ไฟใต้จะดับได้ ต้องอาศัย “พลังมุสลิม” ?!! โดย...สอาด จันทร์ดี
ดังที่กล่าวมา ปัญหาที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มิใช่เป็นแค่ปัญหาใหม่ แท้ที่จริงแล้ว ปัญหานี้เกิดมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งค่อยๆสะสมให้เกิดเงื่อนไขอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยได้มีการ “ปลุกระดม” ในข้อ หา “พุทธรังแกอิสลาม” ทำให้พี่น้องมุสลิมที่ศรัทธาในพระเจ้าอย่างสูงส่งหลงเชื่อคำหลอกลวง พร้อมกับฝ่ายรัฐบาลก็พากันหลงกล (ลวง) ประเภทนี้ไปด้วย สุดท้ายก็ได้ตกเป็นเหยื่อของพวกโจรก่อการร้าย ดังที่กำลงเป็นอยู่ในปัจจุบัน การที่จะดับไฟใต้ให้สำเร็จนั้น ถ้าไม่เอาความจริงมาพูด ย่อมไม่มีทางดับสำเร็จดอกครับ
ไฟใต้ร้อนฉ่าราวกับจะเป็นสงครามกลางเมือง
ปัญหาไฟใต้ได้กลายเป็นปัญหาหนักอกของประเทศที่เป็นเสมือนไฟสุมขอน นับวันนับแต่จะร้อน แรงยิ่งขึ้น และสุดท้าย...หากไม่มีผู้ใดดับได้ ไฟใต้ก็จะกลายเป็นไฟ “สงครามแบ่งแยกดินแดน” อันเคยมีตัวอย่างในติมอร์ตะวันออก เมนดานาว และอาเจะห์ ดังที่ทุกท่านทราบดีอยู่แล้ว
ปัญหาไฟใต้มิได้มีความสลับซับซ้อนอะไรเลย แต่ที่มันแสนจะลึกลับซับซ้อนก็เพราะรัฐบาลไทยทุกยุคทุกสมัยไม่พูดความจริง จึงเป็นเหตุให้เรื่องที่น่าจะเข้าใจง่ายได้กลายเป็นปัญหา “อกแตก” ทำให้เข้าใจยากจนได้กลายเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก ดังที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ ?
ท่านครับ ผมอยากนำเอาปัญหาที่แท้จริงขึ้นมากราบเรียนให้ทราบ ดังนี้
ปัญหาที่หนึ่ง เกิดมาจากการ “บิดเบือน” อย่างมีเจตจำนง เพื่อหวังผลจะก่อให้เกิดการแบ่งแยกดินแดน การบิดเบือนนั้นได้ฝืนบิดเบือนติดต่อกันอย่างยาวนาน ข้อที่เอามาบิดเบือนได้แก่การกล่าวหาว่า “พุทธรังแกอิสลาม” แล้วก็พากันโหมการบิดเบือนอย่างเป็นขบวนการการ จนสามารถ “จัดตั้งแนวคิด” ที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อคนในชาติเดียวกันอย่างกว้างใหญ่ไพศาล คนที่เข้าใจผิดมากที่สุดได้แก่พี่น้องมุสลิมรุ่นใหม่ที่มาทีหลังการบิดเบือนที่เกิดมานานแล้ว ต่างพากันเข้าใจว่า “พุทธรังแกอิสลาม”
ด้วยเหตุนี้ จึงมีการต่อต้านพุทธใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเป็นกระบวนการ ?
มิใช่แต่เท่านี้ ยังได้เกิดความเข้าใจผิดที่ซึมลึกไปในหมู่ของมุสลิมทั่วประเทศ จนสามารถปลุกจิตสำนึกของพี่น้องมุสลิมในประเทศไทยให้เกิดความ “รังเกียจพุทธ” อย่างเป็นกระบวนการ อันเปรียบได้กับการ “เกลียดชัง-ชนเผ่า ยิว” ที่ฝังรกรากในจิตใต้สำนึกของมุสลิมทั่วโลก จนกลายเป็นความเกลียดฝังเข้าไปในสายเลือด .. เรียกว่าเกลียดจนเข้ากระดูกดำ
ขณะนี้ จิตของมุสลิมไทยเกลียดชังพุทธแบบฝังรากฝังโคน ?
แต่ในขณะเดียวกัน คนพุทธกลับไม่รู้ตัวว่าถูกคนในชาติเดียวกันเกลียดชัง คนพุทธยังคงวางเฉยต่อ ปฏิกิริยาทั้งหลายทั้งปวงด้วยความรู้สึกที่อบอุ่น ดังจะเห็นได้ว่าทางฝ่ายราชการได้พยายาม “ปรับยุทธวิธี” ที่จะเข้าหาอิสลามด้วยการเสนอสิ่งตอบแทนต่าง ๆ นานา โดยหวังว่าหัวใจของมุสลิมจะมีความเมตตาต่อชาวพุทธในฐานะเป็นคนไทยร่วมผืนแผ่นดิ เดียวกัน
ความไม่รู้ตัวของชาวพุทธได้ตั้งอยู่บนขันติอันยิ่งใหญ่ แม้จะถูกฆ่า ถูกเผาบ้าน ถูกถล่มด้วยกระสุนก็ไม่พากัน “ตอบโต้” ดังจะเห็นได้จากกรณีพระถูกฆ่าก็ไม่ว่าอะไร โรงเรียนถูกเผาก็ไม่ติดใจเอาเรื่อง รวมไปถึงการ “ไล่ฆ่าชาวพุทธ” อย่างเป็นกระบวนการก็ไม่พากันเจ็บปวด
สภาวะอย่างนี้แสดงว่าคนพุทธไม่ได้รับรู้ว่าตัวเองถูกเกลียดชังแต่อย่างใด ?
ท่านผู้อ่านครับ...ผมขอกราบเรียนต่อไปว่า ปัญหานี้เป็นปัญหาหลักที่เกิดกับคนไทยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และกำลังขยายวงกว้างไปตามจังหวัดต่างๆ กล่าวคือที่ไหนก็ตามที่มีครอบครัวของสาสนิก อิสลามเข้าไปตั้งถิ่นฐาน ก็จะมีการ “จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติงาน” อย่างเป็นกระบวนการตามเข้าไป เช่นมีการวางแผนที่จะเป็นผู้นำในหมู่บ้าน มีการสร้างมิสยิด สร้างเครือข่ายที่เป็น “มุสลิมสัมพันธ์” เพื่อจะทำการ เผยแผ่และ “เผยแพร่” ไปยังมวลชนในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเพื่อการขยายอิทธิพลให้เติบใหญ่ภายในเวลาอันไม่นานเกินรอ
เครื่องมือเผยแพร่ที่สำคัญได้แก่ธนาคารอิสลาม ?
ตามมาด้วยการแต่งงานในครอบครัวพุทธที่จะต้องโอนสมาชิกใหม่เข้าไปเป็นมุสลิมภายในเวลาที่กำหนด รวมไปถึงการ “การให้ความช่วยเหลือ” ที่มาในรูปแบบความเมตตา ความสงสาร ทำราวกับว่าในหัวใจมุสลิมมิได้มีสิ่งใดขัดข้อง มิได้มีความ “เกลียดชัง” เจือปนอยู่เลย
แท้ที่จริง...ในทุกย่างก้าว ยังคงเต็มไปด้วยความเกลียดชังเทียบเท่ากับการเกลียดชังยิว
ข้อที่แสดงออกถึงความเกลียดชังก็คือการ “ขนพระพุทธรูป” ออกไปจากห้องทำงานตั้งแต่ในระดับผู้ใหญ่บ้าน สูงไปจนถึงกำนัน นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด และกระทรวง-ทบวงกรมได้เป็นไปอย่างเปิด เผย โดยอ้างหลักศาสนาเอามาเป็นมาตรฐานกำหนด
ท่านสุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็น รมว. ต่างประเทศก็ขนพระพุทธรูปออกจากห้องทำงาน
ท่านวันนอร์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
กระทรวงคมนาคม และเป็นประธานรัฐสภาก็ขนพระพุทธรูปออกไปจนหมด รวมถึงสำนักงานเขตใน กทม. ที่มีพี่น้องอิสลามหลายร้อยครอบครัว ก็จะไม่ตั้งพระพุทธรูปในสำนักงานเขตแห่งนั้น
กระทรวงคมนาคม และเป็นประธานรัฐสภาก็ขนพระพุทธรูปออกไปจนหมด รวมถึงสำนักงานเขตใน กทม. ที่มีพี่น้องอิสลามหลายร้อยครอบครัว ก็จะไม่ตั้งพระพุทธรูปในสำนักงานเขตแห่งนั้น
อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นแล้วแสนจะสะเทือนใจ...นั้นก็คือ ชาวพุทธ “อยู่อาศัย” ใน 3 จังหวัดไม่ได้
จะอยู่ได้ต้องเข้าไปสวามิภักดิ์กับโจรก่อการร้ายเต็มร้อย
ส่วนพวกโจรก่อการร้ายไปอยู่ได้ทุกแห่งในประเทศนี้อย่างอบอุ่นและมั่นคง นี้คือตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความเกลียดชัง มีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน ฟ้ามาดิน
ขอกลับไปที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือยะลา ปัตตานี นราธิวาส เราจะพบว่าได้เกิดการเข่นฆ่ามามาก่อนอย่างยาวนาน มิใช่เพิ่งจะเกิดในสมัย พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่เข่นฆ่าพระ เข่นฆ่าประชาชน และต่อสู้กับทหาร เราจะพบว่า “แม้แต่พี่น้องมุสลิมด้วยกัน” ก็ถูกฆ่าอย่างป่าเถื่อน
ถามว่าเหตุไร จึงโจรก่อการร้ายจึงฆ่ามุสลิมด้วยกัน ?
คำตอบก็คือ “เป็นเพราะมุสลิมคนนั้น –เอาใจออกห่างไปเข้าข้างทหาร...ยังไงเล่า” ถ้ามุสลิมคนนั้นไม่เอาใจออกห่าง ไม่เข้าข้างคนพุทธ เขาจะมีความปลอดภัยทุกประการ
ผมเคยถามปัญหานี้กับพี่น้องมุสลิม ว่าเหตุไร “มุสลิม” จึงทำอย่างนี้ ?
ท่านครับ...ผมได้รับคำตอบอันน่าตื่นเต้นมาก คำตอบนั้นตอบว่า ปัญหาทั้งหมดมิได้เกิดจากมุสลิม ไม่ว่ากรณีใดๆ หากแต่เกิดจากพวก “มุตตัด” พากันบ้าระห่ำกระทำการบิดเบือนขึ้นมาเอง โดยอ้างเอาการ แบ่งแยกดินแดนขึ้นมาบังหน้า
อะไรคือพวกมุตตัด ...(ผมถาม) ?
ท่านผู้นั้นตอบว่า “ มุสลิมคนใดเข่นฆ่าประชาชนผู้ไม่มีความผิด เช่นฆ่าผู้หญิง เด็กเล็ก นักบวชในศาสนาอื่น เข่นฆ่าคนชราเหล่านี้ เป็นต้น” คนที่ผู้นั้นจะหลุดจากการเป็นมุสลิม จะกลายเป็นคนไร้ศาสนา แล้วจะถูกเรียกขานว่า “มุตตัด”
ดังนั้น พวกโจรก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ทั้งหมด) ไม่ใช่มุสลิมอีกต่อไป พวกเขาคือ “มุตตัด” อันจัดได้ว่าเป็นโจรก่อการร้ายที่บ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศไทย ที่กองกำลังรักษาความสงบของชาติจะต้องทำการปราบปรามให้สิ้นซาก
อ้าว ผมร้องออกมาด้วยความสงสัยว่า ถ้าเป็นเช่นนี้..เหตุไรเล่า ? สถาบันอิสลามที่สำคัญในแผ่นดิน เช่นสำนักจุฬาราชมนตรี โดยเฉพาะคือท่านจุฬาราชมนตรี และท่านโต๊ะอิหม่ามทั้งหลายจึงเงียบเฉยอยู่ ไม่เห็นว่าท่านเหล่านั้น จะแสดงออกว่า “ไม่เห็นด้วย” กับการกระทำของมุตตัด ?
หรือว่าท่านเป็นพวกเดียวกัน ?
ผมได้คำตอบครับ...อันนับว่าเป็นคำตอบที่เป็นหัวใจของเรื่องเลยทีเดียว
หนึ่ง...เนื่องมาจากการสร้างกระแสความเกลียดชังได้แผ่ขยายไปยังสาสนิกอิสลามอย่างกว้างขวาง ทั้งในและต่างประเทศ จึงไม่ง่ายเลยที่ผู้หลักผู้ใหญ่ของอิสลามจะเอ่ยปากได้โดยง่าย หากขืนกระทำลงไปก็จะกลายเป็น “เหยื่อ” ของพวกมุตตัดไปทันที
สอง...พวกมุตตัดได้สร้างสมบารมี “ความเหี้ยมโหด” เอาไว้มากมาย จนเป็นที่รู้กันทั่วโลกว่าใคร ทรยศต่อมุตตัดแล้วละก็...คนผู้นั้นวิบัติแน่ เช่นตาย...หายสาบสูญ หรือถูกกล่าวหาว่าเป็นคนไร้ศาสนาเสียเอง อย่างนี้เป็นต้น
สาม...ท่านเหล่านั้น จึงพากันเงียบ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น
สี่...ประการสำคัญ ทางฝ่ายรัฐบาลเองก็ไม่กล้าแตะต้อง เพราะหลงเข้าใจไปเองว่าการกระทำทั้งหมดที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นฝีมือมุสลิม ถ้าปราบปรามรุนแรงก็เกรงจะทำให้เกิดความแตกร้าวในสองพระศาสนา จึงพากันปราบแบบยอมแพ้ ตอนนี้นะ..ฝ่ายรัฐบาลกำลังตกที่นั่งลำบาก รอมร่อจะร้องขอความช่วยเหลือไปที่โอไอซี (สภาโลกอิสลาม)...ถ้าทำอย่างนั้นก็จะเข้าทางปืน
คือต้องยินยอมให้มุตตักปกครองตนเอง
ถ้าได้ปกครองตนเองเมื่อใด... ไม่นานก็จะแบ่งแยกดินแดนไปในที่สุด
ท่านผู้อ่านที่เคารพ...เรื่องราวทั้งหมดที่ผมเขียนมานี้ โปรดอย่าคิดว่าผมแสแสร้งแต่งขึ้น และขออย่าได้โมโหโกรธาให้ผมเลย เพราะว่าข้อเท็จจริงเช่นนี้ไม่เคยมีใครกล้าหาญนำออกมาเปิดเผย แม้แต่ทหารหรือพวก “กอ. รมน.” ตัวเบ้ง ๆ ก็ยังงมโข่งอยู่...มิใช่หรือ ?
ถ้าไม่อยากงมโข่ง...ขอได้โปรดหันหน้าไปหา “พลังมุสลิม” ในประเทศไทยทั้งประเทศ ไปทำความ ใจเสียใหม่ แก้ไขการบิดเบือนให้สำเร็จ แก้พี่น้อง“มุสลิม” ให้เลิกเกลียดชังพุทธ เลิกเข้าใจผิดในหลายกรณี อย่าปล่อยให้พวกมุตตัด “บิดเบือน” ต่อไปเลย
ผมขอฟันธงว่า คนที่จะดับไฟใต้ได้ น่าจะเป็นพลังของฝ่าย “มุสลิม” เท่านั้น..?
ต่อไปนี้ ขอให้ท่านลองรับรู้เครือข่ายของ “มุตตัด” เอาไว้ดังนี้
ดังที่กล่าวมา ปัญหาที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มิใช่เป็นแค่ปัญหาใหม่ แท้ที่จริงแล้ว ปัญหานี้เกิดมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งค่อยๆสะสมให้เกิดเงื่อนไขอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยได้มีการ “ปลุกระดม” ในข้อ
ประการสำคัญ สื่อของประเทศไทยไม่ยอมเข้าถึงต้นตอของปัญหา ไม่มีการเอาความจริงมากะเทาะให้ประชาชนคนไทยทุกชนให้เข้าใจตรงกัน เรื่องมันถึงได้รุนแรงยากที่จะหาจุดจบ
ผมจึงขอสรุปว่าผู้ที่จะดับไฟใต้ได้ มีอยู่เพียงกลุ่มเดียว...คือพลังมุสลิม ?! โดยขอให้บอกกับโจรก่อการร้าย “มุตตัด” ให้หยุดการกระทำเสียเถิด ...ขอให้รวบรวมความกล้าต่อสู้กับมุตตัดให้ได้
แต่ถ้าไม่มีท่านผู้ใดกล้า...ผมเชื่อเกินล้านว่า ภาคใต้ของประเทศนี้ต้องถูกแบ่งแยกแน่ๆ !
สอาด จันทร์ดี
9 สิงหาคม 2555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น