วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

"เทือก" โชว์แมน! กางปีกปกป้อง "มาร์ค" อ้าง "ตนลงนามในทุกคำสั่ง มาร์คไม่เกี่ยว"

"เทือก" โชว์แมน! กางปีกปกป้อง "มาร์ค" อ้าง "ตนลงนามในทุกคำสั่ง มาร์คไม่เกี่ยว"


วันที่ 7 ธันวาคม 2555 (go6TV) นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรับมนตรี ร่วมกันแถลงข่าวที่บริเวณลานพระแม่ธรณีบีบมวยผม หลังจากที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์อธิบดี ดีเอสไอ แถลงต่อสื่อมวลชนเพื่อให้รับทราบข้อกล่าวหา โดยเจ้าหน้าที่ได้นำเอกสารดังกล่าวมามอบให้กับบุคคลทั้งสองที่พรรคจากการ ประสานงานของนายสุเทพ ที่โทรศัพท์ไปหานายธาริต ในเรื่องตั้งข้อหานายอภิสิทธิ์ และตน เป็นผู้สั่งการให้ฆ่าคนตาย ซึ่งตนและนายอภิสิทธิ์ได้รับทราบจากสื่อมวลชนและประชาชนที่ห่วงใยว่า ประกาศออกหมายเรียก พร้อมกับถามว่านายอภิสิทธิ์และตนอยู่ที่ไหน ตนจึงเห็นว่ามีความตั้งใจปฏิบัติตามกฎหมายและคาดการณ์ว่าจะมีการตั้งข้อหาตน กับนายอภิสิทธิ์ หลังปิดสมัยประชุมเอาช่องว่างช้วงนี้มาดำเนนคดีกับตนทั้งสองคน ซึ่งเชื่อว่าคนไทยก็เห็นชัดเพราะมีการแถลงเป็นระยะ นำโดย ร.ต.อ.เฉลิม และนายธาริต ก็ให้สัมภาษณ์เป็นระยะ
ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนกับประชาชน เพราะดีเอสไอกับรัฐบาลอาจไปแอบอ้างว่าตนและนายอภิสิทธิ์หลบหนีหมาย ไม่ยอมรับหมายจึงโทรศัพท์ไปหานายธาริต ซึ่งเคยทำงานร่วมกับตนในช่วงที่เป็นกรรมการ ศอฉ. ซึ่งไม่เคยติดต่อมาก่อนหลังออกจากตำแหน่ง โดยสอบถามถึงการยื่นหมายให้ตนและนายอภิสิทธิ์รับด้วยตัวเอง จึงขอให้มายื่นหมายที่พรรคประชาธิปัตย์ แต่นายธาริตไม่มา ให้พนักงานชั้นผู้น้อย ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการของดีเอสไอ มาคนเดียวน่าสงสาร แต่ตอนแถลงข่าวประกาศใหญ่โต ตนขอบคุณนายธาริตที่ไม่ออกข่าวว่าตนหลบหนีไม่รับหมาย และขอบคุณที่ทำถูกต้องในการแถลงว่าจะไม่ดำเนินคดีกับทหาร ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย มุ่งดำเนินคดีกับตนและนายอภิสิทธิ์ เพราะดีเอสไอได้สร้างความทุกข์ใจให้ครอบครัวของตำรวจและทหารที่เข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ในช่วงปี 2552-2553 และมีการแสดงอาการข่มขู่เรียกไปสอบให้กล่าวหาตนและนายอภิสิทธิ์ ดังนั้นการที่นายธาริต พูดชัดเจนว่าไม่ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่จึงรู้สึกขอบคุณและขอร้องว่าอย่า สร้างความทุกข์ยากให้กับเจ้าหน้าที่เพราะเรื่องนี้มุ่งเป็นการเมือง ตนกับนายอภิสิทธิ์จะมอบตัวรัทราบข้อกล่าวหา พิสูจน์ข้อเท็จจริงตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เมื่อวานปฏิบัติภารกิจอยู่ที่แม่สอด รับทราบข่าวจากสื่อมวลชนจึงประสานมายังนายสุเทพ และไม่อยากให้ประชาชนสับสนเพราะนายธาริตลงลึกในเนื้อหาสาระข้อกฎหมาย รวมถึงเหตุการณ์ปี 53 ซึ่งเป็นการแถลงที่ไม่ครบถ้วนอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด ตนและนายสุเทพ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกฯและรองนายกฯ ในขณะนั้นเกิดการชุมนุมรัฐบาลดำเนินการทางกฎหมายโดยขออำนาจศาล เช่นเดียวกับผู้ชุมนุมขอให้ศาลให้ความคุ้มครอง ซึ่งศาลวินิจฉัยว่าการชุมนุมเกินเลยขอบเขตรัฐธรรมนูญ ตนและนายสุเทพ มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เมื่อสถานารณ์ลุกลามก็ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ดำเนินการตามโครงสร้างของกฎหมาย มอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่ชัดเจนว่าไม่มีการสลายการชุมนุม หลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่อการเกิดความสูญเสียของชีวิตประชาชนไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดก็ตาม ซึ่งนายธาริตน่าจะทราบดีเพราะเป็นกรรมการ ศอฉ.ด้วย
สำหรับ การปิดล้อมเพื่อไม่ให้คนเข้าไปชุมนุมด้วยการตั้งด่านประกาศเป็นเขตหวงห้าม แต่มีรถตู้พยายามฝ่าด่านเข้ามา นายพัน คำกอง ซึ่งเป็นผู้เสียชีวิตวิ่งออกมาดูเหตุการณ์และเสียชีวิตที่ศาลมีคำสั่งเบื้อง ต้นว่าเป็นกระสุนทางราชการ เมื่อประชาชชนทราบข้อเท็จจริงก็จะทราบว่ากรณีเช่นนี้เป็นการเจตนาฆ่าตามที่ มีการกล่าวหาหรือไม่ ตนยืนยันไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม และในขณะเป็นนายกฯก็ยังได้ตั้ง คอป.ตรวจสอบความจริงพบว่ามีชายชุดดำติดอาวุธแฝงตัวในผู้ชุมนุม อย่างไรก็ตามเมื่อดีเอสไอออกหมายเชิญให้รับทราบข้อกล่าวหาตนกับนาบสุเทพไม่ หนียอมรับกระบวนการยุติธรรมและใช้สิทธิตามกระบวนการยุติธรรมด้วย แต่ในวันที่ 12 จะกลับมาถึงกรุงเทพ เพราะมีกำหนดการไปต่างประเทศล่วงหน้า และวันที่ 13 ดีเอสไอให้ไปให้ถ้อยคำเรื่อการบริจาคเงินน้ำท่วม จึงแจ้งว่ามีกี่คดีให้เชิญไปในวันที่ 13 เพราะทราบว่าจะมีหลายคดี วันที่ 13 เวลา 13.30 น.จะไปดีเอสไอเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ให้ความร่วมมือ 
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องที่เกิดไม่น่าแปลกใจเพราะตั้งแต่ต้นปีมีการส่งสัญญาณมาถึงตนโดยตรงและโดยอ้อมว่าจะต้องดำเนินการตนและนายสุเทพ โดยสอบถามว่าคิดอย่างไรกับการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ผ่านหลายช่องทางหลายบุคคล จึงทราบว่าถ้าตนและนายสุเทพ ยืนยันว่าต้องการให้ระบบกฎหมายมาก่อน ก็จะมีความพยายามต่อรองทางการเมืองด้วยการดำเนินคดีกับตนและนายสุเทพ ตั้งข้อสังเกตถ้อยแถลงของนายธาริตแทบจะล้อข้อความของ ร.ต.อ.เฉลิมแบบคำต่อคำ คือมีธงล่วงหน้า ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เป็นขบวนการจึงอยากฝากบอกไปยังคนคิดวางแผนเรื่องนี้และคิดว่าจะได้ประโยชน์ ขอบอกว่าไม่มีผลเพราะอย่างไรตนและนายสุเทพ ไม่ต่อรองผลประโยชน์เรื่องคดีความ บืนยันคนผิดต้องรับผิด กระบวนการปรองดองแท้จริงต้องแสวงหาข้อเท็จจริง ความรับผิดชอบ ไม่แลกเปลี่ยนกับคนโกงชาติโกงแผ่นดิน ถ้าศาลตัดสินให้รับโทษประหารชีวิตหรือติดคุกกฌพร้อมน้อมรับ แต่ไม่ยอมให้มีการล้างผิดให้คนโกง เพื่อรักษาระบบกฎหมายของบ้านเมือง
นายสุเทพ ทุกคำสั่งลงนามผู้เดียวอภิสิทธิ์ไม่เกี่ยวข้องกับการลงนามในคำสั่ง เพราะเป็น ผอ.ศอฉ.ไม่ควรดึงนายอภิสิทธิ์มาเป็นผู้ต้องหาร่วมกับตน แต่เพราะถ้าตนเป็นผู้ต้องหาคนเดียวไม่มีพลังพอที่จะข่มขู่ต่อรองประชาชนให้ออกกฎหมายล้างผิดคนโกง เผาเมือง จึงต้องลากนายอภิสิทธิ์ มาเป็นผู้ต้องหาร่วมด้วย ซึ่งนายอภิสิทธิ์ พูดกับตนแต่ต้นว่าถ้าจะมาต่อรองบีบบังคับเราให้เห็นชอบกับกฎหมายล้างความผิดเราไม่ยอม ยอมติดคุกดีกว่าให้เสียงข้างมากกดขี่คนไทยทำลายนิติรัฐ นิติธรรม แม้โทษสูงสุดประหารชีวิต ยินดีรับโทษทัณฑ์ อย่ามาต่อรองไม่มีประโยชน์ เพราะพวกตนจะไม่ยอมให้ระบบบ้านเมืองเสียหายโดยเด็ดขาด และจะสู้เคียงข้างประชาชนอย่างถึงที่สุด ฝากบอกประชาชนว่าอย่ายอม ถ้าจะต้องติดคุกช่วยพวกตนก็ขอให้ส่งข้าว ส่งน้ำให้แทน
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ย้ำจุดยืนพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะต่อต้านการรื้อรัฐธรรมนูญล้างผิดคนโกงอย่างถึงที่สุดทั้งในและนอกสภา และอยากให้ประชาชนมีความมั่นใจต่อระบบรัฐสภาเพราะเป็นคนละส่วนกับตัวบุคคล ทั้งนี้ตนและนายสุเทพ พร้อมออกมาเคลื่อนไหวในฐานะประชาชนเพื่อรักษาหลักการของบ้านเมือง ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการเล่นนอกสภา เพราะจะไม่มีการปลุกปั่นทำร้ายบ้านเมือง แต่จะเคลื่อนไหวในกรอบของกฎหมายเพื่อรักษาบ้านเมือง ทั้งนี้ยังเตรียมที่จะรักษาสิทธิตามกฎหมายของตัวเองจากการดำเนินคดีของดีเอสไอด้วยเช่นเดียวกันว่าเป็นการกลั่นแกล้ง หรือดำเนินการโดยมิชอบหรือไม่ ทั้งนี้มั่นใจว่าประชาชนมีความเข้าใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและไม่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของตนให้ต้องมีมลทินหรือมัวหมอง เนื่องจากตลอด 20 ปีบนเส้นทางการเมืองได้พิสูจน์ตัวเองมาโดยตลอดว่ายึดประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นประชาชนก็เห็นชัดเจนว่ารัฐบาลชุดนี้มีเจตนากลั่นแกล้งตนตั้งแต่กรณีการปลดออกจากราชการ มาจนถึงการดำเนินคดี ซึ่งเชื่อว่ายังมีอีกหลายคดีที่จะตามมาเพื่อให้มีมลทินติดตัว แต่ยืนยันว่าไม่หวั่นไหว และไม่กลัว พวกตนในฐานะเป็นฝ่ายนโยบายพร้อมรับผิดชอบ ไม่มีทางหลบหนีแน่นอน
การ ดำเนินการของรัฐจะทำให้การเมืองเข้มข้นขึ้น เพราะรัฐบาลได้สร้างความอึดอัดสะสมกับประชาชนจนอาจเกิดวิกฤตรอบใหม่ และผมได้ขอรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการสอบสวนและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อ มาพิจารณาในการดำเนินคดีด้วยหากพบว่ามีการกลั่นแกล้งหรือทำผิดกฎหมาย เพราะการเมืองไทยยุคนี้คนมีอำนาจมีนิสัยอย่างนี้ พวกเรารู้ดีว่าการบริหารงานมีความเสี่ยงในการรับผิดชอบต่อบ้านเมืองเหตุการณ ที่เกิดขึ้นก็เป็นการคืนความสงบให้กับประเทศโดยไม่มีการสลายการชุมนุม พวกผมต่อสู้ตามระบบ กฎหมายยอมรับกระบวนการยุติธรรมไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรนายอภิสิทธิ์ กล่าว
อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า จะทำหน้าที่ตรงไปตรงมายึดผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ถ้าวันนี้กระบวนการยุติธรรมไทยบอกว่าพวกตนผิด ถึงขั้นจะต้องถูกประหารชีวิตตนก็ยอมเพราะถือว่าทำหน้าที่ตรงไปตรงมาต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตนเอง ซึ่งตนมั่นใจว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ใครจะมาเอาชีวิตตนไปต่อรองอะไรตนไม่สนใจ ยืนยันต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม และประชาชนเห็นชัดเจนว่ารัฐบาลทำเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ทำให้การต่อสู้เข้มข้นขึ้นเพราะประชาชนรับไม่ได้กับความไม่ยุติธรรม ความพยายามที่จะฉ้อฉลอำนาจและจะมีการออกมาเรียกร้องมากขึ้น ตนเตือนรัฐบาลมาแต่ต้นว่าควรแก้ปัญหาให้ประเทศอย่าสร้างผมเงื่อนความขัดแย้งใหม่แต่รัฐบาลไม่สนใจ แต่พวกตนจะทำหน้าที่ต่อไปในการตรวจสอบรัฐบาลซึ่งควรไปดูแลประชาชน ปัญหาภาคใต้ อย่ามาเสียเวลากับพวกตน ให้เป็นหน้าที่ของศาลและกระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ตัดสิน และทั้งหมดก็เป็นเครื่องยืนยันแล้วว่าที่นายกรัฐมนตรี ระบุในสภาว่าจะแก้ไขไม่แก้แค้นสร้างความปรองดองนั้น เป็นเพียงแค่คำพูดเท่านั้น สร้างความอึดอัดให้ประชาชนมากขึ้นเพราะรัฐบาลไม่นำพาต่อปัญหาประเทศสนใจแต่ปัญหาของนายใหญ่ใช้อำนาจกลไกรัฐ หน่วยงานด้านความมั่นคง กระบวนการยุติธรรมเป้นเครื่องมือการเมือง ถือเป็นสัญญาณอันตราย ซึ่งตนเตือนหลายครั้งแล้วด้วยความหวังดีเพราะไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งในบ้านเมืองแล้ว แต่คนไทยคงยอมให้ความอยุติธรรม ความไม่ถูกต้องมาครอบคลุมบ้านเมืองไม่ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น