี่ปุ่น ได้รับการคุ้มครองในฐานะเป็นคนญี่ปุ่นจนรัฐบาลเปรูทำอะไรไม่ได้ ต้องรอจนกระทั่งนายฟูจิมูริไปวางแผนยึดอำนาจคืนที่ประเทศชิลี จึงถูกจับและถูกส่งตัวไปดำเนินคดีในเปรู
นายฟูจิมูริกับรัฐบาลเปรู ใครผิดใครถูกอย่างไร ผมไม่ขอวิจารณ์ แต่เห็นว่ากรณีนี้เป็นตัวอย่างว่าการที่นายกฯ ของไทยมี 2 สัญชาติเป็นสิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้น
มีคนไปถาม กกต.ซึ่งเข้าใจว่ายังไม่ทันหาข้อมูลให้ชัดเจน และยังไม่ได้ประชุมหารือกัน ก็ด่วนออกมาชี้แจงแล้วว่าการที่นายอภิสิทธิ์มี 2 สัญชาติ ไม่ทำให้ขาดคุณสมบัติเพราะมีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ
เรื่องการมี 2 สัญชาตินี้ รัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุไว้ แต่โดยสามัญสำนึกน่าจะเข้าใจได้ไม่ยากว่าระบบกฎหมายของไทยไม่น่ายินยอมให้นายกฯ เป็นบุคคล 2 สัญชาติ
เรื่องนี้เป็นปัญหาทางการเมืองของประเทศ เมื่อเป็นเรื่องการเมือง ต้องแก้ด้วยการเมือง ฟ้องประชาชนกันดีกว่า
ขอย้ำว่าไม่ได้กำลังบอกว่านายอภิสิทธิ์ควรสละสัญชาติอังกฤษเสีย แต่กำลังบอกว่านายอภิสิทธิ์ ซึ่งรู้อยู่แก่ใจมาตลอดว่าตนเองมี 2 สัญชาติ จะสละสัญชาติก็ได้แต่ไม่สละนั้น
ไม่ควรเป็นนายกฯ มาตั้งแต่ต้น และไม่ควรเป็นนายกฯ ต่อไป
ข่าวสด
มาร์คขอบคุณ พธม. - พธม. ขอบคุณมาร์ค กู้ชาติ จรู๊ฟฟฟๆๆ
(หัวข่าว) มาร์คขอบคุณ พธม. คืน 2 ช่องจราจร เป้าต่อไปเปิด ถ.พิษณุโลก
ส่วนนายจำลองหัวเกรียน ขอบคุณมาร์ค ที่ ตร. ไม่สั่งฟ้องคดีก่อการร้าย แลกกัน..
คนไทยอย่างผมอ้าปากหวอ... กับละครน้ำเน่า เขียนบทมั่วไปมั่วมาแล้วก็ออกตามธง
สัมภเวสีกลุ่มนี้ได้เฮ... มีที่กินฟรี นอนฟรี ห้องน้ำสบาย โดยหม่อมเอ๋อ สุขภัณฑ์ ลูกทั่นหลานเธอว์
คืนนี้หากรู้สึกเปลี่ยวเหงา สัมภเวสีประแป้งรอ... พบกันริมตลิ่งใต้สะพานมัฆวาน
สัมภเวสี.......
(หัวข่าว) มาร์คขอบคุณ พธม. คืน 2 ช่องจราจร เป้าต่อไปเปิด ถ.พิษณุโลก
ส่วนนายจำลองหัวเกรียน ขอบคุณมาร์ค ที่ ตร. ไม่สั่งฟ้องคดีก่อการร้าย แลกกัน..
คนไทยอย่างผมอ้าปากหวอ... กับละครน้ำเน่า เขียนบทมั่วไปมั่วมาแล้วก็ออกตามธง
สัมภเวสีกลุ่มนี้ได้เฮ... มีที่กินฟรี นอนฟรี ห้องน้ำสบาย โดยหม่อมเอ๋อ สุขภัณฑ์ ลูกทั่นหลานเธอว์
คืนนี้หากรู้สึกเปลี่ยวเหงา สัมภเวสีประแป้งรอ... พบกันริมตลิ่งใต้สะพานมัฆวาน
ทนายยื่นประกัน 22 คนเืสื้อแดงอุดร
ทนายความยื่นขอประกันตัว 22 ผู้ต้องหาในคุกอุดรฯ คดีเผาที่ทำการอำเภอเมืองอุดรธานี หวังเชื่อมโยงปล่อยชั่วคราว 7 แกนนำนปช.
ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลจังหวัดอุดรธานี เมื่อเวลา 09.30 น. นางขนิษฐา รัฐกาญจน์ ทนาย ความของผู้ต้องหาคนเสื้อแดง 22 คน ที่ถูกควบคุมตัวในข้อกล่าวหาดำเนินคดีในข้อหาโฆษณาชักชวนให้กระทำผิดกฎหมาย, บุกรุกสถานที่ราชการโดยมีอาวุธ, ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน, วางเพลิงเผาสถานที่ราชการ และทำให้เสียทรัพย์อันเป็นสาธารณประโยชน์ และร่วมกันพยายามเผาที่ว่าการอำเภอเมืองอุดรธานี
ได้ทำเอกสารยื่นขอประกันตัวคนเสื้อแดงทั้ง 22 คน โดยก่อนหน้านางขนิษฐาได้เข้าเยี่ยมคนเสื้อแดงทั้ง 22 คนในเรือนจำกลางอุดรธานี พร้อมญาติพี่น้อง ก่อนเดินทางมายื่นขอประกันตัวต่อศาล
นางขนิษฐา เปิดเผยหลังยื่นประกันตัวคนเสื้อแดงว่า การยื่นขอประกันตัว 22 คนเสื้อแดงที่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำกลางอุดรธานีวันนี้ ซึ่งที่ผ่านมาตนก็เคยยื่นขออนุญาตให้ศาลปล่อยตัวชั่วคราวมาก่อน แต่ศาลไม่อนุญาต โดยให้เหตุผลว่า เกรงจำเลยจะหลบหนี ซึ่งเราก็เข้าใจ เพราะว่ามันเป็นคดีอุกฉกรรจ์ โทษถึงขั้นประหารชีวิต แต่ตอนนี้เผอิญว่าศาลอาญาท่านเมตตาให้ 7 แกนนำ นปช.ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เหตุดังกล่าวเราจึงคิดว่ามีข้อเท็จจริงบางประการ ที่เราคิดว่าน่าจะเสนอต่อศาล เพื่อให้พิจารณาขอให้ปล่อยตัวชั่วคราวอีกครั้ง
"การพิจารณาคดีอุดรธานี เป็นจังหวัดนำร่อง เป็นจังหวัดแรก ๆ ที่พิจารณาคดี และใกล้จะเสร็จแล้ว พยานโจทย์ก็สืบไปเยอะแล้ว เหลืออีกประมาณ 30 ปาก ที่ต้องสืบ รวมถึงพยานจำเลยอีก ที่นี่เราก็อยากจะขอความเมตตาจากท่านว่า ให้เราได้รับการปล่อยตัว เพื่อที่จะไปแสวงหาพยานมาต่อสู้คดี เนื่องจากทั้ง 22 คน ต่อสู้คดี ไม่มีใครรับสารภาพ เพราะทั้งหมดถูกจับในวันที่เกิดเหตุเท่านั้นเอง"
นางขนิษฐา กล่าวอีกว่า ในวันนี้ทั้ง 22 คน คงจะยังไม่ได้ออกมา คงต้องนัดวันที่ต้องมีการไต่สวน และทางอัยการคงต้องส่งเรื่องไปยังสำนักอัยการของ DSI เพื่อจะสอบถามความเห็นว่า จะคัดค้านการปล่อยตัวหรือไม่ ถ้าคัดค้านเขาจะต้องส่งเรื่องมาคัดค้าน
และจะต้องนัดวันการไต่สวนอีกครั้ง เมื่อไต่สวนเสร็จคิดว่าน่าจะอีก 1-2 วัน จึงจะสามารถปล่อยตัวชั่วคราวได้ หากศาลท่านเมตตา ซึ่งเราเตรียมเงินสดไว้ 11 ล้านบาท ในการประกันตัวทั้ง 22 คน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับศาลท่านจะให้ประกันตัวคนละเท่าไหร่
เครดิต
http://bit.ly/hVmWX3
ขอให้ได้รับการประกันตัวโดยเร็ว
พี่น้องที่ถูกคุมขังอีกหลายจังหวัด
ยังรอที่จะได้รับอิสรภาพ...
ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลจังหวัดอุดรธานี เมื่อเวลา 09.30 น. นางขนิษฐา รัฐกาญจน์ ทนาย ความของผู้ต้องหาคนเสื้อแดง 22 คน ที่ถูกควบคุมตัวในข้อกล่าวหาดำเนินคดีในข้อหาโฆษณาชักชวนให้กระทำผิดกฎหมาย, บุกรุกสถานที่ราชการโดยมีอาวุธ, ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน, วางเพลิงเผาสถานที่ราชการ และทำให้เสียทรัพย์อันเป็นสาธารณประโยชน์ และร่วมกันพยายามเผาที่ว่าการอำเภอเมืองอุดรธานี
ได้ทำเอกสารยื่นขอประกันตัวคนเสื้อแดงทั้ง 22 คน โดยก่อนหน้านางขนิษฐาได้เข้าเยี่ยมคนเสื้อแดงทั้ง 22 คนในเรือนจำกลางอุดรธานี พร้อมญาติพี่น้อง ก่อนเดินทางมายื่นขอประกันตัวต่อศาล
นางขนิษฐา เปิดเผยหลังยื่นประกันตัวคนเสื้อแดงว่า การยื่นขอประกันตัว 22 คนเสื้อแดงที่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำกลางอุดรธานีวันนี้ ซึ่งที่ผ่านมาตนก็เคยยื่นขออนุญาตให้ศาลปล่อยตัวชั่วคราวมาก่อน แต่ศาลไม่อนุญาต โดยให้เหตุผลว่า เกรงจำเลยจะหลบหนี ซึ่งเราก็เข้าใจ เพราะว่ามันเป็นคดีอุกฉกรรจ์ โทษถึงขั้นประหารชีวิต แต่ตอนนี้เผอิญว่าศาลอาญาท่านเมตตาให้ 7 แกนนำ นปช.ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เหตุดังกล่าวเราจึงคิดว่ามีข้อเท็จจริงบางประการ ที่เราคิดว่าน่าจะเสนอต่อศาล เพื่อให้พิจารณาขอให้ปล่อยตัวชั่วคราวอีกครั้ง
"การพิจารณาคดีอุดรธานี เป็นจังหวัดนำร่อง เป็นจังหวัดแรก ๆ ที่พิจารณาคดี และใกล้จะเสร็จแล้ว พยานโจทย์ก็สืบไปเยอะแล้ว เหลืออีกประมาณ 30 ปาก ที่ต้องสืบ รวมถึงพยานจำเลยอีก ที่นี่เราก็อยากจะขอความเมตตาจากท่านว่า ให้เราได้รับการปล่อยตัว เพื่อที่จะไปแสวงหาพยานมาต่อสู้คดี เนื่องจากทั้ง 22 คน ต่อสู้คดี ไม่มีใครรับสารภาพ เพราะทั้งหมดถูกจับในวันที่เกิดเหตุเท่านั้นเอง"
นางขนิษฐา กล่าวอีกว่า ในวันนี้ทั้ง 22 คน คงจะยังไม่ได้ออกมา คงต้องนัดวันที่ต้องมีการไต่สวน และทางอัยการคงต้องส่งเรื่องไปยังสำนักอัยการของ DSI เพื่อจะสอบถามความเห็นว่า จะคัดค้านการปล่อยตัวหรือไม่ ถ้าคัดค้านเขาจะต้องส่งเรื่องมาคัดค้าน
และจะต้องนัดวันการไต่สวนอีกครั้ง เมื่อไต่สวนเสร็จคิดว่าน่าจะอีก 1-2 วัน จึงจะสามารถปล่อยตัวชั่วคราวได้ หากศาลท่านเมตตา ซึ่งเราเตรียมเงินสดไว้ 11 ล้านบาท ในการประกันตัวทั้ง 22 คน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับศาลท่านจะให้ประกันตัวคนละเท่าไหร่
เครดิต
http://bit.ly/hVmWX3
ขอให้ได้รับการประกันตัวโดยเร็ว
พี่น้องที่ถูกคุมขังอีกหลายจังหวัด
ยังรอที่จะได้รับอิสรภาพ...
ขู่ถอนประกันเสื้อแดงหากร่วมชุมนุม
http://www.internetfreedom.us/thread-15322.html
ดีเอสไอขู่ถอนประกัน 8 แกนนำ นปช. หากร่วมชุมนุมใหญ่ 12 มี.ค. ถือผิดเงื่อนไขศาลสั่งห้ามร่วมชุมนุม ยั่วยุ ปลุกปั่น
เมื่อ วันที่ 28 ก.พ. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวเตือนแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ทั้ง 8 คน ที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ได้ประกาศจะเข้าร่วมการชุมนุมใหญ่ของ นปช.ในวันที่ 12 มี.ค.นี้ ว่า อาจเป็นการเข้าข่ายผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวของศาล ซึ่งห้ามมิให้มีการกระทำอันเป็นการยั่วยุ ปลุกปั่น เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน โดยดีเอสไอในฐานะผู้รับผิดชอบคดี เกรงว่าการที่แกนนำจะเข้าร่วมการชุมนุม และปราศรัยจริง อาจทำให้ดีเอสไอต้องขอถอนประกันทั้ง 8 แกนนำ ซึ่งในส่วนของ 8 แกนนำ ควรต้องคำนึงด้วยว่ามีสถานะแตกต่างจากกรณีของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ที่มีเอกสิทธิ์ความเป็น ส.ส.คุ้มครองอยู่.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/...tId=124015
http://www.internetfreedom.us/thread-15322.html
ดีเอสไอขู่ถอนประกัน 8 แกนนำ นปช. หากร่วมชุมนุมใหญ่ 12 มี.ค. ถือผิดเงื่อนไขศาลสั่งห้ามร่วมชุมนุม ยั่วยุ ปลุกปั่น
เมื่อ วันที่ 28 ก.พ. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวเตือนแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ทั้ง 8 คน ที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ได้ประกาศจะเข้าร่วมการชุมนุมใหญ่ของ นปช.ในวันที่ 12 มี.ค.นี้ ว่า อาจเป็นการเข้าข่ายผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวของศาล ซึ่งห้ามมิให้มีการกระทำอันเป็นการยั่วยุ ปลุกปั่น เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน โดยดีเอสไอในฐานะผู้รับผิดชอบคดี เกรงว่าการที่แกนนำจะเข้าร่วมการชุมนุม และปราศรัยจริง อาจทำให้ดีเอสไอต้องขอถอนประกันทั้ง 8 แกนนำ ซึ่งในส่วนของ 8 แกนนำ ควรต้องคำนึงด้วยว่ามีสถานะแตกต่างจากกรณีของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ที่มีเอกสิทธิ์ความเป็น ส.ส.คุ้มครองอยู่.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/...tId=124015
ธาริต ช่วยสกีนเสื้อลายใหม่ให้ขายดิบขายดี ไปทั่วโลก จากวันนี้ไปแน่ๆ
เห็นDSIยังสั่งดำเนินคดี 5 ราย คดีล้มเจ้า...ผมมองว่า เหมือนธาริต ช่วยสกีนเสื่อรายใหม่ให้ขายดิบขายดี ไปทั่วโลก
ภาพนี้เกิดใน การสัมมนาใน ม.ธรรมศาสตร์ ล่าสุด
ไม่พูด ไม่ทำอะไร แต่จะมีคนหลายล้าน ใส่เดินไปตามถนนเป็นปกติในการใช้ชีวิตจากนี้ไป
เขาใหญ่อาจได้เห็นอิ่มแน่ๆ
ซื้อท้นไหม งวดนี้...3 ตัวตรงๆ
...................
ดูเหมือนDSI สาดน้ำมันเข้ากองไฟ จงใจ
ภาพนี้เกิดใน การสัมมนาใน ม.ธรรมศาสตร์ ล่าสุด
ไม่พูด ไม่ทำอะไร แต่จะมีคนหลายล้าน ใส่เดินไปตามถนนเป็นปกติในการใช้ชีวิตจากนี้ไป
เขาใหญ่อาจได้เห็นอิ่มแน่ๆ
ซื้อท้นไหม งวดนี้...3 ตัวตรงๆ
...................
ดูเหมือนDSI สาดน้ำมันเข้ากองไฟ จงใจ
"มาร์ค" ขึ้นเป็นนายกฯ นับว่ายากแล้ว...แต่การลงจากนายกฯของมาร์ค กลับยากกว่า!
กว่าลูกมาร์ค เป็นนายกฯได้ ต้องใช้ทุนมหาศาล
ต้นทุนทางสังคม ที่สะสมมานาน ก็ไม่มีเหลือ
ยอมเป็นโจรปล้นอำนาจ เพราะอำมาตย์ มาจุนเจือ
สุดท้ายจะเหลือแค่ "นายกฯขี้กลาก" ขี้ปากคน
ความจริง...การเลิกเป็นนายก มันง่ายนิดเดียว
แค่เพียง "ยุบสภาหรือลาออก" ก็จบแล้ว!
สำหรับนายกฯคนอื่นลงแล้ว...ลงชั่วคราว,ลงเลยหรือลงลับ(ไปพร้อมกับชีวิต)
แต่มาร์คเป็นนายกฯมีแต่ความทุกข์ หลุดจากนายกฯความทุกข์ก็จะทวีหลายพันเท่า
เพราะขึ้นมาด้วยวิธีพิเศษ เวลาลงก็จะมีของพิเศษตามติดตัวไปด้วย
ซึ่งหากยุบสภาตั้งแต่ เมษาปีที่ผ่านมา ก็คงไม่เจอข้อหาเป็น "ทรราชย์"
เพราะบ้าอำนาจ สั่งฆ่าคนเสื้อแดงที่ไปชุมนุมเรียกร้องฯ เพียงแค่ให้ยุบสภา
แต่หากจะยุบสภาในตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่า จะมาได้อีกทีหรือเปล่า?
หากมาได้ อำนาจก็ไม่จีรัง ทำได้แค่ ถูลู่ถูกัง...ลากสังฆังไปเกาต่อเท่านั้น
จะหนี ไปอยู่ที่อื่น ก็ถูกสะกัดเส้นทางไว้แล้ว
หากอยู่เมืองไทย ไปไหนก็ไม่ได้ ศัตรูทั้งหลายก็จ้องอยู่
จะหวังพึ่งอำมาตย์ ก็แก่ชราเกินแกง เอาตัวเองแทบจะไม่รอด
ซ้ำร้าย! อาจถูกอำมาตย์ฆ่าตัดตอน หากศาล ICC รับฟ้อง!
พ่อแม่ใครหนอ...ปล่อยให้ลูกมาร์คเอ๋อเล่นกับไฟ
รู้มั๊ย? ไฟกำลังลุกไหม้ ลูกมาร์คหมดทั้งตัวแล้ว!!
ต้นทุนทางสังคม ที่สะสมมานาน ก็ไม่มีเหลือ
ยอมเป็นโจรปล้นอำนาจ เพราะอำมาตย์ มาจุนเจือ
สุดท้ายจะเหลือแค่ "นายกฯขี้กลาก" ขี้ปากคน
ความจริง...การเลิกเป็นนายก มันง่ายนิดเดียว
แค่เพียง "ยุบสภาหรือลาออก" ก็จบแล้ว!
สำหรับนายกฯคนอื่นลงแล้ว...ลงชั่วคราว,ลงเลยหรือลงลับ(ไปพร้อมกับชีวิต)
แต่มาร์คเป็นนายกฯมีแต่ความทุกข์ หลุดจากนายกฯความทุกข์ก็จะทวีหลายพันเท่า
เพราะขึ้นมาด้วยวิธีพิเศษ เวลาลงก็จะมีของพิเศษตามติดตัวไปด้วย
ซึ่งหากยุบสภาตั้งแต่ เมษาปีที่ผ่านมา ก็คงไม่เจอข้อหาเป็น "ทรราชย์"
เพราะบ้าอำนาจ สั่งฆ่าคนเสื้อแดงที่ไปชุมนุมเรียกร้องฯ เพียงแค่ให้ยุบสภา
แต่หากจะยุบสภาในตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่า จะมาได้อีกทีหรือเปล่า?
หากมาได้ อำนาจก็ไม่จีรัง ทำได้แค่ ถูลู่ถูกัง...ลากสังฆังไปเกาต่อเท่านั้น
จะหนี ไปอยู่ที่อื่น ก็ถูกสะกัดเส้นทางไว้แล้ว
หากอยู่เมืองไทย ไปไหนก็ไม่ได้ ศัตรูทั้งหลายก็จ้องอยู่
จะหวังพึ่งอำมาตย์ ก็แก่ชราเกินแกง เอาตัวเองแทบจะไม่รอด
ซ้ำร้าย! อาจถูกอำมาตย์ฆ่าตัดตอน หากศาล ICC รับฟ้อง!
พ่อแม่ใครหนอ...ปล่อยให้ลูกมาร์คเอ๋อเล่นกับไฟ
รู้มั๊ย? ไฟกำลังลุกไหม้ ลูกมาร์คหมดทั้งตัวแล้ว!!
หงายแล้ว ธาริตดีเอสไอถอย หลังทุกฝ่ายยันอัมพรไม่ได้ชันสูตรศพ
แค่เห็นภาพถ่าย เรื่องอาก้า
แค่เห็นภาพถ่าย เรื่องอาก้า
ภายหลังมวลชนปฎิวัติ และนักวิชากรผู้รักความยุติธรรมนำข้อมูลออกมาโต้พลตำรวจโทอัมพร จารุจินดา นายตำรวจนอกราชการ แก่เลอะเทอะที่ออกมาบอกว่า นักข่าวญี่ปุ่นตายเพราะปืนกลอาก้าที่ทหารไม่มีใช้ (ทั้งที่มีเป็นแสนกระบอกในคลังอาวุธที่ยึดได้ตามแนวชายแดน) วันนี้ ดีเอสไอถอยกรูดแล้ว หลังยอมรับความจริงว่า พลตำรวจอัมพร ไม่รู้เรื่อง ไม่เคยดูศพแค่เห็นจากภาพ ทุกอย่างเลยตาละปัด
หงายหลังพึ่ง นี่แหล่ะครับ ดีเอสไอยุคอธิบดีที่อดีตเป็นอัยการทั้งที่เรียนไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวอะไร ให้ความเห็นกฎหมายแต่ละอย่างมั่วจนแทบไม่เชื่อว่าเคยเป็นอัยการมา ข่าวนี้จากมติชน
แหล่งข่าวระบุอีกว่า สำหรับผลการชันสูตรผู้เสียชีวิตในวันที่ 10 เมษายน ระบุว่า ผู้เสียชีวิตในจำนวน 11 ราย มี 1 รายเป็นผู้สูงอายุเสียชีวิตเพราะหัวใจวาย ส่วนอีก 10 ราย เสียชีวิตเพราะถูกยิงด้วยกระสุนความเร็วสูง กระสุนเจาะเข้าร่างกายใน 2 จุด คือ ศีรษะและเข้าหน้าอกตัดขั้วหัวใจ รวมถึงนายฮิโรยูกิด้วย โดยลักษณะบาดแผลของทุกศพน่าเชื่อได้ว่าผู้ลงมือเป็นนักแม่นปืน ซุ่มเลือกเป้ายิงได้อย่างแม่นยำ ซึ่งการเลือกเป้ายิงในลักษณะสไนเปอร์มักเลือกใช้ปืนเอ็ม 16 มากกว่าปืนอาก้า อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการไม่ได้ระบุว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 10 ราย ถูกยิงด้วยอาวุธปืนชนิดใด เนื่องจากการผ่าชันสูตรไม่พบหัวกระสุนปืน จึงรายงานในผลการชันสูตรเพียงว่าเป็นกระสุนปืนความเร็วสูง ดังนั้น จึงเป็นประเด็นคำถามว่า พล.ต.ท.อัมพร ซึ่งไม่ได้ร่วมทีมชันสูตรศพ ได้วิเคราะห์ภาพบาดแผลใดจึงสรุปว่าเป็นบาดแผลจากปืนอาก้า และได้วิเคราะห์ภาพถ่ายของผู้เสียชีวิตรายอื่นหรือไม่ว่า สภาพบาดแผลจากปืนเอ็ม 16 มีความแตกต่างจากปืนอาก้าอย่างไร
ด้านแหล่งข่าวจากดีเอสไอ เปิดเผยว่า คดีนี้ดีเอสไอได้ประสานให้พล.ต.ท.อัมพร ในฐานะที่ปรึกษาคดีพิเศษเป็นผู้ตรวจวิเคราะห์สาเหตุการเสียชีวิต โดยวิเคราะห์จากภาพถ่ายบาดแผล และรายงานผลเรื่องวิถีกระสุน ซึ่งการวิเคราะห์เพียงแค่ภาพถ่ายบาดแผลเพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้ร่วมผ่าชันสูตร อาจได้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนเพียงพอจะสรุปได้ชัดเจนว่าอาวุธสังหารเป็นเอ็ม16 หรืออาก้า อย่างไรความเห็นของพล.ต.ท.อัมพร คงเป็นเพียงส่วนประกอบความเห็นในสำนวนชันสูตรเท่านั้น และอาจไม่มีน้ำหนักเพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลงหรือพลิกรูปคดี จากเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้กระทำไปเป็นชายชุดดำ เนื่องจากในชั้นสอบสวนมีพยานบุคคลและพยานแวดล้อมยืนยันว่า ก่อนถูกยิงล้มลงนายฮิโรยูกิอยู่ตรงกันข้ามกับแนวทหาร หากคดีนี้จะพลิกไปในทำนองว่าชายชุดดำไม่ทราบฝ่ายเป็นผู้ยิง แสดงว่ามีชายชุดดำปะปนอยู่ในแนวทหาร
เครดิต คุณ เสรีชนประชาไท ..แห่งประชาทอล์ค
หงายหลังพึ่ง นี่แหล่ะครับ ดีเอสไอยุคอธิบดีที่อดีตเป็นอัยการทั้งที่เรียนไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวอะไร ให้ความเห็นกฎหมายแต่ละอย่างมั่วจนแทบไม่เชื่อว่าเคยเป็นอัยการมา ข่าวนี้จากมติชน
แหล่งข่าวระบุอีกว่า สำหรับผลการชันสูตรผู้เสียชีวิตในวันที่ 10 เมษายน ระบุว่า ผู้เสียชีวิตในจำนวน 11 ราย มี 1 รายเป็นผู้สูงอายุเสียชีวิตเพราะหัวใจวาย ส่วนอีก 10 ราย เสียชีวิตเพราะถูกยิงด้วยกระสุนความเร็วสูง กระสุนเจาะเข้าร่างกายใน 2 จุด คือ ศีรษะและเข้าหน้าอกตัดขั้วหัวใจ รวมถึงนายฮิโรยูกิด้วย โดยลักษณะบาดแผลของทุกศพน่าเชื่อได้ว่าผู้ลงมือเป็นนักแม่นปืน ซุ่มเลือกเป้ายิงได้อย่างแม่นยำ ซึ่งการเลือกเป้ายิงในลักษณะสไนเปอร์มักเลือกใช้ปืนเอ็ม 16 มากกว่าปืนอาก้า อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการไม่ได้ระบุว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 10 ราย ถูกยิงด้วยอาวุธปืนชนิดใด เนื่องจากการผ่าชันสูตรไม่พบหัวกระสุนปืน จึงรายงานในผลการชันสูตรเพียงว่าเป็นกระสุนปืนความเร็วสูง ดังนั้น จึงเป็นประเด็นคำถามว่า พล.ต.ท.อัมพร ซึ่งไม่ได้ร่วมทีมชันสูตรศพ ได้วิเคราะห์ภาพบาดแผลใดจึงสรุปว่าเป็นบาดแผลจากปืนอาก้า และได้วิเคราะห์ภาพถ่ายของผู้เสียชีวิตรายอื่นหรือไม่ว่า สภาพบาดแผลจากปืนเอ็ม 16 มีความแตกต่างจากปืนอาก้าอย่างไร
ด้านแหล่งข่าวจากดีเอสไอ เปิดเผยว่า คดีนี้ดีเอสไอได้ประสานให้พล.ต.ท.อัมพร ในฐานะที่ปรึกษาคดีพิเศษเป็นผู้ตรวจวิเคราะห์สาเหตุการเสียชีวิต โดยวิเคราะห์จากภาพถ่ายบาดแผล และรายงานผลเรื่องวิถีกระสุน ซึ่งการวิเคราะห์เพียงแค่ภาพถ่ายบาดแผลเพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้ร่วมผ่าชันสูตร อาจได้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนเพียงพอจะสรุปได้ชัดเจนว่าอาวุธสังหารเป็นเอ็ม16 หรืออาก้า อย่างไรความเห็นของพล.ต.ท.อัมพร คงเป็นเพียงส่วนประกอบความเห็นในสำนวนชันสูตรเท่านั้น และอาจไม่มีน้ำหนักเพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลงหรือพลิกรูปคดี จากเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้กระทำไปเป็นชายชุดดำ เนื่องจากในชั้นสอบสวนมีพยานบุคคลและพยานแวดล้อมยืนยันว่า ก่อนถูกยิงล้มลงนายฮิโรยูกิอยู่ตรงกันข้ามกับแนวทหาร หากคดีนี้จะพลิกไปในทำนองว่าชายชุดดำไม่ทราบฝ่ายเป็นผู้ยิง แสดงว่ามีชายชุดดำปะปนอยู่ในแนวทหาร
เครดิต คุณ เสรีชนประชาไท ..แห่งประชาทอล์ค
ยุทธศาสตร์แยกสลายกองไฟ และยุทธศาสตร์สร้างแนวกันไฟ
ก่อนอื่นผมจะขอเรียนชี้แจงกับพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุกๆ ท่านว่า.. ผมเขียนบทความฉบับนี้ขึ้นเพื่อสื่อสารโดยตรงถึงท่าน เพื่อจะได้ทำความเข้าใจและพิจารณาถึงสิ่งที่ผมจะนำเสนอต่อไปนี้...ด้วยเหตุ และผล.. ด้วยความมีสติ ไม่วู่วาม และด้วยความคิดอย่างรอบด้าน.. บทความชิ้นนี้มิใช่ “การชี้นำ” หรือ “การชักจูง” ให้ทุกๆ ท่านเห็นคล้อยตาม.. หรือคิดเหมือนกัน.. แต่ต้องการให้พี่น้องผู้มีใจที่รักประชาธิปไตยอย่างแท้จริงและสมบูรณ์นั้น.. ได้ใคร่ครวญถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า เพื่อนำไปสู่ผลที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ตัดสินใจและพิจารณาได้ด้วยตนเอง.. ด้วยสติปัญญา และความเป็นเหตุเป็นผลที่แต่ละท่านมีด้วยตนเอง ได้โปรดกรุณาอ่านจนจบ แล้วค่อยตอบใจของท่านเองว่า..ท่านจะเลือกกำหนดแนวทางการต่อสู้ของท่านไปในทิศทางใด และรูปแบบใด..
^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^
ประเทศนี้ถูกปกครองด้วยอำนาจของเผด็จการที่ปกครองและครอบงำประเทศในทุกภาคส่วนมาหลายสิบปี โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ถูกมอมเมา และล้างสมองตลอดมาโดยไม่รู้ตัว.. ซึ่งได้มาถึงจุดระเบิดเมื่อเกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา.. นับตั้งแต่วันนั้นขบวนการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงจึงค่อยๆ พัฒนาและเติบใหญ่ขึ้นเป็นลำดับมาจนถึงปัจจุบัน..
ดังนั้นการที่ประชาชนได้รวมตัวกันเรียกร้องประชาธิปไตยในครั้งนี้ก็คือ “การนำเอาอำนาจในการปกครองจากผู้ครองอำนาจเผด็จการให้มาเป็นอำนาจของประชาชน” นั่นเอง..ซึ่งผมก็ได้เคยกล่าวไปในบทความชิ้นก่อนๆ ว่า การจะได้ตามสิ่งที่ประชาชนต้องการนั้นมีวิธีการอยู่ 2 หนทางคือ การร้องขอ.. หรือการแย่งชิง และจากระยะเวลาที่ผ่านมาหลายปีนั้นดูเหมือนว่า หนทางแห่งการร้องขอ น่าจะตีบตัน หรือ ปิดสนิทลงอย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว.. (จากการพิจารณาโดยส่วนตัวของผมเอง)
ด้วยเหตุนี้ในเมื่อความต้องการประชาธิปไตยของประชาชนยังไม่จบสิ้นลง.. หนทางแห่งการได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองของประชาชนนั้นจึงต้องใช้วิธีการ “แย่งชิงอำนาจนั้นมาจากเผด็จการ” พูดง่ายๆ เพื่อความเข้าใจโดยไม่คลาดเคลื่อนก็คือ “เป็นการทำสงครามต่อสู้กันระหว่างอำนาจเผด็จการ (ที่มีอาวุธทุกอย่างในมือ) กับอำนาจประชาธิปไตย (ที่มีพลังประชาชนอยู่ในมือ)” ..
ซึ่งในเรื่องนี้ ผมกล่าวในลักษณะของหลักการทางวิชาการ มิได้พูดในเชิงให้มีการจัดตั้งกองกำลังเพื่อให้เกิดการต่อสู้กันในลักษณะของสงครามกลางเมือง (ผู้เขียน)
เช่นนี้แล้วการต่อสู้ที่เกิดขึ้นนี้ เป้าหมายสูงสุดของแต่ละฝ่ายก็คือ “ฝ่ายเผด็จการต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจเดิมเอาไว้ให้ได้”... “ส่วนฝ่ายประชาธิปไตยก็ต้องทำทุกวิถีทางในการแย่งเอาอำนาจนั้นมาเป็นของประชาชนให้ได้เช่นกัน” ... นี่คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้น..และไม่มีใครปฏิเสธได้.. (ผมได้กล่าวไปแล้วตั้งแต่ต้นว่า ผมเขียนบทความนี้เพื่อสื่อถึงพี่น้องที่เป็นมวลชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน มิได้เฉพาะเจาะจงไปถึงแกนนำ หรือใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ)..
ดังนั้นกลยุทธการต่อสู้มากมายจึงถึงถูกนำมาใช้เพื่อรักษาอำนาจ..หรือ แย่งชิงอำนาจในสงครามครั้งนี้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน.. “จริงคือเท็จ..เท็จคือจริง.. เขียนเสือให้วัวกลัว... ยืมดาบฆ่าคน.. ขุดบ่อล่อปลา” ฯลฯ มากมายหลากหลายวิธี ซึ่งล้วนแล้วแต่ที่ต่างฝ่ายต่างก็นำมาใช้เพื่อให้ได้ชัยชนะในการต่อสู้ในครั้งนี้... เพื่อ “อำนาจ” เพียงประการเดียวเท่านั้น
เมื่อพี่น้องทุกท่านเข้าใจในความเป็นจริงเรื่อง “สงครามการต่อสู้ระหว่างอำนาจเผด็จการกับอำนาจประชาชนในภาพรวมแล้ว..ท่านก็จะสามารถเข้าใจเรื่องที่จะนำเสนอต่อไปนี้ได้”
แต่ขอความกรุณาครับถ้าท่านยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ผมพยายามสื่อไปถึงท่าน โปรดอ่านทบทวนในประเด็นเรื่อง “สงครามการต่อสู้นี้” และใคร่ครวญให้รอบคอบก่อน จึงค่อยอ่านในบทความช่วงต่อไป...
ปูนนก
^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^
ประเทศนี้ถูกปกครองด้วยอำนาจของเผด็จการที่ปกครองและครอบงำประเทศในทุกภาคส่วนมาหลายสิบปี โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ถูกมอมเมา และล้างสมองตลอดมาโดยไม่รู้ตัว.. ซึ่งได้มาถึงจุดระเบิดเมื่อเกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา.. นับตั้งแต่วันนั้นขบวนการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงจึงค่อยๆ พัฒนาและเติบใหญ่ขึ้นเป็นลำดับมาจนถึงปัจจุบัน..
ดังนั้นการที่ประชาชนได้รวมตัวกันเรียกร้องประชาธิปไตยในครั้งนี้ก็คือ “การนำเอาอำนาจในการปกครองจากผู้ครองอำนาจเผด็จการให้มาเป็นอำนาจของประชาชน” นั่นเอง..ซึ่งผมก็ได้เคยกล่าวไปในบทความชิ้นก่อนๆ ว่า การจะได้ตามสิ่งที่ประชาชนต้องการนั้นมีวิธีการอยู่ 2 หนทางคือ การร้องขอ.. หรือการแย่งชิง และจากระยะเวลาที่ผ่านมาหลายปีนั้นดูเหมือนว่า หนทางแห่งการร้องขอ น่าจะตีบตัน หรือ ปิดสนิทลงอย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว.. (จากการพิจารณาโดยส่วนตัวของผมเอง)
ด้วยเหตุนี้ในเมื่อความต้องการประชาธิปไตยของประชาชนยังไม่จบสิ้นลง.. หนทางแห่งการได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองของประชาชนนั้นจึงต้องใช้วิธีการ “แย่งชิงอำนาจนั้นมาจากเผด็จการ” พูดง่ายๆ เพื่อความเข้าใจโดยไม่คลาดเคลื่อนก็คือ “เป็นการทำสงครามต่อสู้กันระหว่างอำนาจเผด็จการ (ที่มีอาวุธทุกอย่างในมือ) กับอำนาจประชาธิปไตย (ที่มีพลังประชาชนอยู่ในมือ)” ..
ซึ่งในเรื่องนี้ ผมกล่าวในลักษณะของหลักการทางวิชาการ มิได้พูดในเชิงให้มีการจัดตั้งกองกำลังเพื่อให้เกิดการต่อสู้กันในลักษณะของสงครามกลางเมือง (ผู้เขียน)
เช่นนี้แล้วการต่อสู้ที่เกิดขึ้นนี้ เป้าหมายสูงสุดของแต่ละฝ่ายก็คือ “ฝ่ายเผด็จการต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจเดิมเอาไว้ให้ได้”... “ส่วนฝ่ายประชาธิปไตยก็ต้องทำทุกวิถีทางในการแย่งเอาอำนาจนั้นมาเป็นของประชาชนให้ได้เช่นกัน” ... นี่คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้น..และไม่มีใครปฏิเสธได้.. (ผมได้กล่าวไปแล้วตั้งแต่ต้นว่า ผมเขียนบทความนี้เพื่อสื่อถึงพี่น้องที่เป็นมวลชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน มิได้เฉพาะเจาะจงไปถึงแกนนำ หรือใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ)..
ดังนั้นกลยุทธการต่อสู้มากมายจึงถึงถูกนำมาใช้เพื่อรักษาอำนาจ..หรือ แย่งชิงอำนาจในสงครามครั้งนี้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน.. “จริงคือเท็จ..เท็จคือจริง.. เขียนเสือให้วัวกลัว... ยืมดาบฆ่าคน.. ขุดบ่อล่อปลา” ฯลฯ มากมายหลากหลายวิธี ซึ่งล้วนแล้วแต่ที่ต่างฝ่ายต่างก็นำมาใช้เพื่อให้ได้ชัยชนะในการต่อสู้ในครั้งนี้... เพื่อ “อำนาจ” เพียงประการเดียวเท่านั้น
เมื่อพี่น้องทุกท่านเข้าใจในความเป็นจริงเรื่อง “สงครามการต่อสู้ระหว่างอำนาจเผด็จการกับอำนาจประชาชนในภาพรวมแล้ว..ท่านก็จะสามารถเข้าใจเรื่องที่จะนำเสนอต่อไปนี้ได้”
แต่ขอความกรุณาครับถ้าท่านยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ผมพยายามสื่อไปถึงท่าน โปรดอ่านทบทวนในประเด็นเรื่อง “สงครามการต่อสู้นี้” และใคร่ครวญให้รอบคอบก่อน จึงค่อยอ่านในบทความช่วงต่อไป...
ปูนนก
**************************************************
กระแสการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยในระยะที่ผ่านมานี้.. มีความหลากหลายทางความคิดและแนวทางค่อนข้างมาก.. แม้ว่าทุกๆ แนวคิดหรือทุกๆ แนวทางล้วนแล้วแต่จะอ้างตนเองว่า ต้องการเป้าหมายเดียวกันคือ “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์เหมือนกัน” .. แต่ถ้าพิจารณาจากวิธีดำเนินการที่ปรากฏจริงตรงหน้าแล้ว.. จะเห็นได้ว่ามีทั้งความเหมือนและความต่างกันโดยสิ้นเชิง.. (ผมจะไม่ขอลงในรายละเอียด แต่ขอให้แต่ละท่านพิจารณาสิ่งที่ปรากฏจริงด้วยตัวของท่านเอง)..
ถ้าเปรียบอำนาจเผด็จการเสมือนอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่มีบ้านเรือนผู้คนปลูกพำนักอยู่มากมายโดยมี จุดศูนย์รวมอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ที่สุดกลางอาณาจักรนั้น.. และการเรียกร้องประชาธิปไตยโดยประชาชนเหมือนไฟ ที่กำลังลุกไหม้และเริ่มรายล้อมอาณาจักรนั้นเข้ามาจากขอบนอกเข้ามาเรื่อยๆ หนทางที่จะปกป้องอาณาจักรอันยิ่งใหญ่นี้เอาไว้ให้ได้ก็คือ“ทำลาย (ดับ) กองไฟนั้นเสีย..อาจจะโดยเอาน้ำสาด (ล้อมปราบ, การจับกุมคุมขัง).. หรือการแยกกองไฟให้เป็นกองเล็กๆ เพื่อจะทำการดับได้ง่าย (การยุแหย่ให้เกิดการแตกความสามัคคีแล้วทำลายภายหลัง)” ..
ยุทธศาสตร์การแยกเปลวไฟออกเป็นกองย่อยๆ (การแยกมวลชนเสื้อแดงออกจากกัน) มีการกระทำมาโดยตลอดจากฝ่ายเผด็จการ ตั้งแต่ในยุคเริ่มแรกของ คมช. ที่ ดร. เชียรช่วง กัลยาณมิตร ได้นำทัพเข้าสู่ในสงครามไซเบอร์ที่เรียกว่า 2.4 มาแล้ว
ดังนั้นการเข้ามาเสี้ยมให้มวลชนคนเสื้อแดงแตกความสามัคคีกัน จึงเป็นเป้าหมายในยุทธศาสตร์หนึ่งที่ฝ่ายอำนาจเผด็จการ ได้ใช้การต่อสู้ในสงครามครั้งนี้ด้วย.. และนี่คือความจริงแท้อย่างไม่ต้องสงสัย.. ด้วยเหตุนี้พี่น้องมวลชนคนเสื้อแดงจึงต้องระมัดระวังอย่างมากในการเชื่อถือข้อมูลข่าวสารใดๆ ในโลกอินเตอร์เน็ตแห่งนี้.. ต้องพิสูจน์ทราบอย่างดีและรอบคอบพอสมควร
แต่ในขณะเดียวกัน.. นอกจากยุทธศาสตร์การแยกกองไฟให้กลายเป็นกองเล็กๆ เพื่อง่ายต่อการกำจัดแล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืมพิจารณากันก็คือถ้ากองไฟมีมากเกินไปไม่สามารถแยกสลายได้หมด และไฟยิ่งลุกลามเข้ามาในอาณาจักรแห่งเผด็จการนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ลุกลาม และกินพื้นที่ในอาณาจักรนี้ “ใกล้บ้านหลังใหญ่ที่สุดเข้ามาทุกที” สิ่งที่ฝ่ายเผด็จการจะทำก็คือ “รักษาอำนาจของบ้านหลังใหญ่เอาไว้ให้ได้ต่อไปแม้จะสูญเสียส่วนอื่นของอาณาจักรไปก็ตาม” ... พูดง่ายๆ ก็คือ “สร้างแนวกันไฟล้อมรอบบ้านหลังใหญ่เอาไว้นั่นเอง” เพื่อที่ว่าเมื่อถึงคราวจำเป็น แม้ว่าไฟจะลุกลามไหม้บ้านทุกหลังในอาณาจักรนี้ไปจนหมดสิ้น ก็จะขอให้เหลือ “บ้านหลังใหญ่ที่สุดที่เจ้าของอำนาจเผด็จการครอบครองอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้เอาไว้ก่อนนั่นเอง”
ปูนนก
ถ้าเปรียบอำนาจเผด็จการเสมือนอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่มีบ้านเรือนผู้คนปลูกพำนักอยู่มากมายโดยมี จุดศูนย์รวมอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ที่สุดกลางอาณาจักรนั้น.. และการเรียกร้องประชาธิปไตยโดยประชาชนเหมือนไฟ ที่กำลังลุกไหม้และเริ่มรายล้อมอาณาจักรนั้นเข้ามาจากขอบนอกเข้ามาเรื่อยๆ หนทางที่จะปกป้องอาณาจักรอันยิ่งใหญ่นี้เอาไว้ให้ได้ก็คือ“ทำลาย (ดับ) กองไฟนั้นเสีย..อาจจะโดยเอาน้ำสาด (ล้อมปราบ, การจับกุมคุมขัง).. หรือการแยกกองไฟให้เป็นกองเล็กๆ เพื่อจะทำการดับได้ง่าย (การยุแหย่ให้เกิดการแตกความสามัคคีแล้วทำลายภายหลัง)” ..
ยุทธศาสตร์การแยกเปลวไฟออกเป็นกองย่อยๆ (การแยกมวลชนเสื้อแดงออกจากกัน) มีการกระทำมาโดยตลอดจากฝ่ายเผด็จการ ตั้งแต่ในยุคเริ่มแรกของ คมช. ที่ ดร. เชียรช่วง กัลยาณมิตร ได้นำทัพเข้าสู่ในสงครามไซเบอร์ที่เรียกว่า 2.4 มาแล้ว
ดังนั้นการเข้ามาเสี้ยมให้มวลชนคนเสื้อแดงแตกความสามัคคีกัน จึงเป็นเป้าหมายในยุทธศาสตร์หนึ่งที่ฝ่ายอำนาจเผด็จการ ได้ใช้การต่อสู้ในสงครามครั้งนี้ด้วย.. และนี่คือความจริงแท้อย่างไม่ต้องสงสัย.. ด้วยเหตุนี้พี่น้องมวลชนคนเสื้อแดงจึงต้องระมัดระวังอย่างมากในการเชื่อถือข้อมูลข่าวสารใดๆ ในโลกอินเตอร์เน็ตแห่งนี้.. ต้องพิสูจน์ทราบอย่างดีและรอบคอบพอสมควร
แต่ในขณะเดียวกัน.. นอกจากยุทธศาสตร์การแยกกองไฟให้กลายเป็นกองเล็กๆ เพื่อง่ายต่อการกำจัดแล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืมพิจารณากันก็คือถ้ากองไฟมีมากเกินไปไม่สามารถแยกสลายได้หมด และไฟยิ่งลุกลามเข้ามาในอาณาจักรแห่งเผด็จการนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ลุกลาม และกินพื้นที่ในอาณาจักรนี้ “ใกล้บ้านหลังใหญ่ที่สุดเข้ามาทุกที” สิ่งที่ฝ่ายเผด็จการจะทำก็คือ “รักษาอำนาจของบ้านหลังใหญ่เอาไว้ให้ได้ต่อไปแม้จะสูญเสียส่วนอื่นของอาณาจักรไปก็ตาม” ... พูดง่ายๆ ก็คือ “สร้างแนวกันไฟล้อมรอบบ้านหลังใหญ่เอาไว้นั่นเอง” เพื่อที่ว่าเมื่อถึงคราวจำเป็น แม้ว่าไฟจะลุกลามไหม้บ้านทุกหลังในอาณาจักรนี้ไปจนหมดสิ้น ก็จะขอให้เหลือ “บ้านหลังใหญ่ที่สุดที่เจ้าของอำนาจเผด็จการครอบครองอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้เอาไว้ก่อนนั่นเอง”
ปูนนก
************************************************
สิ่งที่ผมกำลังพยายามสื่อถึงพี่น้องมวลชนคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยทุกๆ ท่านในที่นี้ก็คือ. บ่อยครั้งที่มีพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยได้นำเสนอแนวทาง และยุทธศาสตร์ในการต่อสู้เพื่อจะได้นำไปสู่เป้าหมายแห่งการได้มาซึ่งอำนาจประชาธิปไตยที่แท้จริงคือ.. เพื่อทำลายทุกส่วนของอาณาจักรเผด็จการนี้ลงไปก่อน.. แล้วค่อยปลูกบ้านหลังใหญ่กลางอาณาจักรขึ้นมาใหม่อีกครั้งในรูปแบบของประชาธิปไตย.. แต่เผอิญแนวทางดังกล่าวไม่ตรง หรืออาจจะขัดแย้งกับแนวทางที่พี่น้องบางกลุ่ม หรือบางส่วนเชื่อ... ก็จะถูกกล่าวหาว่า คนเหล่านั้นกำลังทำตัวให้เข้าสู่ยุทธศาสตร์ของอำนาจเผด็จการคือ “ทำลายความสามัคคีของมวลชนคนเสื้อแดง” และก็ถูกกระหน่ำโจมตี จนถึงขั้นถูกกล่าวหาว่า “เป็นฝ่ายเผด็จการที่แฝงตัวเข้ามาบ่อนทำลายฝ่ายประชาธิปไตย”
โดยลืมมองไปว่าแนวทางที่พี่น้องจำนวนมากกำลังเดินไปนั้น คือแนวทางที่เป็นยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายเผด็จการวางเอาไว้เช่นกันคือ “สร้างแนวกันไฟ” มิให้เข้าถึงบ้านหลังใหญ่ที่สุดในอาณาจักรเผด็จการได้.. เพราะถึงแม้ในที่สุดเมื่อไฟได้ลุกลามเข้าไปเผาไหม้อาณาจักรแห่งเผด็จการได้ทั้งหมดแล้ว.. แต่ทว่า “บ้านหลังใหญ่ที่อำนาจเผด็จการครอบครองอยู่ก็มิได้กลายเป็นของประชาชนกลับยังคงอำนาจเผด็จการดังเดิมเอาไว้อยู่เช่นกัน”
ดังที่ผมเคยบอกไปแล้วแต่ต้นว่า.. เป้าหมายสูงสุดของสงครามครั้งนี้.. สำหรับฝ่ายเผด็จการก็คือ “ทำทุกวิถีทางที่จะรักษาอำนาจเผด็จการเอาไว้ให้ได้” ส่วนฝ่ายประชาธิปไตยก็คือ“ทำทุกวิถีทางเช่นกันที่จะเอาอำนาจนั้นมาสู่ประชาชนให้ได้เช่นกัน” เมื่อท่านเข้าใจเป้าหมายหลักแล้ว ท่านก็จะเข้าใจยุทธศาสตร์อื่นๆ ในแต่ละกรณีที่ถูกกำหนดขึ้นมาในการต่อสู้ครั้งนี้ของแต่ละฝ่ายด้วย
เหตุดังกล่าวทั้งหมดนี้...พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุกๆ ท่าน... ที่มีสติสัมปชัญญะและการพิจารณาอย่างรอบคอบด้วยตัวของท่านเอง.. ขอให้ทุกๆ ท่านได้ใคร่ครวญ ด้วยใจเป็นธรรมว่า สิ่งที่ท่านกำลังเดินทางไป หรือร่วมเดินไปนั้นเป็น “การทำลายอำนาจเผด็จการเพื่อได้ชัยชนะ” ในสงครามครั้งนี้ หรือเป็น “การสร้างแนวกันไฟให้กับอำนาจเผด็จการ” เพราะถึงอย่างไร อำนาจเผด็จการก็ไม่มีวันยอมแพ้ในสงครามครั้งนี้อย่างแน่นอน..
การกล่าวหาว่าพี่น้องที่คิดไม่สอดคล้องกับความต้องการของบางคน, บางกลุ่ม เป็นผู้ที่แฝงตัวเข้ามาเพื่อ เสี้ยม ทำลายความสามัคคีของคนเสื้อแดง... ถ้าพิจารณาให้ดีๆ อย่างรอบคอบและลึกซึ้ง ก็เป็นไปได้เช่นกันว่า การกล่าวหาเช่นนั้นก็เพียงเพื่อ “สร้างแนวกันไฟ” เอาไว้ให้เผด็จการนั่นเอง...
ขอให้ทุกๆ ท่านได้โปรดระลึกว่า..ฝ่ายเผด็จการนั้นมียุทธศาสตร์ที่จะใช้คนเข้ามาเพื่อแยกสลายกำลังของมวลชนคนเสื้อแดงนั้นเป็นความจริง... แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็มียุทธศาสตร์ที่จะใช้คนของเขาเข้ามาเพื่อทำเนียนและชักจูงโน้มน้าวมวลชนให้เดินไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้... และสร้างแนวกันไฟให้อำนาจเผด็จการเช่นเดียวกัน... ดังนั้นพี่น้องมวลชนต้องใช้สติและพิจารณาให้รอบคอบในการจะเลือกเชื่อ หรือเดินตามสิ่งใดต่อไป...
ปูนนก
โดยลืมมองไปว่าแนวทางที่พี่น้องจำนวนมากกำลังเดินไปนั้น คือแนวทางที่เป็นยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายเผด็จการวางเอาไว้เช่นกันคือ “สร้างแนวกันไฟ” มิให้เข้าถึงบ้านหลังใหญ่ที่สุดในอาณาจักรเผด็จการได้.. เพราะถึงแม้ในที่สุดเมื่อไฟได้ลุกลามเข้าไปเผาไหม้อาณาจักรแห่งเผด็จการได้ทั้งหมดแล้ว.. แต่ทว่า “บ้านหลังใหญ่ที่อำนาจเผด็จการครอบครองอยู่ก็มิได้กลายเป็นของประชาชนกลับยังคงอำนาจเผด็จการดังเดิมเอาไว้อยู่เช่นกัน”
ดังที่ผมเคยบอกไปแล้วแต่ต้นว่า.. เป้าหมายสูงสุดของสงครามครั้งนี้.. สำหรับฝ่ายเผด็จการก็คือ “ทำทุกวิถีทางที่จะรักษาอำนาจเผด็จการเอาไว้ให้ได้” ส่วนฝ่ายประชาธิปไตยก็คือ“ทำทุกวิถีทางเช่นกันที่จะเอาอำนาจนั้นมาสู่ประชาชนให้ได้เช่นกัน” เมื่อท่านเข้าใจเป้าหมายหลักแล้ว ท่านก็จะเข้าใจยุทธศาสตร์อื่นๆ ในแต่ละกรณีที่ถูกกำหนดขึ้นมาในการต่อสู้ครั้งนี้ของแต่ละฝ่ายด้วย
เหตุดังกล่าวทั้งหมดนี้...พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุกๆ ท่าน... ที่มีสติสัมปชัญญะและการพิจารณาอย่างรอบคอบด้วยตัวของท่านเอง.. ขอให้ทุกๆ ท่านได้ใคร่ครวญ ด้วยใจเป็นธรรมว่า สิ่งที่ท่านกำลังเดินทางไป หรือร่วมเดินไปนั้นเป็น “การทำลายอำนาจเผด็จการเพื่อได้ชัยชนะ” ในสงครามครั้งนี้ หรือเป็น “การสร้างแนวกันไฟให้กับอำนาจเผด็จการ” เพราะถึงอย่างไร อำนาจเผด็จการก็ไม่มีวันยอมแพ้ในสงครามครั้งนี้อย่างแน่นอน..
การกล่าวหาว่าพี่น้องที่คิดไม่สอดคล้องกับความต้องการของบางคน, บางกลุ่ม เป็นผู้ที่แฝงตัวเข้ามาเพื่อ เสี้ยม ทำลายความสามัคคีของคนเสื้อแดง... ถ้าพิจารณาให้ดีๆ อย่างรอบคอบและลึกซึ้ง ก็เป็นไปได้เช่นกันว่า การกล่าวหาเช่นนั้นก็เพียงเพื่อ “สร้างแนวกันไฟ” เอาไว้ให้เผด็จการนั่นเอง...
ขอให้ทุกๆ ท่านได้โปรดระลึกว่า..ฝ่ายเผด็จการนั้นมียุทธศาสตร์ที่จะใช้คนเข้ามาเพื่อแยกสลายกำลังของมวลชนคนเสื้อแดงนั้นเป็นความจริง... แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็มียุทธศาสตร์ที่จะใช้คนของเขาเข้ามาเพื่อทำเนียนและชักจูงโน้มน้าวมวลชนให้เดินไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้... และสร้างแนวกันไฟให้อำนาจเผด็จการเช่นเดียวกัน... ดังนั้นพี่น้องมวลชนต้องใช้สติและพิจารณาให้รอบคอบในการจะเลือกเชื่อ หรือเดินตามสิ่งใดต่อไป...
ปูนนก
วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
เบื้องหลังประกัน 7 แกนนำ:โดยมานิตย์ จิตจันทร์กลับ
มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ
แกนนำและที่ปรึกษาแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบสัดส่วน พรรคเพื่อไทย
และอดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา
ในงานเสวนา"วิกฤติปาก-ท้อง"
จัดโดยชมรมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตย
ณ มูลนิธิ111
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2554
แกนนำและที่ปรึกษาแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบสัดส่วน พรรคเพื่อไทย
และอดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา
ในงานเสวนา"วิกฤติปาก-ท้อง"
จัดโดยชมรมสื่อมวลชนเพื่อประชาธิปไตย
ณ มูลนิธิ111
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2554
ไอ้คุณปิ๊สิทธิ...เมิงยังมีหน้ามาเสนอตัวเป็นนายกฯ อีกสมัยหรือครับ
ประเทศนี้ ยังวิบัติไม่พอ ชิมิ ๆ ๆ ๆ พี่มาร์ค
เมื่อวานเห็นเคมเปญ 25 อะไรนี่แหละ ของพรรคประชาวิบัติ ที่ทำงานผ่านโพเดียมมาตลอดกว่า 2 ขวบปี กระผมเห็นท่านนายกฯ กอดและจูบปาก กับไมค์และโพเดียมมาตลอดท่านจะเพิ่มต่าแรง แบบนึกเอา (ที่บ้านเรียก โม้) โดยลืมไปว่าไอ้ห่า คนเพิ่มหนะ เจ้าของโรงงาน เขาจะคุยการขึ้นค่าแรงแบบไตรภาคี ไม่ใช่รัฐบาลมาชี้นิ้วว่าจะเอาแบบนี้
ท่านจะเพิ่มโฉนด ชุมชน 25000 ใบ (เล่นเอาฝันถึง สปก. 4-01 Return)
ท่านจะทำไอ้โน้น จะทำไอ้นี่ ประมาณว่า โฮ้โห...พรรคประชาธิปัตย์ เนี่ย"นี่แม่มสวรรค์ของปวงชนชาวไทยชัด ๆ" ยิ่งกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้า โตชิบ้า ที่เขามักจะยิงแคมเปญว่า โตชิบ้านำสิ่งที่ดี สู่ชีวิต
เล่นเอาผมเกือบเคลิ้ม แบบเมาใบกระท่อม ถ้าไม่คิดถึงสโลแกนอันเก่า ประชาชนต้องมาก่อน กับปฏิบัติการ 99 วันทำได้จริง ที่ประชาวิบัติเคยหาเสียงเอาไว้
พาลทำเอาผมสะดุ้งแทน ปวงชานชวงทรุยแลนด์ มิได้
ปวงชนชาวทุย อย่างผมยัง " แขยง " ไม่หาย กับลดทันที สรรพสามิตรนำ้มัน ลิตรละ 2 บาททันที มาเป็นกระทืบเมิง(ประชาชน) ทันที ลิตรละ 7 บาท
ครั้นสื่อทวงถาม...ว่าทำไมหละ ที่เคยบอกไว้ว่าจะทำแล้วทำไมไม่ทำ
ปิ๊สิทธิ แลบลิ้น สองแฉกตอบออกมาัทันทีว่า "บริบท มันเปลี่ยนไป" (ฮา)
นี่แค่น้ำจิ้ม ที่ปิ๊สิทธิ พูดอย่างแต่ทำอีกอย่าง...
ขี้เกียจจะยกตัวอย่าง การพูดอย่าง แต่ทำอีกอย่าง ซึ่งมันเยอะจนจำไม่ไหว
วันแถลงนโยบาย มันบอกว่า..จะยกระดับให้ประชาชนชาวรากหญ้าได้กินดีอยู่ดี ......
เราก็ได้เห็น ปวงชนชาวไทยทุกระดับเข้าคิวซื้อน้ำมันพืช (ฮาดีมั้ย) ทั้ง ๆ ที่ประเทศนี้ เป็นประเทศเกษตรกรรม และปลูกปาลม์น้ำมัน แต่ถ้าจะมองในทางที่ดี "อาจจะเป็นกุศโลบายลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม" ที่ว่าไม่ว่าจะไฮโว หรือ โลโซ ท่านอาจต้องตบตีกัน จากการเข้าคิวซื้อน้ำมันไปทำกับข้าว
เราจะแก้ไขปัญหาปากท้อง โดยการจ้างคนทำโปรเจค 70 กว่าล้านบาท คิดโครงการช่วยปากท้องชาวบ้าน ด้วยการซื้อขายไข่ด้วยการชั่งกิโลขาย (อันนี้ฮาไม่ออก)
เราได้เห็น กฏเหล็ก 9 ข้อ ที่บอกว่า..รัฐบาลนี้จะไม่มีการโกง...แต่เราได้เห็นภาคธุรกิจออกมาร้องกับสังคมว่า เป็นยุคที่มีการเรียกเก็บค่าหัวคิว หรือค่าปากถุง กับโครงการของรัฐมากที่สุดที่ประเทศไทย เคยมีมา จากเดิม 5 หรือ 10 เปอร์เซ็นต์
แต่ยุครัฐบาล ที่การันตี โดยข้าวเหนียวถั่วดำว่า ประเทศไทยโชคดีได้ได้อภิสิทธิ เป็นนายกฯ "ล่อเข้าไป 25 ถึง 30 เปอร์เซ็นต์"
เราได้เห็น...ความสนิทสนมกลมเกลียวกันของคนในชาติ ผ่านช่อง 3 หรือชุมชน ในการเยียวยา พี่น้องร่วมชาติจากภัยธรรมชาติ (น้ำท่วม) เล่นเอาปวงชนชาวไทย งง ไม่หายว่า ในขณะนั้นนายกประเทศนี้" ชื่อ อภิสิทธ หรือ สรยุทธ"
เราได้เห็น การขึ้นอันดับ 1 ในเอเชียติดอันดับทอป 5 ในโลก จากการแก้ปัญหาไข้หวัดมรณะ จากฝีมืออันลือเลื่อง ของนายกฯ และรัฐมนตรีสาธารณสุข
เราได้เห็น ฝีมืออันเอกอุ ที่เปลี่ยนการค้าขายตามแนวชายแดนอย่างเป็นสุข กลายเป็น ดินแดนแห่งสงคราม ได้อย่างชนิดที่คาดไม่ถึง
เราได้เห็น !@#$%^&*()_++_)()(**&&^^%$$#@!.. พอเหอะ กูเครียดดดดดดด
ขี้เกียจจะนับ ว่า ท่านได้ทำระยำตำบอนอะไรไว้กับประเทศชาติบ้าง
ไหน ลองบอกมาเป็นภาพรวมสิว่า ...ตั้งแต่ทำงานด้วยปากมา 2 ปีกว่า
มีอะไรที่คิดขึ้นมาเอง แล้วมันเป็นบุญคุญอันใหญ่หลวงกับประเทศนี้บ้าง
ล่าสุด คนไทยในลิเบีย หนีตายด้วยตัวเอง จากการเกิดการจลาจล ประท้วงไล่รัฐบาล จนเกิดสงครามกลางเมือง
หนีตาย โดยไร้การช่วยเหลือ จากรัฐบวยหัวคาน (ที่ไม่ว่าง ตอนนี้กำลังท้าตีท้าต่อยกับประเทศอื่น ๆ อยู่) หนีเพื่อชีวิตตัวเองรอด หนีด้วยความสิ้นหวัง
ยิ่งคนไทยในลิเบีย พูดว่า ถามว่าจะช่วยยังงัย รัฐบาลบอกว่า จะประสาน ประสาน จะประสาน จะประสาน ไม่รู้ประสานเชี่ยยย อารายอยู่ ขนาดประเทศที่แย่ อย่างบังคลาเทศ แม่มยังเอาเรือมารอรับคนของเขาก่อนประเทศทรวยยยยยยยยยเลย
ประเทศทรวย โชคดีที่ได้ปิสิทธ เป็นนายก เจง ๆ
แต่ถ้าคิดอีกที รัฐบาลเทพประทาน เขาก็กระจายความทุกข์ยากให้ปวงชนชาวไทยอย่างทั่้วถึงนะ
ถ้าประชาชนในเมืองทรวยนี้ลำบากลำบนจากพิษข้าวยากหมากแพง จนระบมกันทั่วหน้า
ประชาชนไทยในลิเบีย ก็เอาเรื่องนี้ไป เพื่อเป็นการแบ่งปันความทุกข์ กันทั่วหน้า เดี๋ยวจะหาว่ารัฐบาลนี้ลำเอียง
คิดเอาเองแล้วกัน ชีวิตของคนงานไทยในลิเบีย ขึ้นอยู่กับการจับสลากว่า วันนี้ใครจะได้หนีตายก่อน
ได้ยินเสียงนี้บ้างหรือเปล่า ไอ้มาร์ค ไอ้กษิต
ขี้เกียจจะบ่นแระ ผมเหนื่อยใจ อิบอ๋าย
กับรัฐบาลคนดี รัฐบาลคนเก่ง รัฐบาลปากหวาน รูปหล่อ ของป๋า
ยังมีหน้ามาบอกว่า จะขอทำงานอีกสมัย
โธ่....ไอ้วรนัสเอ้ย...แค่นี้ประเทศยังวิบัติไม่พอใช่มั้ย
เมื่อวานเห็นเคมเปญ 25 อะไรนี่แหละ ของพรรคประชาวิบัติ ที่ทำงานผ่านโพเดียมมาตลอดกว่า 2 ขวบปี กระผมเห็นท่านนายกฯ กอดและจูบปาก กับไมค์และโพเดียมมาตลอดท่านจะเพิ่มต่าแรง แบบนึกเอา (ที่บ้านเรียก โม้) โดยลืมไปว่าไอ้ห่า คนเพิ่มหนะ เจ้าของโรงงาน เขาจะคุยการขึ้นค่าแรงแบบไตรภาคี ไม่ใช่รัฐบาลมาชี้นิ้วว่าจะเอาแบบนี้
ท่านจะเพิ่มโฉนด ชุมชน 25000 ใบ (เล่นเอาฝันถึง สปก. 4-01 Return)
ท่านจะทำไอ้โน้น จะทำไอ้นี่ ประมาณว่า โฮ้โห...พรรคประชาธิปัตย์ เนี่ย"นี่แม่มสวรรค์ของปวงชนชาวไทยชัด ๆ" ยิ่งกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้า โตชิบ้า ที่เขามักจะยิงแคมเปญว่า โตชิบ้านำสิ่งที่ดี สู่ชีวิต
เล่นเอาผมเกือบเคลิ้ม แบบเมาใบกระท่อม ถ้าไม่คิดถึงสโลแกนอันเก่า ประชาชนต้องมาก่อน กับปฏิบัติการ 99 วันทำได้จริง ที่ประชาวิบัติเคยหาเสียงเอาไว้
พาลทำเอาผมสะดุ้งแทน ปวงชานชวงทรุยแลนด์ มิได้
ปวงชนชาวทุย อย่างผมยัง " แขยง " ไม่หาย กับลดทันที สรรพสามิตรนำ้มัน ลิตรละ 2 บาททันที มาเป็นกระทืบเมิง(ประชาชน) ทันที ลิตรละ 7 บาท
ครั้นสื่อทวงถาม...ว่าทำไมหละ ที่เคยบอกไว้ว่าจะทำแล้วทำไมไม่ทำ
ปิ๊สิทธิ แลบลิ้น สองแฉกตอบออกมาัทันทีว่า "บริบท มันเปลี่ยนไป" (ฮา)
นี่แค่น้ำจิ้ม ที่ปิ๊สิทธิ พูดอย่างแต่ทำอีกอย่าง...
ขี้เกียจจะยกตัวอย่าง การพูดอย่าง แต่ทำอีกอย่าง ซึ่งมันเยอะจนจำไม่ไหว
วันแถลงนโยบาย มันบอกว่า..จะยกระดับให้ประชาชนชาวรากหญ้าได้กินดีอยู่ดี ......
เราก็ได้เห็น ปวงชนชาวไทยทุกระดับเข้าคิวซื้อน้ำมันพืช (ฮาดีมั้ย) ทั้ง ๆ ที่ประเทศนี้ เป็นประเทศเกษตรกรรม และปลูกปาลม์น้ำมัน แต่ถ้าจะมองในทางที่ดี "อาจจะเป็นกุศโลบายลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม" ที่ว่าไม่ว่าจะไฮโว หรือ โลโซ ท่านอาจต้องตบตีกัน จากการเข้าคิวซื้อน้ำมันไปทำกับข้าว
เราจะแก้ไขปัญหาปากท้อง โดยการจ้างคนทำโปรเจค 70 กว่าล้านบาท คิดโครงการช่วยปากท้องชาวบ้าน ด้วยการซื้อขายไข่ด้วยการชั่งกิโลขาย (อันนี้ฮาไม่ออก)
เราได้เห็น กฏเหล็ก 9 ข้อ ที่บอกว่า..รัฐบาลนี้จะไม่มีการโกง...แต่เราได้เห็นภาคธุรกิจออกมาร้องกับสังคมว่า เป็นยุคที่มีการเรียกเก็บค่าหัวคิว หรือค่าปากถุง กับโครงการของรัฐมากที่สุดที่ประเทศไทย เคยมีมา จากเดิม 5 หรือ 10 เปอร์เซ็นต์
แต่ยุครัฐบาล ที่การันตี โดยข้าวเหนียวถั่วดำว่า ประเทศไทยโชคดีได้ได้อภิสิทธิ เป็นนายกฯ "ล่อเข้าไป 25 ถึง 30 เปอร์เซ็นต์"
เราได้เห็น...ความสนิทสนมกลมเกลียวกันของคนในชาติ ผ่านช่อง 3 หรือชุมชน ในการเยียวยา พี่น้องร่วมชาติจากภัยธรรมชาติ (น้ำท่วม) เล่นเอาปวงชนชาวไทย งง ไม่หายว่า ในขณะนั้นนายกประเทศนี้" ชื่อ อภิสิทธ หรือ สรยุทธ"
เราได้เห็น การขึ้นอันดับ 1 ในเอเชียติดอันดับทอป 5 ในโลก จากการแก้ปัญหาไข้หวัดมรณะ จากฝีมืออันลือเลื่อง ของนายกฯ และรัฐมนตรีสาธารณสุข
เราได้เห็น ฝีมืออันเอกอุ ที่เปลี่ยนการค้าขายตามแนวชายแดนอย่างเป็นสุข กลายเป็น ดินแดนแห่งสงคราม ได้อย่างชนิดที่คาดไม่ถึง
เราได้เห็น !@#$%^&*()_++_)()(**&&^^%$$#@!.. พอเหอะ กูเครียดดดดดดด
ขี้เกียจจะนับ ว่า ท่านได้ทำระยำตำบอนอะไรไว้กับประเทศชาติบ้าง
ไหน ลองบอกมาเป็นภาพรวมสิว่า ...ตั้งแต่ทำงานด้วยปากมา 2 ปีกว่า
มีอะไรที่คิดขึ้นมาเอง แล้วมันเป็นบุญคุญอันใหญ่หลวงกับประเทศนี้บ้าง
ล่าสุด คนไทยในลิเบีย หนีตายด้วยตัวเอง จากการเกิดการจลาจล ประท้วงไล่รัฐบาล จนเกิดสงครามกลางเมือง
หนีตาย โดยไร้การช่วยเหลือ จากรัฐบวยหัวคาน (ที่ไม่ว่าง ตอนนี้กำลังท้าตีท้าต่อยกับประเทศอื่น ๆ อยู่) หนีเพื่อชีวิตตัวเองรอด หนีด้วยความสิ้นหวัง
ยิ่งคนไทยในลิเบีย พูดว่า ถามว่าจะช่วยยังงัย รัฐบาลบอกว่า จะประสาน ประสาน จะประสาน จะประสาน ไม่รู้ประสานเชี่ยยย อารายอยู่ ขนาดประเทศที่แย่ อย่างบังคลาเทศ แม่มยังเอาเรือมารอรับคนของเขาก่อนประเทศทรวยยยยยยยยยเลย
ประเทศทรวย โชคดีที่ได้ปิสิทธ เป็นนายก เจง ๆ
แต่ถ้าคิดอีกที รัฐบาลเทพประทาน เขาก็กระจายความทุกข์ยากให้ปวงชนชาวไทยอย่างทั่้วถึงนะ
ถ้าประชาชนในเมืองทรวยนี้ลำบากลำบนจากพิษข้าวยากหมากแพง จนระบมกันทั่วหน้า
ประชาชนไทยในลิเบีย ก็เอาเรื่องนี้ไป เพื่อเป็นการแบ่งปันความทุกข์ กันทั่วหน้า เดี๋ยวจะหาว่ารัฐบาลนี้ลำเอียง
คิดเอาเองแล้วกัน ชีวิตของคนงานไทยในลิเบีย ขึ้นอยู่กับการจับสลากว่า วันนี้ใครจะได้หนีตายก่อน
ได้ยินเสียงนี้บ้างหรือเปล่า ไอ้มาร์ค ไอ้กษิต
ขี้เกียจจะบ่นแระ ผมเหนื่อยใจ อิบอ๋าย
กับรัฐบาลคนดี รัฐบาลคนเก่ง รัฐบาลปากหวาน รูปหล่อ ของป๋า
ยังมีหน้ามาบอกว่า จะขอทำงานอีกสมัย
โธ่....ไอ้วรนัสเอ้ย...แค่นี้ประเทศยังวิบัติไม่พอใช่มั้ย
จำลอง ประกาศ สาวกทางบ้านอย่าเพิ่งออกมามืดฟ้ามัวดินนะจ๊ะ
ที่มา: ASsTV 28 กุมภาพันธ์ 2554
http://www.internetfreedom.us/thread-15248.html
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า พี่น้องที่ดูทีวีอยู่ที่บ้านและพี่น้องที่ชุมนุมอยู่ที่นี่ เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ รัฐบาลต้องสั่งสลายการชุมนุม เช้านี้ตำรวจทำความเดือดร้อน รื้อเต็นท์ที่เราใช้บังแดด บังฝน พร้อมกับเปิดการจราจรให้รถวิ่งผ่าฝูงชนเข้ามา เราชุมนุมมาแล้ว 35 วัน ไม่ได้มีอะไรเดือดร้อน การกระทำครั้งนี้เป็นความตั้งใจของรัฐบาล ไม่ได้เป็นความตั้งใจของตำรวจ เนื่องจากรัฐบาลเห็นว่าหากพันธมิตรฯ ชุมนุมอยู่อย่างนี้ เขาแย่แน่ๆ
อย่างไรก็ตาม ตำรวจรื้อเต็นท์เราออกไปเราถือว่าทำตามคำสั่ง แต่ขออย่ารื้อห้องน้ำของเรา เพราะเป็นเงินประชาชน เราใช้ตามความจำเป็น เนื่องจากไม่อยากรบกวนกรุงเทพฯ ที่ต้องเอารถสุขามา จึงได้สร้างขึ้นมาเอง คนมามากไม่มีห้องน้ำจะทำอย่างไร อีกอย่างห้องน้ำของเราสะอาดไม่มีกลิ่นเหม็น
พล.ต.จำลองกล่าวอีกว่า พี่น้องประชาชนที่อยู่ทางบ้านไม่ต้องมามากเป็นพิเศษ ถึงแม้เรารู้ว่ามากกว่านี้ก็ดี แต่ยังไม่จำเป็น เมื่อถึงเวลารัฐบาลจะเป่านกหวีดเอง เราอยู่แค่นี้ก็พอเป็นพอไป ยังไม่จำเป็นต้องมามืดฟ้ามัวดิน แต่ใกล้เข้ามาแล้ว ขอให้มาเป็นปกติก็แล้วกันจัดเวรกันมา ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริง ออกมาให้มากๆ เราสามารถเอาแผ่นดินรอบเขาวิหารกลับมาได้แน่นอนหากเราชุมนุมกันอยู่อย่างนี้
#####################################
อย่าเพิ่งออกมาแบบมืดฟ้ามัวดินนะจ๊ะ... เดี๋ยวเป่านกหวีดเรียกเอง 555555
http://www.internetfreedom.us/thread-15248.html
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า พี่น้องที่ดูทีวีอยู่ที่บ้านและพี่น้องที่ชุมนุมอยู่ที่นี่ เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ รัฐบาลต้องสั่งสลายการชุมนุม เช้านี้ตำรวจทำความเดือดร้อน รื้อเต็นท์ที่เราใช้บังแดด บังฝน พร้อมกับเปิดการจราจรให้รถวิ่งผ่าฝูงชนเข้ามา เราชุมนุมมาแล้ว 35 วัน ไม่ได้มีอะไรเดือดร้อน การกระทำครั้งนี้เป็นความตั้งใจของรัฐบาล ไม่ได้เป็นความตั้งใจของตำรวจ เนื่องจากรัฐบาลเห็นว่าหากพันธมิตรฯ ชุมนุมอยู่อย่างนี้ เขาแย่แน่ๆ
อย่างไรก็ตาม ตำรวจรื้อเต็นท์เราออกไปเราถือว่าทำตามคำสั่ง แต่ขออย่ารื้อห้องน้ำของเรา เพราะเป็นเงินประชาชน เราใช้ตามความจำเป็น เนื่องจากไม่อยากรบกวนกรุงเทพฯ ที่ต้องเอารถสุขามา จึงได้สร้างขึ้นมาเอง คนมามากไม่มีห้องน้ำจะทำอย่างไร อีกอย่างห้องน้ำของเราสะอาดไม่มีกลิ่นเหม็น
พล.ต.จำลองกล่าวอีกว่า พี่น้องประชาชนที่อยู่ทางบ้านไม่ต้องมามากเป็นพิเศษ ถึงแม้เรารู้ว่ามากกว่านี้ก็ดี แต่ยังไม่จำเป็น เมื่อถึงเวลารัฐบาลจะเป่านกหวีดเอง เราอยู่แค่นี้ก็พอเป็นพอไป ยังไม่จำเป็นต้องมามืดฟ้ามัวดิน แต่ใกล้เข้ามาแล้ว ขอให้มาเป็นปกติก็แล้วกันจัดเวรกันมา ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริง ออกมาให้มากๆ เราสามารถเอาแผ่นดินรอบเขาวิหารกลับมาได้แน่นอนหากเราชุมนุมกันอยู่อย่างนี้
#####################################
อย่าเพิ่งออกมาแบบมืดฟ้ามัวดินนะจ๊ะ... เดี๋ยวเป่านกหวีดเรียกเอง 555555
ไอ่หน้าโง่!..ถือเคล็ดแช่งตัวเองอีกและ...
http://bit.ly/dMPCSI
http://www.internetfreedom.us/thread-15259.html
ปชป.ถือเคล็ด“เลข25”นำโชคลุยเลือกตั้ง
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
http://www.internetfreedom.us/thread-15259.html
ปชป.ถือเคล็ด“เลข25”นำโชคลุยเลือกตั้ง
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ปชป. เริ่มเดินหน้าหาเสียง ถือเคล็ด “ เลข 25 ” สร้างนโยบายสานฝันประชาชน อภิสิทธิ์ โวเลือกตั้งครั้งหน้าต้องได้ 250 ที่นั่ง
เมื่อ เวลา 14.30 น วันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตอนหนึ่งในงาน “ ร่วมกำหนดอนาคตประเทศไทย “ ซึ่งจัดโดยพรรคประชาธิปัตย์ว่า
วันนี้ รู้ดีว่าแม้จะแก้ปัญหาไปอย่างไร แต่ก็ไม่เป็นที่พอใจ เพราะยังมีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แต่คนส่วนใหญ่ ในสังคมมีความอดทน อดกลั้น ยึดมั่นในความสามัคคี ดังนั้นปชป . จะเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่อไป แม้จะมีอุปสรรค
ที่ผ่านมาตนเองเจอปัญหาทุกรสมีการเอาเลือดไปเทหน้าบ้าน แค่ก็ยังยิ้มได้ เพราะอาสาเข้ามาทำงานแล้ว ไม่มีสิทธิ์บ่น โวยวายหรือบอกให้ประชาชนรับรู้ได้ ต้องเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่อไป
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะเดียวกันรัฐบาลกำลังเร่งเดินหน้าในการทำนโยบายเพื่อประชาชนซึ่งมีบางส่วน ดำเนินการไปแล้ว และบางส่วนกำลังดำเนินการ แม้แต่เรื่องน้ำมันปาล์ม ซึ่งได้ให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติดูแลแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำมันปาล์ม แต่ก็ทำดีเกินไป จากเมื่อก่อนที่ปาล์มน้ำมันมีราคาเพียงแค่ 3 บาท ซึ่งทางนายสุเทพ รับปากจะดำเนินการให้ปัญหาน้ำมันขาดแคลน
ทั้งนี้ในเรื่องของน้ำมันปาล์มจะมีการประเมินสถานการณ์อีกครั้งในวันที่ 8 มีนาคม คิดว่าแนวโน้มน่าจะดีขึ้น ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะดูแล เรื่องการผลิต และคาดว่า ประมาณปลายเดือนมีนาคม หรือเมษายน ผลผลิตจะออกมาเยอะ ราคาก็จะตกลงไปตามปกติ แต่ยืนยันว่ารัฐบาลจะยืนยันราคา 47 บาท โดยไม่ต้องมีเงินรัฐบาลไปอุดหนุน ยอมรับว่าสินค้าราคาแพงต่างๆ รัฐบาลโดนด่า ซึ่งไม่ขอแก้ตัว ซึ่งเราต้องแก้ไขปัญหากันไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า นโยบายต่างๆ ของพรรคที่ออกมาถือเคล็ดเลข 25 ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาอีก 2.5 แสนทุน โฉนดชุมชน จะเพิ่มเป็น 2.5 แสนราย เรื่องยาเสพติดมีการจัดกองกำลัง 2,500 นาย
เพราะทางนายสุเทพ รองนายกฯ และเลขาพรรคประชาธิปัตย์ บอกแล้วว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า ประมาณกลางปี จะได้ส.ส. 250 คน ซึ่งถ้าเลือกพรรคประชาธิปัตย์ก็จะเดินหน้านโยบายเพื่อประชาชนต่อไป แต่ถ้าเลือกพรรคเพื่อไทย ก็ต้องถามว่าจะทำอะไร แต่เห็นแล้วว่าคงต่างกันนิดเดียว เท่าที่ดูในวันพรุ่งนี้จะมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในเรื่องที่พูดเมื่อปี ที่แล้ว ก็เท่ากับว่า ไม่มีการเดินหน้า มีแต่เดินวน เดินถอยหลัง คิดดูแล้วกันว่าประชาชน จะเลือกอะไร จะเดินหน้า หรือจะเดินวน นี่คือความแตกต่าง
ขณะเดียวกันก่อนหน้านั้นได้มีการเปิดตัวแผนการ รณรงค์การเลือกตั้งของประชาธิปัตย์ ในเคมแปญ“ เดินหน้าต่อไปด้วยนโยบายเพื่อประชาชน ” ซึ่งเป็นการเปิดตัวนโยบายชุดแรก ได้แก่ 1.การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำอีกร้อยละ 25 ภายใน 2 ปี 2.การเพิ่มทุนกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำเพื่อการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย 250,000 คนต่อปี 3.การเพิ่มโฉนดชุมชนให้เกษตรกร 250,000 คน
เมื่อ เวลา 14.30 น วันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตอนหนึ่งในงาน “ ร่วมกำหนดอนาคตประเทศไทย “ ซึ่งจัดโดยพรรคประชาธิปัตย์ว่า
วันนี้ รู้ดีว่าแม้จะแก้ปัญหาไปอย่างไร แต่ก็ไม่เป็นที่พอใจ เพราะยังมีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ แต่คนส่วนใหญ่ ในสังคมมีความอดทน อดกลั้น ยึดมั่นในความสามัคคี ดังนั้นปชป . จะเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่อไป แม้จะมีอุปสรรค
ที่ผ่านมาตนเองเจอปัญหาทุกรสมีการเอาเลือดไปเทหน้าบ้าน แค่ก็ยังยิ้มได้ เพราะอาสาเข้ามาทำงานแล้ว ไม่มีสิทธิ์บ่น โวยวายหรือบอกให้ประชาชนรับรู้ได้ ต้องเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่อไป
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะเดียวกันรัฐบาลกำลังเร่งเดินหน้าในการทำนโยบายเพื่อประชาชนซึ่งมีบางส่วน ดำเนินการไปแล้ว และบางส่วนกำลังดำเนินการ แม้แต่เรื่องน้ำมันปาล์ม ซึ่งได้ให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติดูแลแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำมันปาล์ม แต่ก็ทำดีเกินไป จากเมื่อก่อนที่ปาล์มน้ำมันมีราคาเพียงแค่ 3 บาท ซึ่งทางนายสุเทพ รับปากจะดำเนินการให้ปัญหาน้ำมันขาดแคลน
ทั้งนี้ในเรื่องของน้ำมันปาล์มจะมีการประเมินสถานการณ์อีกครั้งในวันที่ 8 มีนาคม คิดว่าแนวโน้มน่าจะดีขึ้น ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะดูแล เรื่องการผลิต และคาดว่า ประมาณปลายเดือนมีนาคม หรือเมษายน ผลผลิตจะออกมาเยอะ ราคาก็จะตกลงไปตามปกติ แต่ยืนยันว่ารัฐบาลจะยืนยันราคา 47 บาท โดยไม่ต้องมีเงินรัฐบาลไปอุดหนุน ยอมรับว่าสินค้าราคาแพงต่างๆ รัฐบาลโดนด่า ซึ่งไม่ขอแก้ตัว ซึ่งเราต้องแก้ไขปัญหากันไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า นโยบายต่างๆ ของพรรคที่ออกมาถือเคล็ดเลข 25 ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาอีก 2.5 แสนทุน โฉนดชุมชน จะเพิ่มเป็น 2.5 แสนราย เรื่องยาเสพติดมีการจัดกองกำลัง 2,500 นาย
เพราะทางนายสุเทพ รองนายกฯ และเลขาพรรคประชาธิปัตย์ บอกแล้วว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า ประมาณกลางปี จะได้ส.ส. 250 คน ซึ่งถ้าเลือกพรรคประชาธิปัตย์ก็จะเดินหน้านโยบายเพื่อประชาชนต่อไป แต่ถ้าเลือกพรรคเพื่อไทย ก็ต้องถามว่าจะทำอะไร แต่เห็นแล้วว่าคงต่างกันนิดเดียว เท่าที่ดูในวันพรุ่งนี้จะมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในเรื่องที่พูดเมื่อปี ที่แล้ว ก็เท่ากับว่า ไม่มีการเดินหน้า มีแต่เดินวน เดินถอยหลัง คิดดูแล้วกันว่าประชาชน จะเลือกอะไร จะเดินหน้า หรือจะเดินวน นี่คือความแตกต่าง
ขณะเดียวกันก่อนหน้านั้นได้มีการเปิดตัวแผนการ รณรงค์การเลือกตั้งของประชาธิปัตย์ ในเคมแปญ“ เดินหน้าต่อไปด้วยนโยบายเพื่อประชาชน ” ซึ่งเป็นการเปิดตัวนโยบายชุดแรก ได้แก่ 1.การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำอีกร้อยละ 25 ภายใน 2 ปี 2.การเพิ่มทุนกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำเพื่อการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย 250,000 คนต่อปี 3.การเพิ่มโฉนดชุมชนให้เกษตรกร 250,000 คน
ไอ้หน้าโง่โหนตัวไหนให้ถือเอาเลข 25
ถ้าเป็นเลขศาสตร์ เลข 25 เอา 2+5 = 7
ปีนี้มหาทักษา ดาวเสาร์ สัญลักษณ์คือเลข 7 เป็นกาลกิณีจรในดวงพรรคประชาธิปัตย์ไปจนถึง วันที่ 6 เมษายน 2554
เอาไว้รอประกาศหลังวันเกิดพรรคไม่ดีกว่าเรอะ...555
แต่ก็อะนะ...
หลังวันที่ 6 เมษา 54 ดาวพฤหัสก็เป็นกาลีจรเข้าฆาตปัสวะชีโว หนักกว่าเก่าเข้าไปอีก
ถ้าเป็นเลขศาสตร์ เลข 25 เอา 2+5 = 7
ปีนี้มหาทักษา ดาวเสาร์ สัญลักษณ์คือเลข 7 เป็นกาลกิณีจรในดวงพรรคประชาธิปัตย์ไปจนถึง วันที่ 6 เมษายน 2554
เอาไว้รอประกาศหลังวันเกิดพรรคไม่ดีกว่าเรอะ...555
แต่ก็อะนะ...
หลังวันที่ 6 เมษา 54 ดาวพฤหัสก็เป็นกาลีจรเข้าฆาตปัสวะชีโว หนักกว่าเก่าเข้าไปอีก
สัตว์มนุษย์ตัวสุดท้าย ที่ยอมขายวิญญาณพร้อมตระกูลให้กับความระยำต่ำช้า
วันหนึ่งฝนตกหนัก ไอ้เจ้าคางคกตัวอ้วนๆที่ไม่เคยได้ออกกำลังกายอาศัยอยู่กินแต่ในเวจ ที่กินแล้วก็นอนอืดอยู่แต่ในนั้น มันก็ได้พบเห็นบางสิ่งบ้างอย่างเกิดขึ้น ในท่ามกลางฝนนั้นยังมีอาหารอันโอชะที่มันจะใช้ความสามารถของมันเองโดยการใช้ลิ้นที่ยาวมากตวัดกินอาหารในสายฝนนั้นได้ มันเป็นอาหาที่เลิศรสกว่าพวกแมลงในเวจที่มันเคยกินเคยสวาปามมา มันเป็นพวกแมลงตัวอ้วนใหญ่สดๆที่หนีสายฝนออกมาจากพงหญ้า มาให้ตัวมันได้ใช้ลิ้นตวัดกินอย่างสำราญใจ
เมื่อมันได้มีโอกาสได้ลิ้มรสมันจึงติดใจและใคร่ที่จะออกไปสู่โลกภายนอกเฉกเช่นสัตว์อื่นกับเขาบ้าง มันลืมสิ้นในคำสอนของพ่อมัน ที่ให้มันแดกแต่พอเพียง อยู่อย่างพอเพียง มันลืมสิ้นทิ้งเวจไว้ข้างหลังและมุ่งหน้าเขาสู้ท้องทุ่งอันกว้างใหญ่แสวงหาที่อยู่ใหม่เพื่อจะได้เลิกอะไรที่พอเพียงทั้งหมดเสียที
เพราะพ่อของมันแม่ของมันที่อยู่ในเวจ ปากก็ตะโกนปาวๆๆๆออกไปให้ลูกๆ “พอเพียง” แต่ ตนเองนั้นรวยล้นฟ้าล้นแผ่นดิน ทั้งที่ไม่ได้เคยทำมาหากินอะไรเลยเพียงแต่หาเศษหาเลยส่วนที่เป็นอาหารจากน้ำพักน้ำแรงของลูกๆเท่านั้น มันจึงใคร่จะเลียนแบบพ่อแม่ของมันบ้าง
ในช่วงนั้นประมาณปี๔๙ปลายปีจนถึงต้นปี๕๓ เป็นช่วงที่เกิดอาเพศหลายๆอย่างกับแผ่นดินที่มันอยู่ เทวดากลับกลายเป็นอสูร นางฟ้ากลายร่างเป็นนางมาร ฝนตกตลอดทั้งปีไม่มีหยุด มีบางครั้งฝนตกหนักมีบางครั้งฝนตกเบาก็แล้วแต่สถานการณ์ในช่วงนั้นๆ
ไอ้คางคกตัวอ้วนๆตัวนั้นเห็นได้โอกาสช่องทางดีจึงคืบคลานออกมากจากเวจนั้น แล้วอาศัยจังหวะที่ท้องฟ้าวิปริต แผ่นดินถูกฝนกระหน่ำ สัตว์เล็กสัตว์น้อยแตกรังกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง
ไอ้เจ้าคางคกตัวอ้วน มันได้เข้าไปอาศัยร่มชายคากับกลุ่มเสือสิงห์กระทิงแรดกับเขาด้วย มันพองตัวเองเหมือนว่าใหญ่นักหนาแล้วก็สามารถทำได้ด้วย มันสามารถแหกตาบรรดาสัตว์เดียรฉานทั้งหลายนั้นได้ มันก้าวขึ้นมาสู่ผู้นำในการแดกอย่างสมใจจนได้ ในชื่อที่โก้หรูว่า “ผบ.ต.ร.”(ผู้บังอาจแดกแต่รวย) ถือว่าเป็นหนึ่งในตัวบิ๊กตัวหนึ่งในบรรดาพวกสวาปามแล้วไม่ผิดทั้งหลายเช่นเดียวกัน
ที่จะเขียนต่อจากนี้เป็นชื่อจริงนามสกุลจริงของมนุษย์ปกติคนหนึ่ง เป็นคนอีสานโดยกำเนิดพื้นฐานไมใช่ดิบดีมาจากไหนเป็นไพร่โดยกำเนิดเหมือนกับพวกเราทุกคน จับพลัดจับหูได้มีโอกาสเข้าไปรับใช้ในสำนักพระราชวังในสายงานของความปรอดภัยในยศและตำแหน่งที่ใหญ่โต
ในปลายปี๒๕๔๙เกิดการรัฐประหารขึ้น ตนเองอยู่ในฐานะราชองครักษ์ไม่ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ปล่อยให้มีการทำผิดกฎหมายบ้านเมืองที่ยิ่งใหญ่ คือการให้ผู้ที่ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยประชาชนเป็นผู้เลือกเข้ามาตามรัฐธรรมนูญ ปล่อยให้พวกที่ทำรัฐประหารได้มีโอกาสเข้าเฝ้าองค์พระประมุขในยามวิกาลได้ ถือว่ามีความผิดอย่างร้ายแรงที่สุดในระเบียบราชการในขณะนั้น
แต่กาลกลับเป็นว่า บุคคลผู้นั้นมิได้รับโทษทัณฑ์แต่อย่างใดซ้ำกลับตรงกันข้าม ในเวลาต่อมาท่านผู้นั้นได้รับการปูนบำเหน็จความดีความชอบเสียจนยิ่งใหญ่อย่างชนิดหาใครเทียบไม่ได้ในแผ่นดินนี้
นามท่านผู้นั้น พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรีตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในยุคปัจจุบัน นามนี้แทบไม่ได้มีบทบาทอะไรสำคัญมากนักเลยแม้แต่เหตุการณ์ในวันที่๑๐เมษายนต์หรือ๑๙พฤษภาคมพ.ศ.๒๕๕๓ที่ผ่านมา ท่านผู้นี้ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรมากนักทั้งที่เป็นหน้าที่โดยตรงในการปราบปรามประชาชนผู้บริสุทธิ์และกระทำการสังหารประชาชนไปกว่า๙๒คนแบบชนิดที่คนทั้งโลกก็ไม่เคยคาดคิดว่าคนในประเทศนี้จะกระทำกันได้ถึงเพียงนี้ท่านก็มายุ่งเกี่ยวกับเเรื่องนี้ด้วย
ท่านจึงพ้นมลทินในเรื่องนี้ไปในส่วนของภาคประชานที่ยืนมองอยู่ ส่วนคนที่รับไปเต็มๆในเรื่องนี้ได้แก่อธิบดี ดีเอสไอ ที่ชื่อไอ้ลูกหมา ธาริต เพ็งดิษฐ์แทน และ ก็เป็นเป้าสำคัญในการตามล้างตามล่าต่อไปของบรรดาญาติมิตรผู้ที่เสียชีวิตไปทั้งหลาย ทั้งนี้ด้วยปากที่เป็นเสนียดของตัวมันเองทั้งสิ้น
เหมือนว่าจะดี แต่ มีเค้าว่ากำลังจะเลว
ประเทศที่มันไม่สงบอยู่ในขณะนี้ เหตุผลหลักๆมีอยู่ไม่กี่เรื่องและหนึ่งในไม่กี่เรื่องงนั้นก็มีเรื่อง สองมาตรฐานในความยุติธรรมรวมอยู่ในนั้นด้วย บ้านเมืองจึงเป็นแดนมิคสัญญีอยู่ในปัจจุบันนี้
พวกหนึ่งทำเลวขนาดไหนก็ไม่เคยผิดอีกพวกหนึ่งออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมขอคืนอำนาจให้กับประชาชนแค่นั้นมันก็สั่งฆ่าแกงกันไปเลย
ข่าวยังไม่ได้กรองออกมาว่า “ผบ.ต.ร.กำลังจะสั่งไม่ฟ้องพันมิตร”ในข้อหาก่อการร้าย ข่าวนี้มันยิ่งกว่าการจับแกนนำคนเสื้อแดงเข้าคุกโดยไม่มีความผิดซะอีก มันเป็นข่าวที่สะเทือนใจคนไทยมิใช่น้อย คนทั้งประเทศได้คิด ไม่รู้จะทำความดีไปทำไมอีกแล้วกับประทศนี้ ทำดีมีแต่ฉิบหายเข้าตัว สู้ทำชั่วดีกว่าอนาคตจะได้เจริญรุ่งเรืองด้วยเหมือนไอ้พวกพันธมิตรเสื้อเหลือง
ปล้นสนามบินบุกเข้ายึดทำเนียบฯ ปิดสถานที่ราชการเข้าไปทำลายข้าวของพร้อมขโมยทรัพย์สินสถานีโทรทัศน์ช่อง๑๑หลักฐานข้อมูลเยอะแยะ ทั้งพยานภาพทั้งพยานบุคคลมากมายมีให้เห็นไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรได้อีก แต่ทั้งหมดกลับไม่มีความผิดในสายตาของผบ.ตร.
ถ้า..ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วข้างต้นมันคือเรื่องจริงผบ.ต.ร.ไม่สั่งฟ้องพันธมิตรจริงๆ
สัตว์มนุษย์ตัวสุดท้าย ที่ยอมขายวิญญาณพร้อมตระกูลให้กับความระยำต่ำช้าก็คงไม่พ้น นามนี้ พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรีหรืออดีตที่เพื่อนๆเรียกขานกันว่า”ไอ้บักหำน้อย”ตัวนี้อีกตัวหนึ่ง
ที่คล้ายกับไอ้คางคกตัวอ้วนๆตัวหนึ่งหลังได้กลิ่นฝนตกหนักก็ออกมาหากิน พองตัวจนมองดูเหมือนใหญ่โตแล้วก็เอาแต่กินกินๆและสร้างความเลวในสายฝนที่ปิดไม่มิดนั้น นึกว่าคนภายนอกไม่เห็นตามสัญชาติญาณโง่เง่าของมัน
ที่สุดทั้งวงศ์ตระกูลของมันก็ไม่พ้นคนสาปแช่งกันเหมือนไอ้ลูกหมา ธาริต อีกเฉกเช่นเดียวกันเลย ล่าสุดมันแปรเปลี่ยนกระบวนการยุติธรรมอีกแล้ว
สำนวนเดิม ลูกปืนจากทหารที่ยิงนักข่าวญี่ปุ่นในสำนวนการสอบสวนเบื้องต้นสรุปไว้ว่าเป็นของทหาร มันแถไปไกลตามกระแสคำสั่งบวกกับจำนวนเงินที่รับมา เหมือนว่าคนทั้งโลกมันโง่ ตนเองฉลาดแต่เพียงผู้เดียว ลูกปืนคนละชนิดอีกแล้วเป็น คนละอย่างที่ทหารนำมาใช้ ไอ้ระยำมันกล้าหน้าด้านเช่นนั้นจริงๆ
และตัวมันเองเมื่อเกษียณอายุไปแล้วชีวิตก็คงจะไม่ยั่งยืน เป็นอีกเป้าหนึ่งที่ต้องจดไว้ในบัญชีหนังเหี้ยที่ต้องตามล้างตามเช็ดกันไม่เลิกอีต่อไปเช่นกัน
ขอเตือนด้วยความหวังดี นามสกุล”พจน์โพธิ์ศรี”ที่เคยได้เปลี่ยนจาก “โพธิ์ศรี”มาแล้วครั้งหนึ่ง สมควรแก่บรรดาลูกหลานและญาติควรเลิกใช้ มิฉะนั้น ชาตินี้ทั้งชาตินามสกุลนี้อาจจะไม่มีความสุขได้ครับ
ก็ขอให้เป็นคนๆกันไป ใครระยำแล้วได้ดีอย่าเลียนแบบเพราะวันหนึ่งวันใดเมื่อสิ้นวาสนาผลกรรมที่ก่อไว้ย่อมไม่ไปไหนเสียเวลานี้กรรมมันติดจรวดแล้ว กรรมนั้นต้องอาคืนแน่นอน
แม้ว่าศักดิ์ศรีของความเป็นคนยังคงหลงเหลืออยู่ แต่ถ้าแม้สิ้นแล้วศักดิ์ศรีก็เชิญตามบายครับว่ากันตามสะดวก
พจน์โพธิ์ศรี จะต่ำชั้นเท่ากับ เพ็งดิษฐ์ ก็ไม่ว่ากัน
หรือคางคก
วันหนึ่งฝนตกหนัก ไอ้เจ้าคางคกตัวอ้วนๆที่ไม่เคยได้ออกกำลังกายอาศัยอยู่กินแต่ในเวจ ที่กินแล้วก็นอนอืดอยู่แต่ในนั้น มันก็ได้พบเห็นบางสิ่งบ้างอย่างเกิดขึ้น ในท่ามกลางฝนนั้นยังมีอาหารอันโอชะที่มันจะใช้ความสามารถของมันเองโดยการใช้ลิ้นที่ยาวมากตวัดกินอาหารในสายฝนนั้นได้ มันเป็นอาหาที่เลิศรสกว่าพวกแมลงในเวจที่มันเคยกินเคยสวาปามมา มันเป็นพวกแมลงตัวอ้วนใหญ่สดๆที่หนีสายฝนออกมาจากพงหญ้า มาให้ตัวมันได้ใช้ลิ้นตวัดกินอย่างสำราญใจ
เมื่อมันได้มีโอกาสได้ลิ้มรสมันจึงติดใจและใคร่ที่จะออกไปสู่โลกภายนอกเฉกเช่นสัตว์อื่นกับเขาบ้าง มันลืมสิ้นในคำสอนของพ่อมัน ที่ให้มันแดกแต่พอเพียง อยู่อย่างพอเพียง มันลืมสิ้นทิ้งเวจไว้ข้างหลังและมุ่งหน้าเขาสู้ท้องทุ่งอันกว้างใหญ่แสวงหาที่อยู่ใหม่เพื่อจะได้เลิกอะไรที่พอเพียงทั้งหมดเสียที
เพราะพ่อของมันแม่ของมันที่อยู่ในเวจ ปากก็ตะโกนปาวๆๆๆออกไปให้ลูกๆ “พอเพียง” แต่ ตนเองนั้นรวยล้นฟ้าล้นแผ่นดิน ทั้งที่ไม่ได้เคยทำมาหากินอะไรเลยเพียงแต่หาเศษหาเลยส่วนที่เป็นอาหารจากน้ำพักน้ำแรงของลูกๆเท่านั้น มันจึงใคร่จะเลียนแบบพ่อแม่ของมันบ้าง
ในช่วงนั้นประมาณปี๔๙ปลายปีจนถึงต้นปี๕๓ เป็นช่วงที่เกิดอาเพศหลายๆอย่างกับแผ่นดินที่มันอยู่ เทวดากลับกลายเป็นอสูร นางฟ้ากลายร่างเป็นนางมาร ฝนตกตลอดทั้งปีไม่มีหยุด มีบางครั้งฝนตกหนักมีบางครั้งฝนตกเบาก็แล้วแต่สถานการณ์ในช่วงนั้นๆ
ไอ้คางคกตัวอ้วนๆตัวนั้นเห็นได้โอกาสช่องทางดีจึงคืบคลานออกมากจากเวจนั้น แล้วอาศัยจังหวะที่ท้องฟ้าวิปริต แผ่นดินถูกฝนกระหน่ำ สัตว์เล็กสัตว์น้อยแตกรังกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง
ไอ้เจ้าคางคกตัวอ้วน มันได้เข้าไปอาศัยร่มชายคากับกลุ่มเสือสิงห์กระทิงแรดกับเขาด้วย มันพองตัวเองเหมือนว่าใหญ่นักหนาแล้วก็สามารถทำได้ด้วย มันสามารถแหกตาบรรดาสัตว์เดียรฉานทั้งหลายนั้นได้ มันก้าวขึ้นมาสู่ผู้นำในการแดกอย่างสมใจจนได้ ในชื่อที่โก้หรูว่า “ผบ.ต.ร.”(ผู้บังอาจแดกแต่รวย) ถือว่าเป็นหนึ่งในตัวบิ๊กตัวหนึ่งในบรรดาพวกสวาปามแล้วไม่ผิดทั้งหลายเช่นเดียวกัน
ที่จะเขียนต่อจากนี้เป็นชื่อจริงนามสกุลจริงของมนุษย์ปกติคนหนึ่ง เป็นคนอีสานโดยกำเนิดพื้นฐานไมใช่ดิบดีมาจากไหนเป็นไพร่โดยกำเนิดเหมือนกับพวกเราทุกคน จับพลัดจับหูได้มีโอกาสเข้าไปรับใช้ในสำนักพระราชวังในสายงานของความปรอดภัยในยศและตำแหน่งที่ใหญ่โต
ในปลายปี๒๕๔๙เกิดการรัฐประหารขึ้น ตนเองอยู่ในฐานะราชองครักษ์ไม่ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ปล่อยให้มีการทำผิดกฎหมายบ้านเมืองที่ยิ่งใหญ่ คือการให้ผู้ที่ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยประชาชนเป็นผู้เลือกเข้ามาตามรัฐธรรมนูญ ปล่อยให้พวกที่ทำรัฐประหารได้มีโอกาสเข้าเฝ้าองค์พระประมุขในยามวิกาลได้ ถือว่ามีความผิดอย่างร้ายแรงที่สุดในระเบียบราชการในขณะนั้น
แต่กาลกลับเป็นว่า บุคคลผู้นั้นมิได้รับโทษทัณฑ์แต่อย่างใดซ้ำกลับตรงกันข้าม ในเวลาต่อมาท่านผู้นั้นได้รับการปูนบำเหน็จความดีความชอบเสียจนยิ่งใหญ่อย่างชนิดหาใครเทียบไม่ได้ในแผ่นดินนี้
นามท่านผู้นั้น พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรีตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในยุคปัจจุบัน นามนี้แทบไม่ได้มีบทบาทอะไรสำคัญมากนักเลยแม้แต่เหตุการณ์ในวันที่๑๐เมษายนต์หรือ๑๙พฤษภาคมพ.ศ.๒๕๕๓ที่ผ่านมา ท่านผู้นี้ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรมากนักทั้งที่เป็นหน้าที่โดยตรงในการปราบปรามประชาชนผู้บริสุทธิ์และกระทำการสังหารประชาชนไปกว่า๙๒คนแบบชนิดที่คนทั้งโลกก็ไม่เคยคาดคิดว่าคนในประเทศนี้จะกระทำกันได้ถึงเพียงนี้ท่านก็มายุ่งเกี่ยวกับเเรื่องนี้ด้วย
ท่านจึงพ้นมลทินในเรื่องนี้ไปในส่วนของภาคประชานที่ยืนมองอยู่ ส่วนคนที่รับไปเต็มๆในเรื่องนี้ได้แก่อธิบดี ดีเอสไอ ที่ชื่อไอ้ลูกหมา ธาริต เพ็งดิษฐ์แทน และ ก็เป็นเป้าสำคัญในการตามล้างตามล่าต่อไปของบรรดาญาติมิตรผู้ที่เสียชีวิตไปทั้งหลาย ทั้งนี้ด้วยปากที่เป็นเสนียดของตัวมันเองทั้งสิ้น
เหมือนว่าจะดี แต่ มีเค้าว่ากำลังจะเลว
ประเทศที่มันไม่สงบอยู่ในขณะนี้ เหตุผลหลักๆมีอยู่ไม่กี่เรื่องและหนึ่งในไม่กี่เรื่องงนั้นก็มีเรื่อง สองมาตรฐานในความยุติธรรมรวมอยู่ในนั้นด้วย บ้านเมืองจึงเป็นแดนมิคสัญญีอยู่ในปัจจุบันนี้
พวกหนึ่งทำเลวขนาดไหนก็ไม่เคยผิดอีกพวกหนึ่งออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมขอคืนอำนาจให้กับประชาชนแค่นั้นมันก็สั่งฆ่าแกงกันไปเลย
ข่าวยังไม่ได้กรองออกมาว่า “ผบ.ต.ร.กำลังจะสั่งไม่ฟ้องพันมิตร”ในข้อหาก่อการร้าย ข่าวนี้มันยิ่งกว่าการจับแกนนำคนเสื้อแดงเข้าคุกโดยไม่มีความผิดซะอีก มันเป็นข่าวที่สะเทือนใจคนไทยมิใช่น้อย คนทั้งประเทศได้คิด ไม่รู้จะทำความดีไปทำไมอีกแล้วกับประทศนี้ ทำดีมีแต่ฉิบหายเข้าตัว สู้ทำชั่วดีกว่าอนาคตจะได้เจริญรุ่งเรืองด้วยเหมือนไอ้พวกพันธมิตรเสื้อเหลือง
ปล้นสนามบินบุกเข้ายึดทำเนียบฯ ปิดสถานที่ราชการเข้าไปทำลายข้าวของพร้อมขโมยทรัพย์สินสถานีโทรทัศน์ช่อง๑๑หลักฐานข้อมูลเยอะแยะ ทั้งพยานภาพทั้งพยานบุคคลมากมายมีให้เห็นไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรได้อีก แต่ทั้งหมดกลับไม่มีความผิดในสายตาของผบ.ตร.
ถ้า..ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วข้างต้นมันคือเรื่องจริงผบ.ต.ร.ไม่สั่งฟ้องพันธมิตรจริงๆ
สัตว์มนุษย์ตัวสุดท้าย ที่ยอมขายวิญญาณพร้อมตระกูลให้กับความระยำต่ำช้าก็คงไม่พ้น นามนี้ พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรีหรืออดีตที่เพื่อนๆเรียกขานกันว่า”ไอ้บักหำน้อย”ตัวนี้อีกตัวหนึ่ง
ที่คล้ายกับไอ้คางคกตัวอ้วนๆตัวหนึ่งหลังได้กลิ่นฝนตกหนักก็ออกมาหากิน พองตัวจนมองดูเหมือนใหญ่โตแล้วก็เอาแต่กินกินๆและสร้างความเลวในสายฝนที่ปิดไม่มิดนั้น นึกว่าคนภายนอกไม่เห็นตามสัญชาติญาณโง่เง่าของมัน
ที่สุดทั้งวงศ์ตระกูลของมันก็ไม่พ้นคนสาปแช่งกันเหมือนไอ้ลูกหมา ธาริต อีกเฉกเช่นเดียวกันเลย ล่าสุดมันแปรเปลี่ยนกระบวนการยุติธรรมอีกแล้ว
สำนวนเดิม ลูกปืนจากทหารที่ยิงนักข่าวญี่ปุ่นในสำนวนการสอบสวนเบื้องต้นสรุปไว้ว่าเป็นของทหาร มันแถไปไกลตามกระแสคำสั่งบวกกับจำนวนเงินที่รับมา เหมือนว่าคนทั้งโลกมันโง่ ตนเองฉลาดแต่เพียงผู้เดียว ลูกปืนคนละชนิดอีกแล้วเป็น คนละอย่างที่ทหารนำมาใช้ ไอ้ระยำมันกล้าหน้าด้านเช่นนั้นจริงๆ
และตัวมันเองเมื่อเกษียณอายุไปแล้วชีวิตก็คงจะไม่ยั่งยืน เป็นอีกเป้าหนึ่งที่ต้องจดไว้ในบัญชีหนังเหี้ยที่ต้องตามล้างตามเช็ดกันไม่เลิกอีต่อไปเช่นกัน
ขอเตือนด้วยความหวังดี นามสกุล”พจน์โพธิ์ศรี”ที่เคยได้เปลี่ยนจาก “โพธิ์ศรี”มาแล้วครั้งหนึ่ง สมควรแก่บรรดาลูกหลานและญาติควรเลิกใช้ มิฉะนั้น ชาตินี้ทั้งชาตินามสกุลนี้อาจจะไม่มีความสุขได้ครับ
ก็ขอให้เป็นคนๆกันไป ใครระยำแล้วได้ดีอย่าเลียนแบบเพราะวันหนึ่งวันใดเมื่อสิ้นวาสนาผลกรรมที่ก่อไว้ย่อมไม่ไปไหนเสียเวลานี้กรรมมันติดจรวดแล้ว กรรมนั้นต้องอาคืนแน่นอน
แม้ว่าศักดิ์ศรีของความเป็นคนยังคงหลงเหลืออยู่ แต่ถ้าแม้สิ้นแล้วศักดิ์ศรีก็เชิญตามบายครับว่ากันตามสะดวก
พจน์โพธิ์ศรี จะต่ำชั้นเท่ากับ เพ็งดิษฐ์ ก็ไม่ว่ากัน
หรือคางคก
เผื่อว่าบางภาพอาจช่วยตอบคำถามได้
รัฐบาล DSI และไอ้เมือก ออกมาแถมากมายหลายเรื่อง หน้านี้
ลุงคำต๋ำ ขอเถียงมันด้วยภาพก็แล้วกัน
เรื่องแรกที่บอกว่า ช่างภาพญี่ปุ่านตายด้วยปืน AK
ก็เอาภาพนี้ไป
เรื่องที่สอง ที่บอกว่าทหารไทยไม่มีหน่วยไหนใช้ AK ก็เอาภาพนี้ไป แถมชุดดำให้ด้วย
http://news.thaihealth.net/wp-content/uploads/firing-m79.jpg
แต่ทั้งนี้ถ้าผมพิมพ์ไปโดยไม่แสดงหลักฐาน ก็ดูจะไม่ยุติธรรมกับนายสุเทพและก็อาจมีเพื่อนสมาชิกบางท่านตั้งครหานินทา ได้ว่าผมเชื่อตามที่เขาเล่าว่า แกนนำเล่าว่า จินตนาการเอาเอง หรือถึงขั้นครหาว่าเพราะผมเป็นคนเสื้อแดงผมจึงใช้อคติในการโต้แย้งที่ว่า ผู้เสียชีวิตคนเสื้อแดงไม่มีอาวุธปืนสงครามอยู่ในมือ และไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้ายหรือเป็นกองกำลังที่ถูกฝึกมาดี ดังนั้นเพื่อเป็นการพิสูจน์เบื้องต้นผมจะขอนำภาพและคลิปของสื่อต่างๆ รวมไปถึงภาพและคลิปของผู้ชุมนุมเองบางส่วนในบางวันที่มีการเสียชีวิต ที่ใครๆ ก็สามารถหาดูได้จากแหล่งข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต มาใช้เป็นหลักฐานในการยืนยันถ้อยคำตัวอักษรสีแดงพื้นขาวข้างบนโดยมีคำอธิบาย ความประกอบ ดังนี้
ลุงคำต๋ำ ขอเถียงมันด้วยภาพก็แล้วกัน
เรื่องแรกที่บอกว่า ช่างภาพญี่ปุ่านตายด้วยปืน AK
ก็เอาภาพนี้ไป
เรื่องที่สอง ที่บอกว่าทหารไทยไม่มีหน่วยไหนใช้ AK ก็เอาภาพนี้ไป แถมชุดดำให้ด้วย
เรื่องที่สาม ที่บอกว่า คนเสื้อแดง ยิงร่มเกล้า เอาภาพไอ้คนยิงมาให้ดู
ว่ามันชุดดำ แล้วก็ AK ด้วย สนใจป่าว เดี๋ยวเอาชื่อมาให้ว่าอยู่หน่วยไหน
ที่กระเป๋าสะพายมันมีตัวหนังสือสีขาวเขียนว่า ARMY ด้วยหละ
เรื่องที่สี่ ที่บอกว่าเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง
ดูกันให้ชัด ๆ ว่า พันมิตรควายเหลืองที่ตะหานจ้างมาเผาเมืองหรือปล่าว
มันข้อมือเหลืองวะ คนเสื้อแดงไม่มีข้อมือเหลือง เพราะพวกมึงกล่าวหาว่าเค้าล้มเจ้าไม่ใช่เหรอ
เค้าจะข้อมือเหลืองหาหอกอะไรละวะ
เรื่องที่ห้าที่บอกว่า ทหารไม่ได้ยิงคนเสื้อแดง
ที่แท้ ก็ตะหานไม่ยอมใส่เครื่องแบบ (หน้าตัวเมีย) ยิงประชาชน
เรื่องที่หก ที่บอกว่า คนเสื้อแดงยิง M79 ใส่ทหาร
การปฏิบัติครั้งนี้ ทหารไม่ได้ใช้ M79 ในการปราบปรามประชาชน
ดูกันซะ ใครใช้อะไร ยิงใส่ใคร
เรื่องที่เจ็ด ทหารไม่ได้ยิงประชาชนแล้วหมาที่ไหนกันเล่า
ที่อยุ่ในรูปข้างล่างนี้
และยังมีเรื่องฟ้องด้วยภาพอีกมากมาย
[รักคนเสื้อแดง] ผู้ก่อการร้ายเมื่อถูกยิงเสียชีวิตแล้วก็มีคนหยิบอาวุธไป (กระทู้ภาคต่อคุณไป่ฉีตอนที่1)
อย่างที่ผมเคยเกริ่นไว้นะครับว่า ที่ยังมีคนไปเชื่อในคำพูดของนายสุเทพที่เคยกล่าวไว้ในสภาว่า "...ที่บอกว่าไม่เคยเจอปืนในมือผู้เสียชีวิต ต้องยอมรับว่าคนเหล่านี้ฝึกมาดี เมื่อปะทะกับเจ้าหน้าที่แนวอยู่กันไกล เจ้าหน้าที่ไม่ได้เข้าเคลียร์พื้นที่ ก็มีการหยิบอาวุธไป..." ขอตอกย้ำอีกครั้งว่าถ้าไม่ใช่เป็นแฟนพันธุ์แท้นายสุเทพประเภทรักจริงหลงจริง ผมว่าคอการเมืองเมื่อได้ดูได้ฟังนายสุเทพอภิปรายโต้ตอบในลักษณะตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ บางครั้งถึงกับมีบีบเสียงสั่นเครือเหมือนต่อมน้ำตาจะแตก บอกตรงๆ ว่าร้อยทั้งร้อย คอการเมืองทั้งหลายแทบจะอ้วกแตกเมื่อได้ดูนายสุเทพแสดงลีลาขั้นเทพตีบทนาง อิจฉาใส่ความนางเอกแตกกระจุย
อย่างที่ผมเคยเกริ่นไว้นะครับว่า ที่ยังมีคนไปเชื่อในคำพูดของนายสุเทพที่เคยกล่าวไว้ในสภาว่า "...ที่บอกว่าไม่เคยเจอปืนในมือผู้เสียชีวิต ต้องยอมรับว่าคนเหล่านี้ฝึกมาดี เมื่อปะทะกับเจ้าหน้าที่แนวอยู่กันไกล เจ้าหน้าที่ไม่ได้เข้าเคลียร์พื้นที่ ก็มีการหยิบอาวุธไป..." ขอตอกย้ำอีกครั้งว่าถ้าไม่ใช่เป็นแฟนพันธุ์แท้นายสุเทพประเภทรักจริงหลงจริง ผมว่าคอการเมืองเมื่อได้ดูได้ฟังนายสุเทพอภิปรายโต้ตอบในลักษณะตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ บางครั้งถึงกับมีบีบเสียงสั่นเครือเหมือนต่อมน้ำตาจะแตก บอกตรงๆ ว่าร้อยทั้งร้อย คอการเมืองทั้งหลายแทบจะอ้วกแตกเมื่อได้ดูนายสุเทพแสดงลีลาขั้นเทพตีบทนาง อิจฉาใส่ความนางเอกแตกกระจุย
แต่ทั้งนี้ถ้าผมพิมพ์ไปโดยไม่แสดงหลักฐาน ก็ดูจะไม่ยุติธรรมกับนายสุเทพและก็อาจมีเพื่อนสมาชิกบางท่านตั้งครหานินทา ได้ว่าผมเชื่อตามที่เขาเล่าว่า แกนนำเล่าว่า จินตนาการเอาเอง หรือถึงขั้นครหาว่าเพราะผมเป็นคนเสื้อแดงผมจึงใช้อคติในการโต้แย้งที่ว่า ผู้เสียชีวิตคนเสื้อแดงไม่มีอาวุธปืนสงครามอยู่ในมือ และไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้ายหรือเป็นกองกำลังที่ถูกฝึกมาดี ดังนั้นเพื่อเป็นการพิสูจน์เบื้องต้นผมจะขอนำภาพและคลิปของสื่อต่างๆ รวมไปถึงภาพและคลิปของผู้ชุมนุมเองบางส่วนในบางวันที่มีการเสียชีวิต ที่ใครๆ ก็สามารถหาดูได้จากแหล่งข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต มาใช้เป็นหลักฐานในการยืนยันถ้อยคำตัวอักษรสีแดงพื้นขาวข้างบนโดยมีคำอธิบาย ความประกอบ ดังนี้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)