วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

‘เลือกตั้ง’เกมของอำมาตย์
http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=10164


รศ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และนักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ ฟังธง “อภิสิทธิ์” ยุบสภาแน่ เพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมือง เพราะถ้าไม่ทำสมาชิกบ้านเลขที่ 111 จะกลับมา เมื่อนั้นการเป็นนายกฯรอบสองจะลำบาก และการเลือกตั้งจะเห็นการต่อสู้ที่ดุเดือดทั้งเงินและชีวิต แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังหรือมือที่มองไม่เห็นจะกำหนด


การเมืองก่อนยุบสภา

เท่าที่ติดตามประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ผ่านมาไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหนที่ประกาศยุบสภาล่วงหน้า แตกต่างจากประเทศอื่นที่บอกล่วงหน้า เมื่อนายกรัฐมนตรีเห็นว่าไปไม่ไหวก็จะประกาศยุบสภา และบางแห่งจะยุบสภาเมื่อตัวเองได้ประโยชน์ เช่น อังกฤษเมื่อเห็นคะแนนเป็นต่อจะประกาศยุบสภาทันที จึงขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ทางการเมืองของแต่ละพรรค แต่ประเทศไทยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ที่เข้ามาเป็นรัฐบาลได้เพราะแรงหนุนจากมือที่มองไม่เห็น และกองทัพ

แต่เมื่อเข้ามาบริหารประเทศแล้วปรากฏว่าแก้ปัญหาของประเทศไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเศรษฐกิจ

การที่นายกรัฐมนตรีประกาศจะยุบสภาต้นเดือนพฤษภาคมนี้มีปัจจัยหลายอย่าง เช่น ถ้ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์อยู่บริหารประเทศนานเกินไปจะทำให้พรรคเพื่อไทยมีความแข็งแรงขึ้น และสมมุติว่าอยู่ครบวาระในเดือนธันวาคมก็ต้องเลือกตั้งในเดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์ 2555 ถ้าเลือกตั้งในปี 2555 อดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทย บ้านเลขที่ 111 ที่ถูกเว้นวรรคทางการเมืองจะพ้นโทษออกมา คนเหล่านี้จะยิ่งมีบทบาทและสร้างความหนักใจให้กับพรรคประชาธิปัตย์เข้าไปอีก

ที่สำคัญตัวเลือกนายกรัฐมนตรีจะฉายแววมากขึ้น
ขณะนี้ต้องยอมรับว่ามีแค่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เป็นตัวเลือกนายกรัฐมนตรีคนเดียว ขณะที่พรรคเพื่อไทยยังไม่มีตัวมาประกบ แต่ถ้าสมาชิกบ้านเลขที่ 111 พ้นโทษจะค่อยๆโผล่ออกมาให้เห็น ล่าสุด ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่จะเข้ามาเล่นการเมืองในฐานะหัวหน้าพรรคประชาสันติ เริ่มออกมาแล้ว ซึ่ง ร.ต.อ.ปุระชัยถือเป็นตัวเลือก แต่ไม่ได้เป็นพรรคใหญ่ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์อาจไม่กลัว ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า คนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ต้องมาจากพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยเท่านั้น

ขอเตือนพรรคประชาธิปัตย์ว่าอย่าประมาท เพราะอาจมีการชูอีกคนขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ เช่น คนที่เคยอยู่พรรคประชาธิปัตย์แล้วมาอยู่พรรคเพื่อไทยอะไรแบบนี้ การเมืองไม่มีอะไรแน่นอนกระทั่งตัวเลือกที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี หลังการเลือกตั้งถึงจะมีความชัดเจน ตอนนี้เขาจับมือกันหลวมๆ เช่น พรรคชาติไทยพัฒนาของนายบรรหาร ศิลปอาชา กับพรรคภูมิใจไทยของนายเนวิน ชิดชอบ ส่วนพรรคเพื่อแผ่นดินสายของว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี อาจไม่มา พรรคเพื่อแผ่นดินเองก็มี 3-4 ก๊ก และต้องแตกแน่ ผู้ชนะการเลือกตั้งอาจมี 4-5 พรรค แต่พรรคใหญ่มี 2 พรรค ซึ่งประชาชนส่วนหนึ่งได้เลือกข้างแล้ว
นายกฯจะยุบสภาหรือไม่

คิดว่านายกรัฐมนตรีจะยุบสภาตามที่ประกาศไว้ เพราะถ้าไม่ทำตามที่พูดเขาจะเสีย และตายทางการเมืองทันที การที่นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา คือเขามองว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้เปรียบ พรรคเพื่อไทยยังไม่พร้อม อันนี้ต้องพูดชัดๆ เพราะพรรคเพื่อไทยมีความแตกแยกภายใน โดยเฉพาะเรื่องเงินทุนที่จะใช้สู้ศึกเลือกตั้ง เนื่องจากพรรคจะต้องใช้เงินเยอะ โดยเฉพาะในภาคอีสาน ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงมั่นใจว่าถ้าเลือกตั้งตอนนี้มีโอกาสที่จะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีรอบสองอีก

ประเมินว่าน่าจะมีสัญญาณภายในของผู้มีอำนาจที่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งอยู่ คล้ายๆกับว่ามือที่มองไม่เห็นและกองทัพเปิดไฟเขียวให้ ต้องยอมรับว่าไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหนที่ไปจัดตั้งกันในค่ายทหารเหมือนกับรัฐบาลของประเทศไทย นายสุเทพบอกว่า จัดตั้งรัฐบาลในสภา ใช่ จัดตั้งในสภาจริง เพราะกระบวนการต้องอยู่ในสภา นายสุเทพชอบเลี่ยงบาลี ดูแล้วตลกดี พูดอะไรก็ไม่รู้

ดังนั้น ในเรื่องวุฒิภาวะของคนที่ชื่ออภิสิทธิ์ คิดว่าเขาไม่น่าจะโกหกประชาชนถึงแม้จะพูดเลี่ยงไปเลี่ยงมา 1 ปีแล้วก็ตาม ตอนนั้นเขาอ้างว่าไม่ได้พูด แต่ตอนนี้เขาพูดด้วยตัวเอง แม้จะมีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่เห็นด้วย คงเป็นเพราะสัญญาณที่พวกนั้นได้ กับสัญญาณที่นายอภิสิทธิ์ได้ไม่ตรงกัน หมายความว่าพวกนี้จะต้องคุยกับผู้ที่สนับสนุนต่างๆ ใครจะรู้ว่าใครไปพบใครบ้าง ตรงนี้ลำบาก เพราะถือเป็นความลับของบุคคล
ปัจจัยที่ทำให้เลือกตั้งไม่เกิด

เท่าที่ดูขณะนี้คิดว่าไม่น่ามี เพราะจะทำให้ประเทศพัง ไม่มีปัจจัยเสี่ยงนอกจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นมาบางเรื่อง ซึ่งบอกไม่ได้ นักวิเคราะห์การเมืองบางเรื่องพูดได้ บางเรื่องพูดไม่ได้ เพราะตัวแปรเยอะมาก ส่วนการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือคนเสื้อเหลืองที่ออกมายุให้ทหารทำรัฐประหารนั้น คิดว่าปลุกกระแสไม่ขึ้น เป็นพวกบ้าคิด เพราะยุให้ทหารทำรัฐประหารแล้วจะได้ดีด้วย แค่นั้นแหละ การรัฐประหารทำให้ประเทศช้าลง จำไว้เลย เรียกว่าไม่มีส่วนไหนที่เป็นเรื่องดี อยากให้เลิกคิดได้แล้ว

ประเทศอื่นเลิกทำรัฐประหารกันแล้ว เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย แต่เมืองไทยยังเป็นเหมือนพวกไม่พัฒนาทั้งหลาย ขอฟันธงว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯที่จะให้ทหารก่อรัฐประหารไม่ประสบความสำเร็จ แม้กลุ่มพันธมิตรฯจะออกมาเคลื่อนไหว แต่ก็ไม่เห็นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะปราบอะไร ตรงนี้ทำให้เกิดผลเสียต่อรัฐบาลเอง คือไม่ใช้กฎหมายให้เกิดความยุติธรรม ปัญหา 2 มาตรฐานจะยังคงอยู่ต่อไป การที่มีแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯบางคนออกมาบอกว่า ประเทศจะเว้นวรรค 3 ปี คิดว่าถ้าเว้นวรรคไป 3 ปี บ้านเมืองจะพังไปอีก 10 ปี

อย่าไปคิดว่าใครจะมาคบเรา โดยเฉพาะประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยโดนเลย ถ้ามีการเว้นวรรค 3 ปีจริง ไทยจะกลายเป็นประเทศที่อยู่นอกสารบบ จะกลายเป็นประเทศเหมือนพม่า เกาหลีเหนือ ขอย้ำว่า ถ้าการเมืองมีการเว้นวรรคจริงเท่ากับว่าประเทศเราเป็นเผด็จการเต็มรูปแบบ การที่แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯออกมาพูดแบบนี้ชี้ให้เห็นว่ามีบางพวกที่อยากให้ประเทศไทยเป็นแบบนี้ เป็นพวกที่อยากมีอำนาจโดยทางลัด ไม่คำนึงว่าประเทศจะเสียหาย แต่เชื่อว่าทหารไม่เอาด้วย เพราะขณะนี้กองทัพคิดเป็น ต้องเป็นทหารของประชาธิปไตยและประชาชน ไม่ใช่เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง

ถ้าปฏิวัติบ้านจะเกิดอะไรขึ้น

บ้านเมืองจะเกิดปัญหาความวุ่นวายอย่างหนักทั้งใต้ดินและบนดิน มีสงครามลุกลามทั่วประเทศ โดยเฉพาะการต่อต้านจากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่มีจุดยืนชัดเจนในการต่อต้านการรัฐประหาร ขอบอกว่ามีรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารที่ไหนจะให้ความยุติธรรมกับประชาชนได้ ที่ผ่านมาไม่มี ทหารก็เหมือนประชาชน มีปัญหาคอร์รัปชันเหมือนกัน ถ้าดูจากประวัติศาสตร์การเมืองจะพบว่ามีทหารที่ทำรัฐประหารไล่มาตั้งแต่ 50 ปีที่แล้วมีใครจนบ้าง ไม่มี ฟันธงว่าจะไม่เกิดการปฏิวัติรัฐประหารขึ้นในช่วงนี้ และการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

แนวโน้มการเลือกตั้งครั้งนี้

จากการประเมินสถานการณ์เชื่อว่าศึกเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นเป็นการแข่งขันที่รุนแรงดุเดือด โดยเฉพาะในภาคอีสาน เท่าที่ทราบว่าผู้สมัครของบางพรรคการเมืองจะทุ่มเงินถึง 50 ล้านบาทต่อเขตเลยทีเดียว และจะเป็นการเลือกตั้งที่ใช้เงินมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย รวมทั้งจะมีปัญหาการขู่ฆ่าผู้สมัคร ส.ส. หรือหัวคะแนนในการเลือกตั้งเป็นตัวประกอบ และพรรคการเมืองที่จะสู้กับพรรคเพื่อไทยในภาคอีสานต้องวางกลยุทธ์ใหม่ ต้องใช้ทั้งอิทธิพลและอะไรต่อมิอะไรไปขู่ เชื่อว่าฝ่ายพรรคเพื่อไทยก็ตั้งรับอยู่ ขณะนี้เขาก็ให้ความรู้ประชาชนว่าไม่ให้รับเงิน ถ้ารับก็อย่าไปเลือก ดังนั้น อำนาจรัฐจะใช้ไม่ได้ผล

ส่วนสถานการณ์ของพรรคการเมืองต่างๆในสนามเลือกตั้งครั้งนี้เชื่อว่าแต่ละพรรคต้องสู้เพื่อให้ได้เสียงมากที่สุด และส่วนใหญ่เชื่อว่าแต่ละพรรคมีความพร้อมพอสมควร โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนาอยู่ในสภาพที่พร้อมมาก ที่ไม่ค่อยพร้อมก็คือพรรคเพื่อไทย เพราะปัญหาภายในพรรคยังไม่จบ ถ้าพรรคเพื่อไทยกล้าตั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทยเป็นหัวหน้าพรรค ปัญหาคลื่นใต้น้ำภายในพรรคก็จะหมด โดยเฉพาะพวกที่วิ่งเต้นต่างๆ

แต่ที่ยังไม่แน่ใจคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่เก่งเรื่องการเมือง ประสบการณ์ยังไม่ถึง แต่ก็ไม่แน่ คนที่บริหารบริษัทใหญ่อาจทำได้ก็ได้ นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่น่าจับตามอง ถ้าความสัมพันธ์ระหว่าง ร.ต.อ.ปุระชัยกับ พ.ต.ท.ทักษิณยังดีกันอยู่ เราก็อาจเห็นพรรคประชาสันติของ ร.ต.อ.ปุระชัยมาเสริมและจับมือกับพรรคเพื่อไทยที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นผู้นำในฐานะตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ สะท้อนให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังมีบทบาทในพรรคเพื่อไทย และจะช่วยป้อนนโยบายต่างๆให้พรรคเพื่อไทย ขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงเป็นตัวเสริมที่จะช่วยพรรคเพื่อไทยอีกทางหนึ่ง

สำหรับพรรคประชาธิปัตย์เท่าที่ประเมินจะได้ ส.ส. ในการเลือกตั้งมาก แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ประชาธิปัตย์จะได้ ส.ส. เกินครึ่งคงเป็นไปไม่ได้ และเท่าที่ดูเชื่อว่าการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นจะไม่มีพรรคการเมืองไหนได้เสียงเกินครึ่ง คือ 251 เสียงอย่างแน่นอน โดยพรรคประชาธิปัตย์จะได้ ส.ส. เท่าเดิมคือ

170-180 เสียง ขณะที่พรรคเพื่อไทยจะได้เสียงมากเป็นอันดับ 1 เพราะฐานของเขาค่อนข้างแน่นในภาคเหนือและอีสาน และถ้าต่อยุทธศาสตร์ดีๆก็น่าจะได้ส.ส. จำนวนมาก สมัยนี้ต้องสู้กันที่นโยบาย และต้องทำได้จริง ไม่ใช่ขายฝัน เพราะมีนโยบายหลายอย่างของนายอภิสิทธิ์ไม่ได้ทำจริง เพราะทำไม่ได้
มาที่พรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนาที่จับมือกัน เพราะอยากเป็นรัฐบาล และที่จับมือร่วมกันก็อย่างนั้น ตอนหลังอาจแยกกันก็ได้ อยู่ที่ว่าตัวแกนใหญ่เอาหรือไม่เอาใคร อยากให้จำไว้ อย่าไปเชื่อว่าใครจะไปจับขั้วกับใครที่แน่นอนไม่มี การเมืองเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้ทุกนาทีถ้าผลประโยชน์ลงตัว โดยเฉพาะพรรคชาติไทยพัฒนาไม่ยอมเป็นฝ่ายค้านแน่ ถ้าเป็นรัฐบาลเอาหมด ได้น้อยได้มาก การอภิปรายไม่วางใจรัฐบาลคราวที่แล้วไม่มีใครกล้าว่าพรรคชาติไทยพัฒนา ทั้งๆที่มีข้อมูลหลายเรื่อง แต่ไม่มีใครกล้าแตะ แสดงว่าพรรคเพื่อไทยอ่านออกจึงยอมพรรคชาติไทยพัฒนา

เพื่อไทยจะได้ตั้งรัฐบาลหรือไม่

คงยาก เพราะผู้มีอำนาจที่แท้จริงไม่ให้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ยกเว้นแต่ว่าถ้าผู้มีอำนาจที่แท้จริงมองว่านายอภิสิทธิ์คงไม่ไหวที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีก็ต้องหาคนมาแทน ส่วนนายอภิสิทธิ์จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีใช่หรือไม่ ไม่ทราบ ต้องติดตามดูกันต่อไป ความจริงแล้วหลายคนมีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ เรายังไม่ลองนายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ปัจจุบันเป็นเลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนาหรืออังก์ถัด ถ้านายศุภชัยมาเลือกตั้งก็น่าคิด แต่เชื่อว่าเขาไม่เอา เพราะเบื่อการเมืองแล้ว ขณะนี้จึงยังไม่มีตัวที่จะมาแทนนายอภิสิทธิ์
จะเกิดความวุ่นวายทางการเมืองตามมา

มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ไม่ใช่กติกาตายตัวว่าถ้าพรรคใดเป็นที่ 1 แล้วจะได้เป็นรัฐบาล เพราะพรรคที่ได้เสียงน้อยกว่าสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เช่นกัน ถ้าประชาชนอยากให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลก็ต้องเลือกพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งได้ให้เสียงเกินครึ่งหนึ่ง เช่น ได้เสียง 270 เสียง จะได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียวเด็ดขาดไปเลย เรื่องจะได้จบ จะได้หมดข้อกังขา อย่างไรก็ตาม เท่าที่ประเมินรัฐบาลชุดใหม่จะยังเป็นรัฐบาลผสมอยู่ ส่วนจะเป็นขั้วเดียวหรือไม่ก็อยู่ที่ผู้จัดการตัวเองจัดว่าจะเอาใครร่วมรัฐบาลบ้าง และถือเป็นประชาธิปไตยแบบเบ็ดเสร็จไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบที่เห็นทั่วไป

ความเป็นไปได้ที่ ปชป. กับ พท. ตั้งรัฐบาล

ถามถึงความเป็นได้ที่พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยจะจับมือกันจัดตั้งรัฐบาล 2 พรรค มองว่ามีความเป็นไปได้หมด ถ้าทหารบอกว่าคุณต้องจับมือกันก็มีความเป็นได้ และจะช่วยสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ส่วนจะต้องสลับกันเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่สุดท้ายจะต้องหาคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริงขึ้นมาทำหน้าที่ผู้นำรัฐบาล เพราะฉะนั้นสูตรนี้ก็มีความเป็นไปได้ และจะช่วยสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นกับคนในชาติที่ขณะนี้แตกออกเป็นฝักเป็นฝ่ายอย่างหนัก

ทิศทางอนาคตประเทศไทย

การปฏิรูปประเทศไทยคงยาก เพราะต้องใช้ความซื่อสัตย์และฝีมือมาก ถ้าไม่มี 2 อย่างนี้ทำไม่ได้ แต่ถ้าไม่เอาผลประโยชน์จะแก้ปัญหาได้ สรุปว่าหลังการเลือกตั้งการเมืองไทยจะยังคงน้ำเน่าเหมือนเดิม ถ้ายังไม่ปรับเปลี่ยนทัศนคติของนักการเมือง เอาประชาชนเป็นหลัก ดังนั้น ต้องแก้ประเทศทั้งระบบไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง การปฏิวัติการศึกษา การปรับโครงสร้างท้องถิ่น

โครงสร้างข้าราชการ โดยเฉพาะต้องแก้เรื่องการปฏิบัติเป็นเรื่องสำคัญ ขอย้ำว่าต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยการเอาประชาชนเป็นหลักถึงจะทำให้การปฏิรูปประเทศเดินหน้าไปได้อย่างแท้จริง

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 304 วันที่ 26 มีนาคม – 1 เมษายน พ.ศ. 2554 หน้า 18 คอลัมน์ ฟังจากปาก โดย กิตติพิชญ์ ยิ่งวรการสุข*

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น