เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา แกนนำของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่นำโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายพิภพ ธงไชย และ นายสมเกียรติ พงศ์ไพบูลย์ ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 5 ประกาศยุติบทบาทการเคลื่อนไหวทางการเมืองในนามของกลุ่มพันธมิตร
ในแถลงการณ์ของฝ่ายพันธมิตร อธิบายว่า การยุติบทบาทสืบเนื่องมาจากการที่ฝ่ายพันธมิตรถูกกลั่นแกล้ง โดยยัดเยียดข้อหาอันเป็นเท็จ ในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ แม้ว่าศาลจะให้ประกันตัว แต่ก็มีเงื่อนไขไม่ให้เคลื่อนไหวทางการเมือง ดังนั้น ถ้าฝ่ายพันธมิตรจะเคลื่อนไหวฝ่าฝืนคำสั่งศาล ผลตอบแทนต้องคุ้มค่า ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงประเทศได้อย่างแท้จริง แต่ในขณะนี้ ต่อให้เคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลได้สำเร็จ ก็อาจจบลงด้วยการยุบสภา แล้วพรรคเพื่อไทยกลับมาอีก หรือมีการสลับขั้วทางการเมือง หรือรัฐประหาร แต่ไม่มีการปฏิรูปประเทศไทย การเสียสละของแกนนำฝ่ายพันธมิตรย่อมไม่คุ้มค่า ฝ่ายพันธมิตรเห็นว่า การชุมนุมที่คุ้มค่าจะต้อง”นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบการเมือง และปฏิรูปประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเท่านั้น” ดังนั้น แกนนำฝ่ายพันธมิตรจึงมีมติเอกฉันท์ที่จะยุติบทบาทเพื่อให้แกนนำ นักปราศรัย ศิลปิน พิธีกร ประชาชน ได้ตัดสินใจด้วยตนเองที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมกับกลุ่มใดก็ได้อย่างอิสระเลรี และเปิดโอกาสให้เกิดขบวนการใหม่ในสังคมไทย และแถลงการณ์ได้ย้ำว่า การยุติบทบาทครั้งนี้”ถือเป็นยุทธวิธีเดียวเท่านั้น ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้มีอำนาจในปัจจุบัน หรือผู้ที่มีโอกาสจะมีอำนาจในอนาคต รวมถึง ทหารภายใต้จอมทัพไทยและศาลที่กระทำการภายใต้พระปรมาภิไธย ตลอดจนผู้ที่มีบทบาทในบ้านเมือง รวมถึงประชาชนทั่วไป ได้ตัดสินใจที่จะทำหน้าที่ของตนเองและเลือกเดินทางของตัวเอง”
กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก่อตั้งอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 ในการเคลื่อนไหว ”กู้ชาติ” คือการต่อต้านรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลังจากการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับเทมาเส็กสิงคโปร์ อันเป็นชนวนเหตุให้เกิดการต่อต้านรัฐบาลอย่างกว้างขวาง หลังจากนั้น กลุ่มพันธมิตรก็ประสบความสำเร็จในการสร้างเงื่อนไขให้เกิดการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ที่นำมาสู่การล้มรัฐบาลไทยรักไทย และนำไปสู่การยุบพรรค ต่อมา เมื่อ ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ฟื้นตัวมาในนามพรรคพลังประชาชน และสามารถจัดตั้งรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2552 กลุ่มพันธมิตรก็ใช้เรื่องเขาพระวิหารมาเป็นข้ออ้างปลุกชาตินิยม และชุมนุมต่อต้านรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม ปีเดียวกัน และการชุมนุมยืดเยื้อไปจนถึงวันที่ 3 ธันวาคม ซึ่งเป็นเวลาถึง 193 วัน และในระหว่างการชุมนุมฝ่ายพันธมิตรก็ได้เข้ายึดทำเนียบรัฐบาล และยึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ซึ่งความเสียหายอย่างมหาศาลแก่ประเทศชาติ สัญลักษณ์ในการต่อสู้ของฝ่ายพันธมิตรคือการใช้เสื้อเหลือง และผ้าพันคอสีฟ้า เพื่ออ้างว่าเป็นการเคลื่อนไหวด้วยความจงรักภักดี เพื่อจะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ การเคลื่อนไหวครั้งนั้นประสบความสำเร็จในการสร้างเงื่อนไขให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคพลังประชาชนและเปิดทางให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาล
ต่อมา ในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2554 กลุ่มพันธมิตรเคลื่อนไหวครั้งสุดท้าย คือการชุมนุม 158 วัน เพื่อคัดค้านรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ การชุมนุมยืดเยื้อมาถึงช่วงก่อนการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 3 กรกฎาคม ปีเดียวกัน ซึ่งลงท้ายด้วยการรณรงค์โหวตโน และยุติการชุมนุมลงก่อนเลือกตั้ง 1 วัน ในครั้งนี้การเคลื่อนไหวของฝ่ายพันธมิตรไม่บรรลุผลแต่อย่างใด และผลการเลือกตั้งนำมาสู่ชัยชนะของพรรคเพื่อไทย โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งตั้งรัฐบาลบริหารประเทศมาถึงปัจจุบัน และภายใต้การบริหารของรัฐบาลนี้ ฝ่ายพันธมิตรยังไม่ได้มีการเคลื่อนไหวจริงจังเลย การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลที่เกิดขึ้นโดยมากเป็นผลงานของกลุ่ม 13 สยามไท ที่นำโดย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน และ นายชัยวัฒน์ สินสุวงศ์ หรือกลุ่มอื่นที่ค่อนข้างแตกแยกกับฝ่ายพันธมิตรด้วยซ้ำ จึงกล่าวได้ว่า ฝ่ายพันธมิตรได้ยุติบทบาทมาแล้วนานกว่า 2 ปี การประกาศยุติบทบาทจึงเป็นเพียงการยืนยันสิ่งที่เป็นไปแล้วของฝ่ายพันธมิตรนั่นเอง และจึงคาดหมายได้ว่า การยุติบทบาทของแกนนำฝ่ายพันธมิตรจะไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะความจริง
ประเด็นสำคัญคือ แกนนำฝ่ายพันธมิตรประเมินแล้วว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองในลักษณะเดิมคงจะไม่บรรลุ มีความเป็นไปได้ว่า ถ้าหากฝ่ายพันธมิตรเรียกชุมนุมเพื่อต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในขณะนี้ ก็น่าไม่มีผู้มาร่วมมากนัก จำนวนผู้ชุมนุมคงอยู่ในระดับเดียวกับกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณที่ชุมนุมกันอยู่ที่สวนลุมพินีขณะนี้ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลทางการเมืองอันใดเลย ด้วยการคาดการณ์มวลชนสนับสนุนเพียงจำนวนนี้ การล้มเลิกหรือยุติบทบาทจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อรักษาภาพแห่งความสำเร็จในอดีตเอาไว้
ดังนั้น ประเด็นที่น่าสนใจขณะนี้ก็คือ สาเหตุอะไรที่ทำให้การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลือง กลุ่มสลิ่ม หน้ากากขาว และกลุ่มอื่นที่มีลักษณะเดียวกันไม่ประสบความสำเร็จ และมีคนเข้าร่วมน้อยลงทุกที
คำตอบสำคัญของเรื่องนี้ คือการล่มสลายของอุดมการณ์ฝ่ายขวาของฝ่ายพันธมิตรและพวกเหลืองสลิ่ม ที่ประการแรกสุด ใช้วิธีการผูกขาดการอ้างความภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นพวกล้มเจ้า ไม่จงรักภักดี ประการต่อมา คือ ข้ออ้างเรื่องชาตินิยม ปกป้องเขาพระวิหารและสร้างความเกลียดชังเพื่อนบ้าน ปรากฏว่าในระยะ 5 ปีที่ผ่านมากลุ่มนักวิชาการจำนวนมากก็ต่อต้านคัดค้าน ประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่สนับสนุน ข้ออ้างลักษณะนี้เสื่อมความนิยมลงทุกที ไม่สามารถสร้างนำมาสร้างกระแสการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพได้
แต่ประเด็นที่เหลวไหลมากกว่านั้น ก็คือ การต่อต้านประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง เพราะในแนวคิดของกลุ่มฝ่ายขวาเหล่านี้เห็นว่า การเลือกตั้งจะนำมาสู่ชัยชนะของพรรคการเมืองฝ่ายทักษิณ ระบอบประชาธิปไตยจึงไม่ใช่ระบอบที่ดี เพราะประชาชนขาดความรู้ จึงเลือกพรรคการเมืองที่ทุจริตมาบริหารประเทศ และใช้เสียงข้างมากมาทำการเผด็จการรัฐสภา กลุ่มฝ่ายขวาเหล่านี้จึงปฏิเสธระบอบรัฐสภา ฝ่ายพันธมิตรไปไกลกว่านั้น โดยการปฏิเสธพรรคประชาธิปัตย์ด้วย การเมืองแบบเลือกตั้งจึงไม่อาจให้ความหวังอันใดได้ แต่ปัญหาก็คือฝ่ายพันธมิตรก็ไม่ประสบความสำเร็จในการนำเสนอระบอบการเมืองใหม่ที่จะมีหลักประกันว่าจะมี”คนดี”มาบริหารบ้านเมือง ข้อเสนอให้ทหารก่อการรัฐประหาร แล้วตั้งรัฐบาลพระราชทาน หรือรัฐบาลที่กำกับโดยศาล คงไม่อาจจะสร้างการยอมรับได้
อาจจะสรุปได้ว่า จุดจบของฝ่ายพันธมิตรคือการตกต่ำของอุดมการณ์ชาตินิยม และข้ออ้างเรื่องปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และยังสะท้อนความเสื่อมถอยของอุดมการณ์ต่อต้านประชาธิปไตย เงื่อนไขเหล่านี้ จะนำไปสู่เสถียรภาพที่มากยิ่งขึ้นของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร การเคลื่อนไหวของฝ่ายสลิ่มที่เหลืออยู่ เป็นเพียงพวกแมลงหวี่แมลงวันที่ไม่อาจสร้างผลสะเทือนอะไรได้เลย
หมายเหตุ : เผยแพร่ครั้งแรก โลกวันนี้วันสุข ฉบับที่ 427 31 สิงหาคม 2556
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น