วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554


ปริศนา ?ภัยน้ำท่วม !  โดย...ขอม ดำดิน



            ได้เห็นเจ้าของบ้านร้องให้ น้ำตาไหลพราก
          บ้าน ทรัพย์สิน พังพินาศ  ใน ๒๖ จังหวัด
          มัจจุราชและความตาย ไม่ปราณี มากกว่า ๒๕๐ ชีวิต
          อุทกภัยในครั้งนี้ น่าสยดสยอง เสียหายหลายแสนล้าน
          ข้อเขียนของเราในวันนี้ มีแต่ความหดหู่ เขียนไปสยองไป

หัวใจไม่แจ่มใสไปได้ เพราะขณะปั่นต้นฉบับ เสียงของโฆษกรัฐบาลได้ประกาศข่าวว่าท่านนายกหญิง “น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ได้ใช้ ฮ. บินดูบริเวณน้ำท่วมเวิ้งว้าง กว้างใหญ่ไพศาล จวนเจียนจะจ่อเข้ากรุงเทพ ทำให้ชาว กทม. ถึงกับ “อกสั่นขวัญแขวน” เพราะวิตกต่อกระแสน้ำที่ไหลพุ่งลงมาจากนครสวรรค์ ผ่านเข้าสู่ชัยนาท ลพบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง ปทุมธานี และจ่อเข้าหาคลองรังสิต ริมตะเข็บ กทม.

          ภาพที่ปรากฏขึ้นในห้วงนึกคิด...มันเหมือนพญามัจจุราชที่พุ่งออกจากแดนประหาร ในมือมีอาวุธมหากาฬ ฟาดฟันไปที่ไหนจะกลายเป็นเวิ้งน้ำนรก ที่สามารถสั่งให้ขุนเขากลายเป็นท้องทะเลและสามารถ “สั่ง” ให้ท้องนากลายเป็นมหาสมุทรพร้อมกับมีพายุลมแรงพัดกระหน่ำบ้านเรือน ผู้คน ฝูงสัตว์เลี้ยง ต้นไม้ฉีกขาด ล้มระเนระนาด  ถอนรากถอนโคน

          ภาพมันน่าสะพรึงกลัวขนาดนั้น ใครเห็นแทบจะช็อกตาย

          รับฟังข่าวจากรัฐบาล ทราบว่าน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้กินเนื้อที่ ๒๖ จังหวัด ล้างผลาญไร่นามากกว่า ๙ ล้านไร่ ทำให้ประชาชนมากกว่า ๒ ล้านคนได้รับความเดือดร้อน บ้านเรือนถูกน้ำท่วมมิดหลังคา เสื้อผ้า โต๊ะเก้าอี้ ของใช้ในบ้าน เครื่องไม้เครื่องมือทางการเกษตร รถยนต์ ยวดยานพาหนะ สูญเสียย่อยยับไปกับอุทกภัย ประชาชนล้มตายมากกว่า ๒๕๐ ชีวิต สูญหายอีก ๒ ราย

          นิคมอุตสาหกรรมโรจนะและนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค จมอยู่ใต้น้ำ
          มูลค่าความเสียหายประมาณว่ามากกว่าห้าแสนล้านบาท ?!
          อนิจจา..ประเทศไทย ทำไมจึงมีอุทกภัยร้ายแรงขนาดนี้ ?
          นี้เป็นคำถามในหัวใจของ “ขอม ดำดิน” ถามแล้วถามอีก ?

          ถามกับตัวเอง และได้ถามกับ “เพื่อนญี่ปุ่น” ที่มีแผ่นดินตั้งอยู่ตรงกลางอาณาจักรน้ำ มองไปทางไหนมีแต่น้ำ อันเป็นมหาสมุทรทั้งแท่ง  โดยถามว่า  พวกคุณมีความรู้เรื่องน้ำท่วมหรือไม่ ? มีการวางแผนป้องกันอุทกภัยอย่างไร ?

          คนญี่ปุ่นตอบว่า “ประเทศญี่ปุ่นมีความเก่งยอดเยี่ยมในโลก” ในการค้นหาคำพยากรณ์
เกี่ยวกับภัยน้ำท่วม (อุทกภัย) ภัยแผ่นดินไหว และภัยคลื่นสินามิ รวมถึงภัยภูเขาไฟใต้ทะเล ภัยเกาะเล็กเกาะน้อยกำลังจะจมหายไปในท้องมหาสมุทร

          เพื่อนชาวญี่ปุ่นได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ประเทศญี่ปุ่นมีศูนย์พยากรณ์ที่แม่นยำมาก อย่างเช่นกรณีญี่ปุ่นประจญภัยถูกคลื่น “สึนามิ” ถล่มพังพินาศครึ่งค่อนประเทศเมื่อไม่นานมานี้ ก็รู้จากศูนย์พยากรณ์มาก่อน  แต่คลื่นสึนามิมันใหญ่โตเกินสติปัญญาของมนุษย์ที่จะป้องกันได้

          เพื่อนญี่ปุ่นยังขยายความให้ฟังว่า  กรมอุตุนิยมวิทยาของเขา พยากรณ์ล่วงหน้าเหมือนตาเห็น โดยทำนายล่วงหน้ายาวนานถึง ๕ ปีว่าจะมีพายุกี่ลูกเกิดขึ้นในแดนอาทิตย์อุทัย 
ความรู้ดังกล่าวนี้ ได้ถูกเผยแพร่ไปยังหมู่ประชาชน ทุกซอกทุกมุม ทำให้ประชาชนได้รับรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในรอบ๒-๓ เดือนที่จะมาถึง และในรอบ ๑ ปีข้างหน้า

          เมื่อรู้แล้ว...เขาก็หาวิธีป้องกัน  รวมทั้งการบอกกล่าวให้นักลงทุน ให้หาหนทางเดินทางไปลงทุนในประเทศอื่น มากกว่าที่จะยึดดินแดนของตนเองเป็นที่ลงทุน

          ทัศนะของคนญี่ปุ่นก็คือ “ให้เอาประเทศญี่ปุ่นเป็นอาณาจักรของชนชาติเผ่าพันธุ์และภูมิปัญญา” ส่วนการลงทุนในระดับอุตสาหกรรมโลก ให้แสวงหาแหล่งลงทุนในดินแดนอื่นในทุกทวีป รวมทั้งการเงินการคลัง ก็ยึดโลกเป็นที่พึ่ง

          สำหรับในประเทศของเขานั้น การพยากรณ์จักเป็นไปโดยทางวิทยาศาสตร์ ไม่ยอมให้ลุ่มหลงกับคำพยากรณ์ในเชิงศาสดา กล่าวให้ชัดได้แก่ไม่ยกย่องการพยากรณ์แบบไสยศาสตร์

          เป็นเพราะคนญี่ปุ่นเขารู้โดยทางวิทยาศาสตร์อย่างนี้ เขาจึงสร้าง “กำแพงคอนกรีต”ล้อมเมือง คล้ายกับการก่อสร้างภูเขา มีความสูงหลายสิบเมตร เพื่อจะป้องกันคลื่นยักษ์จากทะเล หรือคลื่นสึนามิไม่ให้ถาโถมเข้าถล่มเมือง

          ประเทศญี่ปุ่นได้ก่อสร้างมาแล้วมากกว่า ๓๐ ปี  แต่สร้างยังไม่เสร็จ (สร้างไม่ทัน) เกิดคลื่นยักษ์ถล่มเสียก่อน  แต่ก็ยังดีที่ได้มีกำแพงคอนกรีตปะทะเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง ถ้าไม่มีกำแพงคอนกรีตแล้วละก็ จะเกิดความเสียหายกับประเทศญี่ปุ่นมากมายหลายร้อยเท่า

          จากคำบอกเล่าของเพื่อนญี่ปุ่น ทำให้ผมต้องถามกลับมาที่ประเทศไทยว่ากรมอุตุนิยมและศูนย์ทำนายน้ำทั้งหลาย พากันมีความรู้อย่างทันสมัยหรือไม่ หรือว่า “มีไม่เพียงพอ” ซึ่งเป็นคำถามที่ไม่อาจทราบความจริง

          แต่มีเรื่องที่กำลังจะเป็น “ปริศนา” คาใจก็คือ จำนวนมวลน้ำที่ไหลบ่าท่วม ๒๖ จังหวัดในปีนี้ไม่น่าจะก่อความเสียหายถึงขั้นท่วมมิดหลังคา  เพราะว่าจำนวนมวลน้ำไม่แตกต่างจากทุกปีที่ผ่านมา หรือว่าแม้จะมีมวลน้ำมากกว่าปีที่แล้ว- ก็ไม่มากเกินไป ?

          เปรียบเหมือนของหนักที่เคยหาบอยู่บนบ่า มันหนักขึ้นเล็กน้อยไม่เกิน ๑๐ กิโลกรัม
          หนักหวิวขนาดนั้น...แล้วท่วมมิดหลังคาได้อย่างไร
          นี้คือคำถามที่ขอมดำดิน ถามอยู่ในใจ

          ท่านครับ ผมได้อ่านบทวิเคราะห์ข่าวน้ำท่วมในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และได้อ่านความสงสัยที่มีอยู่ในเว็บต่างๆ  สรุปได้ว่า ได้มีความผิดพลาดเกิดขึ้นในกรมชลประทาน  กล่าวคือการ “กักเก็บ” น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ เช่นเขื่อนภูมิพล และเขื่อนอื่นๆนั้น  ได้กักเก็บเอาไว้เต็มพิกัด คล้ายกับว่ากรมชลประทานวิตกว่าในปีถัดไปจะเกิดภาวะฝนแล้งอย่างหนัก จะทำให้บ้านเมืองผจญภัยแล้งแสนสาหัส จึงปฏิบัติการแตกต่างจากทุกปีที่เคยปฏิบัติ ?

          ด้วยการกักเก็บน้ำเอาไว้ในเขื่อนทุกเขื่อนตั้งแต่เดือนกุมภาพันพันธ์ ไล่มาจนถึง เมษา – พฤษภาและเลยเถิดมาถึงเดือนมิถุนา-กรกฎา...ก็ไม่ยอมปล่อยน้ำ

          น้ำในเขื่อนจึงล้นปรี่-เต็มเปี่ยม ชุ่มฉ่ำไปทั้งแผ่นดิน

          ทว่า...ครั้นเดือนสิงหา-กันยา  ฝนเทมา  ปะทะกับเดือนตุลาคม...ที่มีพายุมรสุมเกิดขึ้น...ทำให้น้ำจากท้องฟ้า  ปะทะกับ “น้ำในเขื่อน” ที่กักเก็บเอาไว้ตั้งแต่ต้นปี เกิดอาการแบกรับ “น้ำใหม่” ไม่ไหว...น้ำเพียงเท่านั้นก็ได้กลายเป็นน้ำมาก  บวกกับกรมชลประทาน สั่ง “เปิดประตูน้ำ”  จากเขื่อนต่างๆเพื่อจะหนีน้ำล้นเขื่อนด้วยการระบายน้ำออกมาพร้อมๆกัน

          อนิจจา...พลันก็ได้เกิดอุทกภัยในพริบตา
          ด้วยเหตุนี้...น้ำท่วมใหญ่ในคราวนี้ จึงมีคำถามร้ายแรงถึง ๒ ประเด็น ดังนี้
          คำถามที่ ๑ ถามว่า...”กักเก็บน้ำเอาไว้ เพราะไม่รู้ว่าจะมีน้ำใหม่จากมรสุม”...?! 
         คำถามที่ ๒ ถามว่า..”หรือว่าตั้งใจจะให้เกิดภาวะวิกฤตโดยหวังผลทางการเมือง” ?! 

         ทั้ง ๒ คำถาม...มันคือ “ปริศนา”  ภัยน้ำท่วมปีพุทธศักราช ๒๕๕๔ ?
          โปรดเถอะ...โปรดตอบตำถามให้หายข้องใจด้วยครับ ?!

                                             ขอม ดำดิน
                                       ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๔
http://redusala.blogspot.com




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น