9 ธ.ค.2557 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจำคุกอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นเวลา 12 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ในคดีที่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ฟ้องความผิดฐานหมิ่นประมาททำให้เสียชื่อเสียง
สำหรับคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกล่าวข้อความเท็จ ยุยง ปลุกปั่นประชาชนที่รับฟังปราศรัย ทำให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง กระทั่งเหตุการณ์บานปลายทำให้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง จึงพิพากษาให้จำคุก 12 เดือน แต่ด้วยเหตุที่กล่าวพาดพิงสถาบันจึงไม่รอการลงโทษและให้จำเลยลงโฆษณาคำพิพากษาในสื่อหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับติดต่อกันเป็นเวลา 7 วัน
ขณะที่ทนายความของอริสมันต์ เปิดเผยว่าได้ยื่นประกันศาลชั้นต้นเป็นเงินสดจำนวน 200,000 บาท และเบื้องต้นจะเพิ่มวงเงินประกันเป็นเงินสดอีก 300,000 บาท รวมเป็น 500,000 บาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาของศาล
รายละเอียดเพิ่มเติม เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณา 604 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ 4177/2552 ที่ อภิสิทธิ์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง อริสมันต์ จำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา จากกรณีเมื่อเดือน ต.ค. 2552 จำเลยปราศรัยที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและหน้าทำเนียบรัฐบาล ถ่ายทอดสดผ่านช่องพีเพิล แชนแนล ออกอากาศไปทั่วประเทศ กล่าวหาโจทก์ทำนองว่า การบริหารงานรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ กู้ยืมเงินมาเพื่อทุจริตคดโกงในโครงการต่างๆ และกล่าวหาว่าโจทก์เป็นผู้หน่วงเหนี่ยวคำร้องฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้ล่าช้า รวมถึงสั่งทหารฆ่าประชาชน ปล้นอำนาจจากประชาชน และไม่ดำเนินการตรวจสอบการทุจริตในโครงการต่างๆ ซึ่งการปราศรัยของจำเลยล้วนเป็นเท็จ ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า โจทก์และจำเลยเป็นนักการเมืองที่อยู่พรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม และมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน สาระสำคัญที่จำเลยพูดปราศรัยมิใช่เป็นการแสดงอุดมการณ์ทางการเมือง แต่จำเลยกล่าวปราศรัยสรุปว่าโจทก์และรัฐบาลของโจทก์มีเรื่องทุจริต ซึ่งเป็นการยืนยันข้อเท็จจริง ไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต อีกทั้งการเมืองเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประชาชน ประเทศชาติและบ้านเมือง มิใช่เป็นการนำเอาถ้อยคำที่ดุเด็ดเผ็ดมันมาพูดปราศรัยโจมตีฝ่ายตรงข้ามตามที่จำเลยกล่าวอ้าง ข้ออ้างของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยปราศรัยว่ารัฐบาลโจทก์ทุจริตคอรัปชั่นในโครงการต่างๆและคลิปเสียงที่อ้างว่าโจทก์สั่งฆ่าประชาชนนั้น เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นติชมโดยสุจริต เห็นว่า แม้จำเลยจะไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลและมีสิทธิจะวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบโจทก์ในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่คำปราศรัยของจำเลยได้กล่าวยืนยันข้อเท็จจริง โดยจำเลยไม่ได้ตรวจสอบให้ได้ความจริงก่อน และส่อแสดงให้เห็นเจตนาไม่สุจริตของจำเลย จึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาใส่ความให้โจทก์เกิดความเสียหาย
ส่วนที่จำเลยปราศรัยว่าโจทก์เป็นผู้หน่วงเหนี่ยวคำร้องฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้นเห็นว่า เป็นเรื่องที่จำเลยเข้าใจไปเอง ซึ่งข้อเท็จจริงนั้น โจทก์จะต้องปฏิบัติตามหน้าที่ตามขั้นตอนของกฎหมายบ้านเมือง ส่วนที่จำเลยปราศรัยว่าโจทก์ปล้นอำนาจไปจากประชาชนนั้นเห็นว่า วาทะทางการเมืองจะต้องมีสาระและมีประโยชน์ต่อประชาชน คำว่าปล้นมิใช่วาทะที่ยอมรับกันได้ในสังคม ที่จำเลยอ้างว่าแม้จะเป็นถ้อยคำรุนแรง แต่ก็เป็นวาทะทางการเมืองนั้นฟังไม่ขึ้น นอกจากนี้จำเลยยังมีการกล่าวปราศรัยถึงสถาบันนั้นเห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ย่อมเป็นที่เคารพสักการะของปวงชนชาวไทย จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะกล่าวปราศรัยพาดพิง อุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย
ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยที่ขอให้ลงโทษสถานเบาและให้รอการลงโทษนั้นเห็นว่า จำเลยเป็น ส.ส.จะต้องมีความสำนึกและความรับผิดชอบ จะต้องทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติบ้านเมืองเป็นหลัก มิใช่กล่าวปราศรัยโจมตีบุคคลอื่นซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองกับตัวจำเลยด้วยถ้อยคำที่ดุเด็ดเผ็ดร้อนโดยอ้างว่าเป็นวาทะทางการเมืองซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องที่ศาลชั้นต้นไม่รอการลงโทษจำเลยนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเหมาะสมแล้ว พิพากษายืน จำคุก 12 เดือน ตามศาลชั้นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น