วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ฆ่าคนตายโดยเจตนาชนักปักหลัง‘อภิสิทธิ์-สุเทพ’

ฆ่าคนตายโดยเจตนาชนักปักหลัง‘อภิสิทธิ์-สุเทพ’


         คณะพนักงานสอบสวน ที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 3 ฝ่าย ได้แก่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตำรวจ และอัยการ ที่ประชุมมีมติให้แจ้งข้อกล่าวหากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ว่าร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59, 83, 84 และ 288

         เสียงจากห้องแถลงข่าวของดีเอสไอ ส่งผลให้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพมีสถานะเป็นผู้ต้องหา เท่าเทียมกับอีกฝ่ายที่ถูกกล่าวหาว่าเผาบ้านเผาเมือง ก่อการร้าย


      พลิกดูฐานความผิดตามข้อกล่าวหาในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 ระบุเอาไว้ว่า
บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่กรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้กระทำโดยไม่ มีเจตนา กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สึกนึกในการที่กระทำ และขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น






      ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้ กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่การกระทำ ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย

   มาตรา 83, 84 อยู่ในหมวดตัวการและผู้สนับสนุน
   มาตรา 83 กำหนดว่า ในกรณีความผิดใดที่เกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามกฎหมายกำหนดไว้
   มาตรา 84 ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ไม่ว่าจะโดยการบังคับขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีการอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด  ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไปไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำ หรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ในขณะที่มาตรา 288 อยู่ในหมวดความผิดต่อชีวิต ระบุว่า ผู้ใดฆ่าผู้อื่นต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี


      นี่เป็นเพียงคดีแรกที่พนักงานสอบสวนตั้งข้อกล่าวหาต่อนายอภิสิทธิ์และนาย สุเทพ ซึ่งเป็นไปตามตามแนวทางที่ศาลได้มีคำสั่งกรณีการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง คนขับแท็กซี่  ที่เสียชีวิตหน้าคอนโดมิเนียมใกล้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ สถานีราชปรารภ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2553 ระหว่างการกระชับพื้นที่ในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองของคนเสื้อแดง ที่พยานหลักฐานชี้ชัดว่าเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติ ตามคำสั่งของ ศอฉ.  พนักงานสอบสวนให้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพมารายงานเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาวันที่ 12 ธ.ค.


      แต่ดูตามรูปการณ์แล้วคงน่าจะมีการขอเลื่อนออกไปก่อน อย่างน้อยๆก็น่าจะยื้อให้ถึงวันที่ 21 ธ.ค. ที่จะเปิดสมัยประชุมรัฐสภา ซึ่งจะทำให้ทั้งสองคนได้รับเอกสิทธิ์ความเป็น ส.ส. คุ้มครอง ไม่ถูกดำเนินคดีระหว่างสมัยประชุมสภา เพื่อตั้งหลักหาแนวทางต่อสู้คดีกันต่อไป เพราะหลังจากนี้ศาลจะทยอยมีคำสั่งหลังการไต่สวนสาเหตุการตายของคนเสื้อ แดงออกมาอีกหลายศพ ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพต้องถูกตั้งข้อหาฆ่าคนอื่นตายโดยเจตนาอีกหลาย คดี


     ส่วนผลสรุปของคดีนี้จะเป็นอย่างไรคงต้องใจเย็นๆ ติดตามกันไปเรื่อยๆ เพราะเป็นหนังชีวิตเรื่องยาวที่ต้องต่อสู้กันไปอีกเป็น 10 ปี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น