วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554


สาวไส้(...)ยังไม่กิน!

     
       รายงาน(วันสุข)
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ วันสุข
         ปีที่ 6 ฉบับที่ 309 ประจำวัน จันทร์ ที่ 9 พฤษภาคม 2011
         โดย สนานจิตต์ บางสพาน
         ยามรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน ยามชังน้ำตาลก็ว่าขม อ๊ะ...ไอ้ประโยคหลังนี่มีหรือเปล่า หรือ สนจ. คิดขึ้นมาเอง...ฮา

เราได้ยินกันบ่อยๆกับประโยคที่ว่า “การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร” หรือ “การเมือง” ก็ต้องไปเพราะ “การเมือง”


ตอนนี้บรรดา “พธม.เหลือง” กำลังเจอสถานการณ์เดียวกัน ไล่ตั้งแต่การแตกคอกันระหว่าง “เจ๊ปอง” กับ “แป๊ะลิ้ม” “พี่ผอม” กับ “เจ๊ปอง” “เจิมศักดิ์ ณ ซัสเปนเดอร์” กับ “พธม.” หรือกับ “ปราโมทย์ นาครธรรม” “สันติอโศก” กับ “พธม.” ล่าสุดๆคือการลุกขึ้นมา “ด่าแม่ยก” บรรดาแกนนำและสมัครพรรคพวกบนเวที พธม. ท่ามกลางความอึดอัดหาวเหรอของ “พี่เปี๊ยก-พิภพ”…ฮา
ล่าสุด “ยะใส” อึกๆอักๆ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และอาจต้องลาออกจากเลขาฯพรรคการเมืองใหม่ตามมรรยาท ส่วน “สมศักดิ์” เปิดฉาก “ฉะ” คนกันเองแล้ว ดีนะที่ สนจ. ไปเปลี่ยนชื่อแล้ว เพราะมีคนบอกชื่อก็เหมือน หน้าตาก็เหมือน หน.พรรคการเมืองใหม่อีก


อย่างที่ สนจ. บอกกับ “พี่เปี๊ยก-พิภพ” ไปไงว่าจะเชื่อว่าแกนร่วม “นำ” กับพี่บางคนใน พธม. เปลี๋ยนไป๋ในทางที่ดีกว่าที่เขาเคยเป็นในอดีต แบบ “ดวงตาเห็นธรรม” ก็ขอให้พี่เชื่อไปคนเดียว สนจ. เคารพในความคิดเห็นของพี่ แต่ สนจ. ไม่เชื่อ


พอๆกับที่ สนจ. ไม่เชื่อและไม่เห็นด้วยกับการขอ “นายกฯตามมาตรา 7”
อย่างที่ สนจ. ยืนยัน นั่งยัน และนอนยัน ต่อให้ต้องเลือก “วรนุช” เข้าสภาทั้ง 500 วรนุชยังดีกว่ารัฐบาลแห่งชาติ รัฐบาลเฉพาะกาล รัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหาร หรือรัฐบาลมาตรา 7


การเมืองถึงจะห่วยแตก เต็มไปด้วยเอี้ยอ่า สารพัดสัตว์แค่ไหน เราจะต้องทนเห็นพี่ชวน บรรหาร ชวลิต อภิสิทธิ์ เสนาะ เทพเทือก บัญญัติ ผู้กองเหลิม ลุงชัย เนวิน สุวัจน์ สุดารัตน์ หรือนายกฯ กลัวเมียบางคนจนตายกันไปข้าง ไม่พวกเขาตายก่อนก็พวกเราตายก่อน หรือเราจะต้องทนเห็นไอ้พวกห่วยแตกเลอะเทอะแบบ ส.ส. เป่าผม ส.ส. เดินกุมเป้าตามนายกฯ วันๆไม่ทำอะไร อย่างพวกกระดาษปิดฝาผนัง ไอ้หัวล้าน ปากแสยะตาโปน หรือพวกถ่อยสถุล หยาบคาย พูดจาตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก ให้ของลับในสภา ยังดีกว่าความคิดที่จะให้ประเทศไทยได้รัฐบาลที่มาจาก “นอกระบบ” เลือกตั้ง ไม่ว่ามันจะเหาะมา ใส่พานมา มีคนยื่นมาให้ หรือมีคนทุบโต๊ะบอกกูจะเอา


เขียนกันตรงๆ ถ้าพวกนักการเมืองไม่เอี้ยเสียจนเปิดช่องให้ไอ้คนที่มันจะ “เอา” หาเหตุทุบโต๊ะได้ก็ปล่อยให้มัน “ลอง” เอาไปถือไว้ในมือดูสิว่าจะมีใคร “เปลืองตัว” มาเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวถือ “ของร้อน” ไว้ในมือให้พวกมือตีนที่มองไม่เห็นเสวยสุขอยู่ฝ่ายเดียว


ชาติบ้านเมืองและประชาชนกับการบริหารจัดการ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ไม่ใช่ของง่ายๆหมูๆ ปอกกล้วยเข้าปากที่หมาแมวที่ไหนจะมาทำกันได้ง่ายๆ ฮะ ฮ่า ฮ้า...ดูรัฐบาลหน่อมแน้มหลัง 19 กันยาฯ 2549 ก็ได้ นอกจากไปไม่รอด ยังทิ้ง “ซาก” ความเละเทะและความล้มเหลวให้การเมืองยุคต่อมาเละจนวันนี้


พธม. กับขบวนการรักชาติจนคลั่งก็ไม่ได้แตกต่าง เมื่อย้อนกลับไปดูที่มาที่ไปและจุดกำเนิดตั้งแต่ต้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเป้าหมายต่อต้านทุนนิยมสามานย์ที่ผ่านระบบคิดและการบริหารจัดการในแบบ “ทักษิณ” เพียงอย่างเดียว แต่มันซับซ้อนซ่อนเงื่อนเชือกและปมกว่านั้นเยอะ ถึงที่สุดแล้วพอ “ผลประโยชน์” ส่วนตัวและส่วนรวมเริ่มขัดกันความบรรลัยก็เกิด สภาพที่ พธม. แฉโพยกันเองแทบจะไม่ต่างอะไรกับการ “ดึง” ขนมชั้นออกเป็นแผ่นบางๆทีละแผ่นจนแทบจะไม่เหลือแก่นแกนอะไร...ฮา นอกจากคำถ่มถุยไปวันๆ ขบวนการเสื้อแดงที่ผลักคนที่คิดต่างเป็นเหลือง เป็นสลิ่ม ขณะที่ปากก็ปาวๆว่าก้าวข้าม “ทักษิณ” เฉกเช่นเดียวกัน จะพูดทำไมให้ชวนอ้วก แถมพวกแดงถ่อยสถุลที่ชอบเอา “เรื่องส่วนตัว” มาโจมตี แทนที่จะสู้ด้วย “หลักการและเหตุผล” ก็น่ารังเกียจและน่าขยะแขยงพอกัน


พธม. พวกพ่อยกแม่ยกระดับปัญญาชนคนชั้นกลางของแท้ที่มาด้วยแนวความคิดต่อต้าน “ทุนนิยมสามานย์” ที่เติบโตผ่านระบบคิดแบบ “ทักษิณ” กับ “อดีตฝ่ายซ้ายเก่า” ทุกวันนี้เผ่นหนีไปตั้งหลักกันหมด ม็อบของ “มหาห้าขัน” กับสันติอโศก จากเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวและองค์กรที่ฉาบหน้าด้วยเรื่องปราสาทพระวิหารและอิสรภาพของ “วีระ-ราตรี” ที่กลายเป็น “ดินประสิว” จุดชนวนให้ พธม. กับพรรคการเมืองใหม่ “แตก” กันอย่างช่วยไม่ได้ ไม่นับอาการร้าวแบบเมล็ดข้าวโพดบนกระจกหน้ารถที่โดนสะกิดหินกระเด็นใส่กับกรณีที่เกิดขึ้นระหว่าง พธม. กับสันติอโศกและ “มหาห้าขัน”


นี่คือวัฒนธรรมการเมืองแบบไทยๆที่มาจากนิสัย สันดาน วัตรปฏิบัติของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นใครหรือพวกไหน นักการเมือง ทหาร อำมาตย์ ทุน ไพร่ ทุกอย่างมันไปตีบตันที่ภาวะ “ลูบหน้าปะจมูก” กันไปหมด หรือกลายเป็น “มึงน้องเมีย กูพี่เขย ไอ้นั่นลูกสะใภ้” แต่ดันเสือกกระจายอยู่คนละพวก เหมือน “พี่ตู่” เป็นญาติแท้ๆกับ “พระเถระชั้นผู้ใหญ่” ระดับเลขาฯประมุขศาสนา ไอ้ความเป็นพี่เป็นน้อง เป็นญาติ “แยก” ได้ไหมกับความต่างระหว่างความเป็นเหลืองเป็นแดง ใครจะตอบได้?...ฮา


พอเกิดอะไรขึ้นระหว่างคนพวกนี้เลยกลายเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน หรือไม่ก็คนเคยเป็น “ดอง” กัน ไอ้ที่จะรุนแรงระดับตัดหัวคั่วแห้งก็กลายเป็น...เฮ้ยงานนี้พี่ขอเบาๆหน่อย หรือไม่ก็ซูเอี๊ยะแตะมือกันไปหมด เสร็จแล้วคนที่โง่โดนหลอก โดนต้มตุ๋น หรือรู้ “ความจริงและข้อเท็จจริง” คือประชาชน ส่วน “พวกมัน” เป็นใคร โฮ้ย...เยอะแยะจนจารนัยไม่หมด ไม่ว่าจะนายทุน ขุนศึก 

อำมาตย์ ศักดิดาล้าหลัง หรือทุนนิยมสามานย์ ไม่เว้นแม้พระสงฆ์องค์เจ้า...ฮา
ตัวละครทั้งหมดของ พันธมิตรเสื้อเหลืองที่ไปคนละทางสองทาง วิวาทะทั้งคำพูดและข้อเขียน กลายเป็นเรื่องที่พวกอำมาตย์ พวกขุนศึก พวกทุนนิยมสามานย์นั่งมองด้วยความสะใจ ในมุมกลับก็ไม่รู้เหมือนกันว่านอกจากดูด้วยความสะใจแล้วมันให้ภาพสะท้อนในมุมกลับอะไรบ้างกับคนและขบวนการเหล่านั้น


แต่ที่แน่ๆสำหรับขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชน นี่คือ “กรณีศึกษา” ที่สำคัญที่ “ประชาชน” ควรติดตาม รับรู้ แยกแยะ วิเคราะห์กันอย่างจริงจัง ที่สำคัญต้องถือเป็น “บทเรียน” สำหรับการปรับปรุงขบวนการต่อสู้ของประชาชนอย่าให้เกิดกรณีอย่างที่เห็น แดงแตกกันเอง พธม. แตกกันเอง หรือนักการเมืองและพรรคการเมืองหักหลังกันเองแล้วกลับมาจูบปากกันเอง แบบคำโบราณที่ว่า “ถ่มน้ำลายรดหน้าตัวเอง” อาทิ “ป๋าเหนาะ” จะกลับไปจูบปาก “ทักษิณ” หรือ “พี่เน” หัก “บรรหาร” ไปอยู่กับ “ทักษิณ” แล้วก็หัก “ทักษิณ” มากอด “มาร์ค” เสร็จแล้วกลับไปกอด “พี่เสือเตี้ย”


แบบนี้ชาวบ้านร้านตลาด สุจริตชนหาเช้ากินค่ำอย่างเราเขา “ไม่ทำกัน” หรือทำไม่เป็น วิธีคิดและสันดานเอี้ยๆแบบนี้ปล่อยให้นักการเมืองทำกันไปครับ
จะต้องเลือกตั้งอีกสักร้อยครั้งเพื่อ “ร่อน” เอาพวก “เอี้ย” ออกจากสารบบก็ต้องทำ 



เวลาจะเป็นตัวกำหนดและให้คำตอบในที่สุด



ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 309 
วันที่ 7 - 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 หน้า 48 คอลัมน์ สากกะเบือยันเรือรบ 
โดย สนานจิตต์ บางสพาน
2011-05-09

http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น