วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

'วีรพัฒน์' แจงไม่ได้พาดพิงกองทัพกรณีถูกคนร้ายข่มขู่เอาชีวิต



30 พ.ค. 2557 นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ ได้ส่งแถลงข่าว ฉบับที่ 2 กรณีคนร้ายไม่ทราบฝ่ายข่มขู่เอาชีวิต ให้กับสื่อมวลชนโดยมีรายละเอียดดังนี้:
 
จากกรณีที่สื่อมวลชนบางรายได้รายงานข่าวทำนองว่า ผมได้กล่าวหาพาดพิงกองทัพ หรือ คสช. ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีมีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงข่มขู่ลอบทำร้ายผมและครอบครัวที่บ้านเมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมานั้น ผมขอเรียกร้องให้สื่อมวลชน โปรดแก้ไขการรายงานข่าวดังกล่าวให้ถูกต้อง ดังนี้
 
           1. ผมไม่เคยกล่าวหาพาดพิงกองทัพ หรือ คสช. ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีมีคนร้ายดังกล่าวแต่อย่างใด โดยผมได้เผยแพร่คลิปแถลงข่าวครั้งแรก เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยใช้คำพูดอย่างชัดเจนว่ามีกรณี "คนร้ายไม่ทราบฝ่าย" ก่อเหตุ และได้กล่าวย้ำในการแถลงข่าวต่อไปว่า แม้ผมจะไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร แต่ผมมีความเชื่อว่าทหารก็ยังเป็นทหารของประชาชน และมุ่งหมายจะรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และฝากความหวังที่ทหารจะร่วมมือกับตำรวจ และพลเมืองดีในการติดตามหาตัวคนร้ายมารับโทษต่อไป
 
           2. ผมมีจุดยืนและหลักการที่ชัดเจนว่าผมไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร และในขณะเดียวกัน ผมมีจุดยืนและหลักการที่สนับสนุนการหาทางออกผ่านการพูดคุยด้วยเหตุผล ในลักษณะที่ไม่มีการยุยง ปลุกปั่น หรือบังคับขู่เข็ญ และมีความยินดีที่จะติดต่อสื่อสาร รับฟัง ทำความเข้าใจ และแลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็นทั้งที่เหมือนและต่างกับทุกฝ่าย เพื่อร่วมมือกับทุกฝ่ายในการรักษาความสงบเรียบร้อยและหาทางออกให้บ้านเมือง 
 
ดังนั้น ผมจึงไม่เคยปฏิเสธที่จะพูดคุยหรือติดต่อสื่อสารกับ คสช. เพียงแต่ ณ เวลานี้ ผมมีเหตุผลความจำเป็นที่ต้องเดินทางมาต่างประเทศ เพื่อความปลอดภัยของชีวิตของผมและครอบครัว ประกอบกับการปฏิบัติภารกิจการบรรยายวิชาการที่ได้นัดหมายล่วงหน้า จึงยังไม่สามารถเดินทางกลับประเทศไทยในขณะนี้ 
 
            3. ทางกองทัพและ คสช. ได้แสดงความปรารถนาดีที่จะช่วยดูแลความปลอดภัยให้ผมและครอบครัว และแม้ผมจะยังมั่นคงในจุดยืนและหลักการที่กล่าวมาอย่างไม่หวั่นไหว แต่ผมขออธิบายข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์คนร้ายลอบก่อเหตุต่อผมและครอบครัวผมล่าสุดนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก โดยนับแต่สถานการณ์บ้านเมืองมีความไม่สงบ ก็ได้มีคนร้ายใช้อาวุธปืนปองร้ายข่มขู่ผมและครอบครัวถึงบ้านพักอาศัยมาแล้วก่อนหน้านี้ และแม้ผมจะได้ดำเนินการแจ้งความแล้วไปตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แต่ก็ยังไม่อาจหาตัวคนร้ายได้ จนล่าสุดมีการก่อเหตุซ้ำซ้อน และที่สำคัญเป็นการก่อเหตุในช่วงบ่าย หลังโรงเรียนเลิก และผู้คนพลุกพล่าน อีกทั้งใกล้เคียงกับเวลาที่เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการตรวจด่านรักษาความปลอดภัยในบริเวณเกิดเหตุ 
 
ดังนั้น พฤติการณ์ของคนร้ายไม่ทราบฝ่ายดังกล่าว จึงแสดงถึง ความอุกอาจ รุนแรง และอันตราย เกินกว่าที่จะรักษาความปลอดภัยตามปกติ จึงต้องใช้มาตรการตามความจำเป็น คือ การพำนัก ณ ต่างประเทศจนกว่าจะได้มีการจับกุมคนร้ายและสถานการณ์บ้านเมืองได้กลับคืนมาปกติ โดยหากผมเดินทางกลับประเทศไทย ณ เวลานี้ ย่อมเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการก่อเหตุทำร้ายหรือเอาชีวิตอันจะยิ่งกลายเป็นเหตุให้ความไม่สงบและความขัดแย้งบานปลาย อันขัดต่อวัตถุประสงค์สำคัญของ คสช. อันได้แก่การรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงปลอดภัยของประชาชน 
 
           4. ล่าสุด ผมได้ทำหนังสือชี้แจงเหตุจำเป็นในการเดินทางมาต่างประเทศ และมีความหวังว่า คสช. จะมีความเห็นใจผมและครอบครัว และเข้าใจในสถานการณ์ที่มีคนร้ายข่มขู่เอาชีวิต อันเป็นเหตุจำเป็นที่ผมยังไม่สามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้ในเวลานี้ แต่ผมพร้อมจะพูดคุยสื่อสารกับ คสช. ตามช่องทางที่เหมาะสมต่อไป
 
            5. ผมขอเรียกร้องให้สื่อมวลชนนำเสนอข่าวด้วยความระมัดระวัง และมีสำนึกในจรรยาบรรณวิชาชีพ โดยอย่างน้อยที่สุด หากจะนำเสนอข่าวใดที่มีการพาดพิงถึงตัวผม ก็โปรดได้สอบถามข้อเท็จจริงจากผมโดยตรงก่อนนำเสนอข่าวให้เกิดความเข้าใจผิดพลาดคลาดเคลื่อน ดังที่เห็นได้ในหลายกรณีที่ผ่านมา เช่น กรณีการรายงานข่าวเกี่ยวกับการบรรยายที่ต่างประเทศโดยไม่ได้รับเชิญ ซึ่งเป็นการปล่อยข่าวเท็จอย่างไร้ความรับผิดชอบ เป็นต้น 
 
         ทั้งนี้ ผมได้โทรศัพท์พูดคุยกับ พันเอก วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อทำความเข้าใจสิ่งที่ได้กล่าวมาตรงกันแล้ว และหวังว่าการที่ทุกฝ่ายพูดคุยทำความเข้าใจกันด้วยเหตุผล ด้วยการร่วมแรงร่วมใจ และไม่บังคับขู่เข็ญกัน จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ประเทศชาติกลับไปสงบสุขได้ดังเดิม.
 
วีรพัฒน์ ปริยวงศ์
30 พ.ค. 2557

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น