วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ประชาธิปไตยภายใต้ทุนผูกขาดเหนืออำนาจรัฐ



   ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ประชาชนในรัฐนั้นย่อมมีความเท่าเทียมกันในทุกกรณี โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจก็นับว่าเป็นหลักการหนึ่งที่สำคัญมาก ที่ประชาชนต้องมีความเท่า
เทียมหรือเสมอภาคไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่ถ้าหากว่าความเท่าเทียมหรือเสมอภาคไม่เท่าเทียมกันของประชาชน ก็จะย่อมนำมาซึ่งปัญหานานาชนิดเปิดช่องว่างระหว่างคนรวย และคนยากจนให้ห่างจากกัน ที่มิอาจจะหยุดยั้งปัญหานี้ได้ สิ่งที่จะตามมาในกรณีนี้ เป็นเมล็ดพันธุ์ของความเสื่อมทรามทั้งด้านคุณธรรมศีลธรรม และจริยธรรมก็ไม่ต้องเอ่ยถึง หลักการความไม่เสมอภาคหรือเท่าเทียมนี้ ไม่ว่าจะดำรงอยู่ในประเทศใดก็ตาม อย่าหวังว่าความเจริญของประเทศนั้นจะได้รับการพัฒนาให้เท่าเทียมประเทศที่จะเจริญแล้วทั้งหลายได้

   ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่กำหนดหลักการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย หลักฐานปรากฏชัดตั้งแต่เปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย หลักฐานดังกล่าว กำหนดไว้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญทุกฉบับถึงฉบับปัจจุบัน แต่หลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย ก็เป็นเพียงหลักการลวงโลกเท่านั้น ในทางปฏิบัติเป็นหลักการระบอบตามอำเภอใจธิปไตยโดยแท้

   ตลอดเวลาตั้งแต่ปีพ.ศ.2475 ซึ่งเป็นปีที่เปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยไม่เคยเกิดขึ้นแก่ประเทศไทยเลย แม้จะเป็นช่วงใดก็ตามที่หลายๆคนสรุปว่าช่วงนั้น ช่วงนี้เราเป็นประชาธิปไตย ก็เป็นการกล่าวอ้างกันตามความเข้าใจของตนเอง แต่โดยเนื้อแท้แล้ว หลักการระบอบประชาธิปไตยไม่เคยเกิดขึ้นแก่ประเทศนี้แม้แต่เพียงช่วงเดือนเดียวก็ไม่มี ตรงนี้ต้องมองกันอย่างครบถ้วนในมิติต่างๆว่ามีหรือไม่มี หากเรามองกันในมิติหยาบ ๆ ก็พอจะอนุมานได้ว่าประชาธิปไตยของประเทศนี้มีเป็นช่วงนั้นช่วงนี้ได้ แต่แท้จริงแล้วระบอบประชาธิปไตยก็ถูกกดทับด้วยระบอบตามอำเภอใจธิปไตยอย่างหนักแน่นและถาวรมาโดยตลอด

   บทความนี้จะขอนำเสนอความเสมอภาคทางเศรษฐกิจของหลักการตามระบอบประชาธิปไตยว่าถูกกดทับด้วยระบอบอำเภอใจธิปไตย เมื่อท่านอ่านจบ ก็ตาสว่างทันที

   การที่เราจะมองภาพความเสมอภาคในด้านเศรษฐกิจของหลักการระบอบประชาธิปไตย เราจำเป็นจะต้องมีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถอ่านค่าของความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจได้ และไม่เพียงเป็นเครื่องที่ใช้สำหรับประเทศไทยที่กำหนดหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพียงประเทศนี้เพียงประเทศเดียวเท่านั้น ยังสามารถนำไปวัดประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยได้ทุกประเทศ และค่าของตัวเลขของเครื่องมือนี้จะบอกให้เราทราบได้ทันทีว่า  ประเทศใดเป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมากกว่าและสามารถนำไปจัดอันดับของประเทศต่าง ๆ ที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยว่าประเทศใดอยู่ในลำดับที่เท่าไรได้ด้วย

   เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและมีความแม่นยำที่สุดตรงต่อข้อเท็จจริงที่สุด ถ้านำเครื่องมือนี้ไปวัดโดยปราศจากอคติใดๆพร้อมทั้งเปิดเผยข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่บิดเบือนหรือซ่อนเร้นอะไรไว้ ความชัดเจนแจ้งของข้อเท็จจริงก็จะปรากฏให้ประชาชนทั้งประเทศได้ทราบข้อเท็จจริงว่า กลุ่มของตนเองอยู่ในสถานะใด และสำหรับชาวโลกจะได้ทราบข้อเท็จจริงนี้ไปพร้อมกันด้วย เกรงว่าผู้วัดจะไม่เปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งหมดเท่านั้นเอง ผู้เขียนก็อยากจะขอแรงคณะนิติราษฎร์เป็นผู้ใช้เครื่องนี้นำไปวัดและแถลงผลตามข้อเท็จจริงของการวัดทั้งหมดจะได้ไหม ถ้าได้ก็นับว่าคณะนิติราษฎร์จะเป็นคณะแรกที่สร้างประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ประชาชนและประเทศชาติ  จะเป็นบุญคุณอันยิ่งใหญ่แก่ประชาชนหรือเรียกว่ามหากุศล หรือดัอภิมหากุศลเลยทีเดียว ขอแรงเถอะคณะนิติราษฎร์

   ทำไมผู้เขียนไม่ทำเสียเอง ขอตอบว่าในรายละเอียดอันซับซ้อนที่เครื่องมือให้คำตอบ ผู้เขียนอ่านไม่เข้าใจครับ มิฉะนั้นก็คงจะไม่ขอแรงคณะนิติราษฎร์เป็นผู้ดำเนินการหรอก

   เครื่องมือที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพที่กล่าวนี้ก็คือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ Gross Domestic Product (GDP) ของแต่ละปีจะเป็นคำตอบแก่ทุกๆคนได้ดีที่สุด ว่าใครได้รับส่วนไหนไปเท่าไรของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ Gross Domestic Product (GDP) แต่ละปี เท่าที่ผู้เขียนพอทราบที่สามารถนำเสนอได้ไม่ละเอียดนัก โดยเริ่มเอาปีพ.ศ.2549 เป็นต้น 

   พบว่าปี 2549 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ Gross Domestic Product (GDP) จำนวนสิบล้านล้านบาท ปรากฏว่ารายได้ดังกล่าวนี้ถูกแบ่งไปยังกลุ่มบุคคลตามภาพที่นำเสนอจากจำนวนเงินสิบล้านล้านบาท ดังนี้

จำนวนเงินสิบล้านล้านบาท



           ดังนั้น เครื่องมือที่เรียกว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ Gross Domestic Product (GDP) บอกให้พวกเราชัดแจ้งว่าใครกลุ่มไหนเอาเปรียบใคร และใครกลุ่มไหนเสียเปรียบกลุ่มใด เพื่อความชัดแจ้งให้มากขึ้นก็ไล่ดูต่อมาทุกปีจนถึงปี พ.ศ.2554 หรือแถมปี 2555 ซึ่งยังไม่สิ้นปีเอาเป็นรายเดือนของปี 2555 ก็ได้ และควรทำกันทุกปี เราจะพบข้อเท็จจริงว่าใครกดขี่ขูดรีดใคร ตรงนี้เพียงเพื่อให้กลุ่มผู้เสียเปรียบถูกขูดรีด เหยียบย่ำอย่างไม่เป็นธรรม วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า เป็นหลายชั่วอายุคน ถ้าไม่แก้ไขความเดือดร้อน ทุกข์ยากของกลุ่มที่เสียเปรียบ ก็จะดำรงอยู่ตลอดไปและเราจะเรียกว่า ประเทศไทยทุกคนมีสิทธิเท่ากัน คนละหนึ่งสิทธิได้หรือ???  และถ้ากล่าวเป็นวิชาการก็คือ อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนคนละหนึ่งอำนาจคงไม่ได้ อย่างนี้เขาเรียกว่าพวกท่านเป็นอำเภอใจธิปไตยภายใต้ทุนผูกขาดเหนืออำนาจรัฐ

           เป็นข้อเท็จจริงในระดับหนึ่งที่นำเสนอนี้ รายละเอียดคงไม่เพียงพอเท่าไรนัก แต่อยากจะขอให้ผู้ที่มีความรู้จริง ไม่เพียงคณะนิติราษฎร์เท่านั้น ได้ต่อยอดเรื่องอำเภอใจธิปไตยภายใต้ทุนผูกขาดอำนาจเหนือรัฐด้วย การตรวจสอบธุรกิจทุกธุรกิจว่า มีธุรกิจอะไรบ้างที่หลบเลี่ยงภาษีหรือไม่เสียภาษีใดๆเลย เราก็จะได้พบความจริงว่า กลุ่มที่เอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นจำนวนมากกว่าคนกลุ่มอื่น ตามที่กล่าวแล้ว คนกลุ่มนี้ยังเอาเปรียบกลุ่มคนอื่นโดยการหลบเลี่ยงภาษีหรือไม่มีการเสียภาษีใดๆเลยเป็นจำนวนมากน้อยเท่าไร??? เพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศได้ทราบถึงความเลวร้ายของคนกลุ่มนี้เสียที ไหนๆพวกประชาชนทุกคนก็เป็นเจ้าของประเทศเช่นเดียวกับกลุ่มดังกล่าว แต่ถูกคนกลุ่มชนชั้นนายทุนผูกขาด อำมาตย์และศักดินาเอารัดเอาเปรียบทางเศรษฐกิจแก่กลุ่มอื่นทุกกรณี

   ถ้าเราทำการวิจัยหรือค้นคว้าเรื่องนี้อย่างจริงจังและสำเร็จได้อย่างสมบูรณ์แบบ โอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจก็จะเดินทางสู่ความเสมอภาคของทุกกลุ่มได้ในเร็ว ๆ นี้ และผู้เขียนเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า การเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้นแน่ เพียงแต่ไม่ทราบว่าวิธีการเปลี่ยนแปลงนั้นจะเป็นโดยวิธีใด อย่างไร อันนี้ไม่ทราบจริงๆ แต่มีศรัทธาต่อกฎธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์(เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับไป) ว่าจะเป็นผู้กำหนดแนวทางการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ เพียงรอเวลาให้กฎธรรมชาติได้ทำหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้เท่านั้น

    บัดนี้ ท่านคงตาสว่างแล้วว่า เราสู้อยู่กับใคร ต่อสู้เพื่ออะไร อย่าหลงเป้าหมายเป็นอันขาด ประชาธิปไตยคือสิ่งที่เราอยากได้มา ประชาธิปไตยคืออำนาจจากประชาชน  โดยประชาชน  และเพื่อประชาชน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น