วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

*ดอกไม้เหล็ก’ แห่งอิระวดี - ดอกทองกาลี’ แห่งเจ้าพระยา!
http://www.truedemoc.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=82
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

        เมื่อเร็วๆนี้ ได้ข่าวว่าดาราสาวใหญ่ชาวมาเลเซียที่มีชื่อเสียง มิเชล โยว (Michel Yeow) เดินทางเข้าพม่า เพื่อหารือกับ คุณอองซาน ซูจี (Aung san Su ji) เกี่ยว กับภาพยนตร์อัตชีวประวัติของยอดหญิงนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ระดับรางวัลโนเบลของพม่า ซึ่งมิเชล โยว ต้องรับบทของวีรสตรีท่านนี้

content/picdata/269/data/ongsan.jpg

        การ ที่มิเชล โยว ซึ่งอายุ 48 ปี มารับบทของคุณอองซาน ซูจี ซึ่งปัจจุบันอายุ 65 ปี แล้ว (เธอเกิด 1945) ส่วนตัวผมเห็นว่า เมื่อหนังสร้างเสร็จหนัง คงจะดูไม่ขัดเขินแต่อย่างใด เพราะสตรีผู้ที่โลกให้ความสำคัญ และสื่อทั่วโลกก็จับจ้องอย่างคุณ อองซาน ซูจี นั้น 
        แม้เจ้าตัวจะอยู่ในความทุกข์ระทม มายาวนานก็ตาม แต่น่าอัศจรรย์นัก ที่เธอกลับดูอ่อนกว่าวัย ไม่ดูเป็นคนสูงอายุเสียด้วยซ้ำไป นอกจากนั้น
 
        ยังเต็มไปด้วยความงามสง่า แบบคลาสสิคอีกด้วย!

        สำหรับ มิเชล โยว นั้น เป็นดาราที่สร้างความประทับใจให้ผม ตั้งแต่แสดงเป็นสาวเจมส์ บอนด์ เมื่อครั้ง เพียซ บรอสนัน (Pierce Brosnan)มาแสดงเป็น เจมส์ บอนด์ ตอน Tomorrow Never Die
 
        แต่ที่ผมชื่นชอบมาก ก็คือ
 
        การแสดงของมิเชล โยว ในหนังกำลังภายในนั้น ดูสมจริงสมจังมาก อาจเป็นเพราะเธอผู้นี้ มีประวัติเป็นผู้ฝึกฝนและรอบรู้ในด้านวิทยายุทธ์ ที่ใช้ในการแสดงหนังประเภทนี้เป็นอย่างดี ซึ่งท่านผู้อ่านที่เป็นคอหนัง คงไม่ลืม Crouching Tiger, Hidden Dragon ของ อังลี่ (Ang Li) ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์ถึง รางวัล
        หนังเรื่องล่าสุดของเธอ ที่ผมเพิ่งดูไม่นาน ชื่อ "Rain of Swords" มีการบรรเลงเพลงดาบกันแบบคลาสสิคจริงๆ สมกับเป็นผลงานการสร้าง ของยอดฝีมือคือคุณ จอห์น วู (John Woo) นั่นเอง

        สำหรับคุณอองซาน ซูจีนั้น ผมเห็นจะไม่ต้องพูดถึงคุณภาพของเธอ เพราะคนไทยอย่างเราๆท่านๆ รู้จักกันดี
        ไม่น่าเชื่อว่า ผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้ ที่วางกริยาเรียบเฉย ไม่แสดงอาการหวาดหวั่น ทั้งๆที่ต้องทนทุกข์ทรมาน ต่อการคุกคามข่มขู่ และการพยายามเอาชีวิต มาได้นานกว่า ทศวรรษ 
 
        เธอต้องเผชิญทั้งการจับกุมคุมขัง แม้กระทั่งการถูกขังในเรือนจำ อินเส่ง” ที่ได้ชื่อว่าหฤโหดแห่งหนึ่งของโลก
        ล่าสุดคือการถูก กักบริเวณ” ในบ้านตัวเอง นานหลายปี!
 
        ผลแห่งการถูกอำนาจจากทางฝ่ายทหารกดดัน จะทำให้ผู้หญิงที่ชื่อ อองซาน ซูจี ย่นระย่อ ก็หาไม่
 
        เมื่อการต่อสู้ในระบอบประชาธิปไตย ในครั้งก่อน และประชาชนชาวพม่า ได้ออกไปลงคะแนนในคูหาเลือกตั้ง อองซาน ซูจี คนนี้แหละ ที่ได้พิสูจน์ให้โลกเห็น อย่างจะแจ้ง ว่า
        พรรคการเมืองที่มีผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอ เป็นผู้นำนั้น สามารถเอาชนะพรรคทหาร ที่มีอำนาจครอบงำประเทศพม่าติดต่อกันมานานนับสิบๆปี ได้อย่างขาดลอย
 
        ทหารพม่า ผิดหวัง’ ต่อผลการเลือกตั้ง และหาทางออกที่เหมาะสมไม่ได้...
        จึงต้อง...ล้มกระดาน!!

        นี่เองเป็นเหตุให้ คุณอองซาน ซูจี ผู้ชนะการเลือกตั้งในครั้งนั้น นอกจากไม่ได้เป็นผู้นำประเทศ และจัดตั้งรัฐบาลตามที่ประชาชนมีฉันทานุมัติ กลับต้องเผชิญชะตาชีวิตที่ยากลำบากอย่างเหลือแสน
 
        เธอต้องติดคุก และกักบริเวณเป็นเวลากว่าสิบปี
 
        สามีตายลงไป...เธอก็ไม่มีโอกาสได้ไป...ฝัง!
        ลูกก็ไม่ได้พบหน้ากันมาเนิ่นนาน ตั้งแต่เธอเริ่มเป็นผู้นำทางการเมือง ก็เพิ่งจะมีโอกาสได้เห็นกัน ไม่กี่วันมานี้เอง
        สุขภาพของตัวเธอเอง ก็ทรุดโทรมลง...
        ผู้หญิงที่หาญกล้าอย่างคุณ อองซาน ซูจี ต้องทนระทมทุกข์อยู่เป็นเวลานาน
 
        เพราะอะไรกัน?
 
        คำตอบง่ายๆ ก็คือ
        ผู้หญิงคนนี้ ต้องการเพียงให้บ้านเมืองของเธอ ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย เท่านั้น!!
        ผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่หัวใจโตคนนี้ ต้องการให้ประชาชนชาวพม่า เลือกอนาคตของพวกเขาเองได้!!!
 
        ระยะเวลาอันยาวนานถึง 18 ปี นับตั้งแต่คุณอองซาน ซูจีจองจำครั้งแรก
 
        ผู้หญิงคนนี้ได้แสดงให้ทั่วโลกเห็นว่า
 
        ความแข็งแกร่งของเธอนั้น สื่อถึงกับยกย่องว่าเป็น
 
        “ดอกไม้เหล็ก"
        วันเวลาอันยาวนาน ได้พิสูจน์ธาตุทรหด ของวีรสตรีคนนี้!

        อองซาน ซูจี ได้สร้างความเกรงกลัว และความหวาดหวั่นสั่นประสาท และให้กับรัฐบาลทหารพม่า จนไม่อาจปล่อยให้นางเป็นอิสระได้ แม้อนาคตยังไม่แน่ชัดว่า
 
        เส้นทางการต่อสู้ของ ดอกไม้เหล็ก" ดอกนี้ จะบ่ายโฉมหน้าไปยังทิศทางใด โลกยังไม่ทราบชัด แต่เชื่อว่า
        ผู้หญิงแกร่งคนนี้ ตั้งใจมั่นที่จะต่อสู้ จนกว่าเธอจะสามารถปลดเปลื้องพันธนาการ ของระบอบเผด็จการทหาร ที่เหมือนแอกออกจากหลังของประชาชนชาวพม่า ให้พวกเขาได้มีชีวิตอย่างอิสระชน ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
 
        ที่ประชาชน...มีอำนาจสูงสุด!
        เธอจะต้องสู้ สู้ และสู้ จนกว่าจะสิ้นลมหายใจนั่นแหละ!!
 
        ผมมองเห็นว่า ผู้หญิงคนนี้ ยิ่งใหญ่’ เหลือเกิน!!!

        ผมชอบใจที่สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) เรียกคุณ ออง ซาน ซู จี ว่าเป็น
 
        “ดอกไม้เหล็ก แห่งลุ่มแม่น้ำอิระวดี
        อิระวดีเป็นแม่น้ำสำคัญสายหนึ่ง ที่หล่อเลี้ยงชาวพม่า ชื่อ
อิ ระวดี มาจากชื่อ นางอิราวดี (Iravati) มารดาของ ไอยราเทพบุตร (เอราวัณเทพบุตร หรือ ช้างเอราวัณ) มีความยาวถึง 2,170 กม. เป็นแม่น้ำสายหลัก ที่ไหลผ่านและผ่าใจกลางประเทศพม่า เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่สำคัญที่สุด ที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนทั้งประเทศ
        ความ สำคัญของอิรวดี เหมือนแม่น้ำเจ้าพระยาบ้านเรา แต่เจ้าพระยามีความยาวเพียง 372 กิโลเมตร หล่อเลี้ยงเฉพาะที่ลุ่มภาคกลางของประเทศเท่านั้น แต่ไหลผ่านทั้งกรุงศรีอยุธยา เมืองหลวงเก่าขอเราแต่ก่อน และ Bangkok เมืองหลวงปัจจุบันของไทยด้วย
        เป็นที่ประจักษ์ว่า โลกปัจจุบันนี้ มีสตรีจำนวนมาก ที่ สามารถผงาดขึ้นมาโดดเด่นบนเวทีโลก ในฐานะนำประเทศ แม้คุณอองซาน ซูจี จะยังไม่ได้เป็นผู้นำของประเทศเมียนมาร์ แต่บรรดาพลเมืองชาวพม่าผู้รักชาติรักประชาธิปไตย ก็มีผู้หญิงที่มุ่งมั่นอย่าง อองซาน ซูจี คนนี้ ได้ยืนอยู่ในหัวใจ ของพวกเขาทั้งหลายแล้ว
        เมืองไทยของเรานั้น แม้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาตั้งแต่ พ.ศ.2475 จะ 80 ปีเข้าไปแล้ว แต่บ้านเราก็ยังไม่มีสตรีคนใด ที่ก้าวไปสู่ตำแหน่งสูงสุด ของการบริหารประเทศ หรือแม้แต่เป็นผู้นำพรรคการเมือง ที่เอาชนะการเลือกตั้งเหมือนอย่างคุณ อองซาน ซุจี แห่งสหภาพพม่า
        บ้านเมืองของเรา ยังไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ ยืนอยู่ในหัวใจ คนไทย เหมือนคนพม่าเพื่อนบ้าน
        อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์ชาติไทย ได้บันทึกเอาไว้ว่า
 
        ในการบริหารประเทศสมัยกรุงศรีอยุธยา ครั้งหนึ่งได้มีสตรีผู้ ที่กุมอำนาจไว้ได้ในห้วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ชื่อเสียงของเธอ
 
        กลับเป็นไป...ในทางตรงข้าม!
        คือ เป็นไปใน ทางร้าย” จนต้องประสพชะตาชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวในที่สุด เธอผู้นั้นคือ
        ท้าวศรีสุดาจันทร์

        ผมเคยเขียนบทความในนิตยสาร มารส์” เมื่อหนังสือเล่มดังกล่าว เปิดตัวใหม่ๆ เมื่อราว ปีที่แล้ว ในข้อเขียนซึ่งเป็นคอลัมน์ประจำ ชื่อความหลังยังหยดหยาด” ซึ่งผมเขียนเป็นตอนๆ หลายเรื่อง หลากรส และหลากรัก (ขณะนี้รวมเล่มเสร็จสรรพ พร้อมที่จะพิมพ์ออกจำหน่ายแล้ว)
 
        ผมได้เขียนเอาไว้ในตอนหนึ่ง ชื่อตอนว่า รักสวย-รักทราม” อย่างนี้ครับ

        ท้าวศรี สุดาจันทร์ เป็นมเหสีของพระไชยราชาธิราช ซึ่งปราบดาภิเษกโดยการจับพระรัฎฐาธิราชกุมาร ซึ่งพระชนม์เพียง พรรษา และเพิ่งครองราชย์ได้เพียง เดือนปลงพระชนม์ และตั้งพระองค์เป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ.2057
 
        พระ ไชยราชาธิราชทรงมีพระโอรสกับท้าวศรีสุดาจันทร์ สองพระองค์คือ พระยอดฟ้า พระชนม์ 11 พรรษา และองค์น้องทรงพระนามว่าพระศรีศิลป์ พระชนม์ได้ พรรษา
        เมื่อพระยอดฟ้าครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท้าวศรีสุดาจันทร์ก็ได้เป็นพระนางแม่อยู่หัว ในภาพยนตร์ที่ท่านมุ้ยสร้าง มีบทพูดที่คนดูฟังแล้วงงคือ แม่หยัว” ซึ่งมาจากคำว่า แม่อยู่หัว” นั่นเอง

        ท้าวศรีสุดาจันทร์ทรงมีสันดาน ดอกทอง” ได้ลักลอบเป็นชู้กับ พันบุตรศรีเทพ” พนักงานหอระ และตั้งเป็น ขุนชินราช” แล้วประวัติศาสตร์ ก็ได้บันทึกเอาไว้ในพระราชพงศาวดารฉบับหลวงว่า
        “พระนางก็ลอบลักสมัครสังวาสกับด้วยขุนชินราชช้านาน และดำริจะเอาราชสมบัติให้สิทธิ์แก่ขุนชินราช จึงตรัสสั่งพระยาราชภักดี ให้แต่งตั้งขุนชินราชเป็นขุนวรวงษาธิราช ขณะนั้นนางพระยาอยู่หัวศรีสุดาจันทร์ มีครรภ์ด้วย
        ขุน วรวงษาธิราช จึงมีพระราชเสาวนีย์ตรัสปรึกษาด้วยหมู่มุขมนตรีทั้งปวงว่า พระยอดฟ้าโอรสของเรายังเยาว์นัก อนึ่ง หัวเมืองฝ่ายเหนือเล่าก็ยังมิปกติ จะไว้ในราชการนั้นมิได้ เราคิดว่าจะให้ขุนวรวงษาธิราชว่าราชการแผ่นดิน กว่าราชบุตรเราจะจำเริญขึ้น จะเห็นควรประการใด ท้ายพระยามุขมนตรีรู้พระอัชฌาศัยก็ทูลว่า ซึ่งตรัสมานี้ควรอยู่
 
        เหนือหัวว่ามาอย่างนี้ ใครจะกล้าไปขัด คอจะมิได้ตั้งอยู่บนบ่าปะไร!
 
        แย่งราชสมบัติของลูกไปให้ชู้ และตั้งชู้เป็นกษัตริย์แทนลูกนั้นก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว นั่นยังไม่เท่าไหร่ เพราะ
        “ครั้น ศักราช 891 (พ.ศ.2072) วันอาทิตย์ขึ้น ค่ำ เดือน ขุนวรวงษาธิราช เจ้าแผ่นดินคิดกับแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ให้เอาพระยอดฟ้าไปประหารชีวิตเสีย ณ วัดโคกพระยา แต่พระศรีศิลป์อนุชาพระชนม์เจ็ดพรรษานั้น ให้เลี้ยงไว้ สมเด็จพระยอดฟ้าอยู่ในราชสมบัติปีหนึ่งกับสองเดือน
        พระนางผู้นี้โหดเหี้ยมนัก ฆ่าได้แม้กระทั่งลูกตัวเอง เพียงระแวงว่าจะเป็นก้างขวางคอเท่านั้น
 
        แต่...
        ในที่สุดเวรกรรมก็ตามทัน เพราะทั้งท้าวศรีสุดจันทร์กับขุนวรวงษาธิราชชูรัก ก็ถูกฝ่ายขุนพิเรนทรเทพกับพวก โค่นลงจากอำนาจด้วยการจับกุมตัว และฆ่าเสีย พร้อมบุตรีของทั้งวสองแล้วให้นำศพเสียบประจานไว้วัดแร้ง
        ท้าวศรีสุดาจันทร์ทำให้ชู้รักของตนอยู่ในราชสมบัติ ได้เพียง เดือน เท่านั้น
        นี่เป็นตัวอย่างของคนสวยแต่ทราม ที่เพียงเพื่อชู้ ก็ฆ่าได้แม้แต่ลูกของตน
        นั่นคือข้อเขียนของผม ในหนังสือ มาร์ส
 
        หากจะเรียกเปรียบเทียบกับนางอองซาน ซูจี ที่สื่อบอกว่าเป็น ดอกไม้เหล็กแห่งอิระวดี” พระนางศรีสุดาจันทร์ก็น่าจะเป็น
        “ดอกทองกาลี แห่งลุ่มเจ้าพระยา!
        คนละลุ่มแม่น้ำ และแตกต่างกันสุดขั้ว!!

        ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ

content/picdata/269/data/mai.jpg

        คน ไทยไม่เคยเห็นรูปโฉมโนมพรรณ ของท้าวศรีสุดาจันทร์ ว่ามีเทพไทองค์ใดสรรสร้าง เพราะสมัยนั้นไม่มีกล้อง และคนไทยไม่นิยมการวาดภาพเหมือนจริง อย่างฝรั่งเขาทำกัน
 
        ดังนั้น เลยได้เห็นแค่หนู ใหม่ ศิริวิมล ที่สวมบทบาทคุณท้าว แต่ถึงกระนั้น ก็คงไม่ได้ช่วยให้เราจินตนาการ รูปร่างหน้าตาของท้าวศรีสุดาจันทร์ไม่ถูก
 
        อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานบางชิ้น ที่บรรยายความงามของท้าวศรีสุดาจันทร์ ซึ่งปรากฏในข้อเขียน รักสวย รักทราม” ในคอลัมน์ ความหลังยังหยดหยาด” ของผมในหนังสือ มาร์ส” ดังต่อไปนี้

        ความสวยของท้าวศรีสุดาจันทร์นั้น มีเรื่องเล่าขาน แต่หาหลักฐานมายืนยันเป็นมั่นเหมาะไม่ได้ว่า
        ในสมัยรัชกาล ที่ ได้มีเจ้านายพระองค์หนึ่ง ได้เสด็จไปพบศิลาจารึก ณ วัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
 
        ศิลาจารึกนั้น ได้บรรยายรูปโฉมโนมพรรณของท้าวศรีสุดาจันทร์ไว้อย่างพิสดาร ชวนหลงใหล แต่เจ้านายพระองค์นั้นกลับทรงเห็นว่า ศิลาจารึกนั้นเป็นของอุบาทว์ จึงได้สั่งให้ทุบทำลายเสีย แต่ก็ยังดีที่มีผู้คัดลอกตัวอักษรเอาไว้
 
        วันนี้ผมเลยถือโอกาสนำมาเสนอ ให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณากันดู ดังนี้ครับ

        “ผิวดั่งลูกจันทร์ มีกลิ่นหอม ผมยาวดำสนิท ฟันขาวซี่เรียงเป็นระเบียบ
 
        ถันของนางกลมใหญ่ ฐานชิดติดกันแน่นแม้นเสียบดอกไม้ก็มิหล่นร่วง ปลายถันงอนชี้ขึ้น
 
        คุยหประเทศของนาง ดั่งปุ่มฆ้องเท่ากำปั้น ไร้โลมาปกคลุม มีกลิ่นหอมตั้งแต่ยังเป็นทารก หมู่ภมรภู่ผึ้ง มาบินวนเวียนตอมดอมดมอยู่เนืองๆ
 
        แม้ถูกประหารแล้ว หมู่แมลงทั้งหลาย ยังมาวนตอมอยู่มิได้ขาด

        อือมมม...
        ถึงจะหอมเพียงไหน ก็ขออย่าได้ กลับชาติมาเกิด” อีกเลยนะจ๊ะ เพราะทุกวันนี้ ขนาดเจอชนิดฉุนบ้าง เหม็นบ้าง ผู้คนก็ยังโดนเข่นฆ่า
        บาดเจ็บล้มตายไป ตั้งเยอะตั้งแยะนี่นา!

        ขืนต้องไปเจอ ของใหญ่-ของโต ยังกะปุ่มฆ้อง แถม หอม’ ไม่บันยะบันยัง อย่างนั้น
        ...อะไรจะเกิดขึ้น!!?

        คงได้ตายกัน...หมดแผ่นดินแน่ๆ!!!
*

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น