15 ธ.ค.2558 ศาลจังหวัดอุบลราชธานีอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีเผาศาลากลางจังหวัดอุบลฯ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 วัฒนา จันทศิลป์ ทนายความของ 13 จำเลยในคดีนี้เปิดเผยข้อมูลว่า ศาลฎีกากลับคำพิพากษาในส่วนของจำเลยหลายคน บางคนจากที่เคยยกฟ้องในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็กลับถูกพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตในชั้นศาลฏีกา หลายรายได้รับโทษจำคุก 1-2 ปีก่อนหน้านี้ก็ถูกพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต แต่ลดเหลือ 33 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลย 4 รายเดิมที่ถูกคุมขังมาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2553 ด้วยโทษ 33 ปี 12 เดือนนั้นศาลฏีกาพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ลดเหลือ 33 ปี 4 เดือน
โดยเฉพาะ ดีเจต้อย พิเชษฐ์ ทาบุดา ดีเจและแกนนำกลุ่มชักธงรบ ซึ่งเป็นกลุ่มมวลชนขนาดใหญ่ในจังหวัดอุบลราชธานี จากเดิมที่ถูกตัดสินจำคุก 1 ปีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์นั้น ในชั้นศาลฎีกาถูกพิพากษาให้ได้รับโทษจำคุกหนักที่สุดในบรรดาจำเลยทั้งหมด 13 ราย คือ ประหารชีวิต แต่ได้รับการลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต
รายละเอียดมีดังนี้
1.นายพิเชษฐ ทาบุตรดา จำเลยที่ 1 โทษประหารชีวิต ลดเหลือจำคุกตลอดชีวิต
(ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์สั่งจำคุก 1 ปี แต่เนื่องจากถูกจำคุกมาก่อนพิพากษาแล้ว 15 เดือนจึงได้รับการปล่อยตัว)
2.นางอรอนงค์ บรรพชาติ จำเลยที่ 2 จำคุกตลอดชีวิต ลดเหลือ 33 ปี 4 เดือน
(ศาลชั้นต้นสั่งจำคุก 8 เดือน ศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก 2 ปี ถูกจำคุกมาก่อนแล้ว 15 เดือนจึงได้รับการปล่อยตัว)
3.นางสุมาลี ศรีจินดา จำเลยที่ 3 จำคุก 2 ปี
(ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก 2 ปี ได้รับการประกันตัวชั้นอุทธรณ์)
4.นายประดิษฐ์ บุญสุข จำเลยที่ 4 จำคุก 2 ปี
(ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ สั่งจำคุก 2 ปี ได้รับการประกันตัวชั้นอุทธรณ์)
5.นางสาวปัทมา มูลนิล จำเลยที่ 5 จำคุกตลอดชีวิต ลดเหลือ 33 ปี 4 เดือน
(ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก 33 ปี 12 เดือน ถูกคุมขังมาตลอด)
6.นายลิขิต สุทธิพันธ์ จำเลยที่ 7 จำคุกตลอดชีวิต ลดเหลือ 33 ปี 4 เดือน
(ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก 2 ปี ได้รับการประกันตัวชั้นอุทธรณ์)
7.นายธีรวัฒน์ สัจสุวรรณ จำเลยที่ 9 จำคุกตลอดชีวิต ลดเหลือ 33 ปี 4 เดือน
(ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก 33 ปี 12 เดือน ถูกคุมขังมาตลอด)
8.นายชัชวาลย์ ศรีจันดา จำเลยที่ 11 จำคุกตลอดชีวิต
(ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง)
9.นายสนอง เกตุสุวรรณ์ จำเลยที่ 12 จำคุกตลอดชีวิต เหลือ 33 ปี 4 เดือน
(ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จำคุก 33 ปี 12 เดือน ถูกคุมขังมาตลอด)
10.นายสมจิต สุทธิพันธ์ จำเลยที่ 16 จำคุก 1 ปี
(ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์สั่งยกฟ้อง)
11.นายสมศักดิ์ ประสานทรัพย์ จำเลยที่ 17 จำคุกตลอดชีวิต ลดเหลือ 33 ปี 4 เดือน
(ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก 33 ปี 4 เดือน ถูกคุมขังมาตลอด)
12.นายไชยา ดีแสง จำเลยที่ 18 จำคุก 2 ปี
(ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก 2 ปี ถูกจำคุกมาแล้ว 1 ปี 9 เดือน ได้รับการประกันตัวในชั้นอุทธรณ์)
13.นายพิสิษฐ์ บุตรอำคา จำเลยที่ 19 จำคุก 2 ปี
(ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก 2 ปี ได้รับการประกันตัวชั้นฎีกา)
หมายเหตุ : จำเลยในคดีนี้ที่ศาลพิพากษายกฟ้องและคดีสิ้นสุดไปในชั้นอุทธรณ์
นายสีทน ทองมา จำเลยที่ 6 ศาลชั้นต้นยกฟ้องทุกข้อกล่าวหา อัยการไม่อุทธรณ์ คดีถึงที่สุด รอการเยียวยา
นางบุญเหรียญ ลิลา จำเลยที่ 8 ศาลชั้นต้นยกฟ้องทุกข้อกล่าวหา อัยการไม่อุทธรณ์ คดีถึงที่สุด รอเยียวยา
นายอุบล แสนทวีสุข จำเลยที่ 10 ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 8 เดือน แต่ถูกจำคุกอยู่นาน 15 เดือน อัยการไม่ติดใจอุทธรณ์ คดีถึงที่สุด รอเยียวยา
นายถาวร แสงทวีสุข จำเลยที่ 13 ศาลชั้นต้นยกฟ้อง อัยการไม่อุทธรณ์ คดีถึงที่สุด รอเยียวยา
นายธนูศิลป์ ธนูทอง จำเลยที่ 14 ศาลชั้นต้นยกฟ้อง อัยการไม่อุทธรณ์ คดีถึงที่สุด รอเยียวยา
นายคำพลอย นะมี จำเลยที่ 20 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง อัยการไม่อุทธรณ์ คดีถึงที่สุด รอเยียวยา
นายพงษ์ศักดิ์ ออนอินทร์ จำเลยที่ 21 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง อัยการไม่อุทธรณ์ รอเยียวยา
|
ก่อนหน้านั้นศูนย์ข้อมูลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เดือน เม.ย.-พ.ค.53 หรือ ศปช. ได้ตีพิมพ์รายงานกว่า 1,000 หน้าซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตในคดีเผาศาลากลางอุบลราชธานีด้วย โดยระบุว่า
1.เหตุการณ์นี้ไม่มีการจับกุมผู้ต้องหาในที่เกิดเหตุ อาศัยการจับกุมตามหมายจับทั้งหมด แต่กระบวนการออกหมายไม่รัดกุมและไม่ยึดหลักการของกฎหมายที่ต้องมีหลักฐานตามสมควร มีการออกหมายจับทั้งคนที่อยู่ภายนอกและภายในศาลากลาง ภาพถ่ายส่วนใหญ่ถ่ายระยะไกล บางภาพมืด ไม่ชัดเจน บางภาพถ่ายขณะขว้างก้อนหินเข้าใส่ป้อมยาม บางภาพถ่ายคนที่ยืนอยู่ภายนอก ไม่มีพฤติกรรมอื่นใด นอกจากนี้คดีนี้ยังมีการออกหมายจับผู้ต้องหาบางคนโดยใช้ภาพที่ไม่ใช่เหตุการณ์ปี 2553 ด้วย และถูกออกหมายจับเพราะตำรวจเคยเห็นเขาร่วมชุมนุมในครั้งก่อนๆ โดยไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับการชุมนุมที่ศาลากลาง (จำเลยที่ 1) มีการใช้ภาพที่ไม่ชัดเจน ทำให้จับผิดตัว เช่น กรณีจำเลยที่ 14 ไม่ได้ไปชุมนุมบริเวณศาลากลางแต่อย่างใด นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังจับกุมโดยไม่แจ้งสิทธิและข่มขู่ให้ผู้ต้องหารับสารภาพ มีบางส่วนที่ถูกทำร้ายร่างกาย
1.เหตุการณ์นี้ไม่มีการจับกุมผู้ต้องหาในที่เกิดเหตุ อาศัยการจับกุมตามหมายจับทั้งหมด แต่กระบวนการออกหมายไม่รัดกุมและไม่ยึดหลักการของกฎหมายที่ต้องมีหลักฐานตามสมควร มีการออกหมายจับทั้งคนที่อยู่ภายนอกและภายในศาลากลาง ภาพถ่ายส่วนใหญ่ถ่ายระยะไกล บางภาพมืด ไม่ชัดเจน บางภาพถ่ายขณะขว้างก้อนหินเข้าใส่ป้อมยาม บางภาพถ่ายคนที่ยืนอยู่ภายนอก ไม่มีพฤติกรรมอื่นใด นอกจากนี้คดีนี้ยังมีการออกหมายจับผู้ต้องหาบางคนโดยใช้ภาพที่ไม่ใช่เหตุการณ์ปี 2553 ด้วย และถูกออกหมายจับเพราะตำรวจเคยเห็นเขาร่วมชุมนุมในครั้งก่อนๆ โดยไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับการชุมนุมที่ศาลากลาง (จำเลยที่ 1) มีการใช้ภาพที่ไม่ชัดเจน ทำให้จับผิดตัว เช่น กรณีจำเลยที่ 14 ไม่ได้ไปชุมนุมบริเวณศาลากลางแต่อย่างใด นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังจับกุมโดยไม่แจ้งสิทธิและข่มขู่ให้ผู้ต้องหารับสารภาพ มีบางส่วนที่ถูกทำร้ายร่างกาย
2.การปล่อยชั่วคราว มีเพียงรายเดียวที่ได้รับการปล่อยชั่วคราวในชั้นพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา เนื่องจากเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งตัว พยายามขอประกันตัวหลายครั้งแต่ไม่ได้รับอนุญาต จนกระทั่งเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ จึงได้รับการประกันตัว นอกนั้นส่วนใหญ่ได้รับประกันตัวเมื่อเวลาผ่านไปราว 1 ปี 3 เดือน
3.การสอบสวน ผู้ต้องหาไม่ได้รับการแจ้งสิทธิ แม้ทนายไม่ได้อยู่ร่วมขณะสอบสวนแต่ก็มีการลงลายมือชื่อของทนายในสำนวน บางคนถูกข่มขู่ บางคนถูกเกลี้ยกล่อม ให้รับสารภาพแล้วค่อยไปต่อสู้ในชั้นศาล จากการเบิกความของพยานทำให้พบว่ามีการสอบสวนโดยไม่ชอบและบิดเบือนพยานหลักฐาน เช่น พยานให้การปรักปรำจำเลยเพราะเจ้าหน้าที่สั่งให้พูด , จำเลยให้การอย่างหนึ่งแต่เจ้าหน้าที่บันทึกตรงกันข้ามแล้วให้จำเลยลงชื่อโดยไม่อ่านให้ฟัง
4.คำพิพากษา ศาลพิจารณาคดีบนพื้นฐานความเชื่อว่า การเผาศาลากลางเกิดจากกลุ่มเสื้อแดงอย่างไม่ต้องสงสัย มักให้น้ำหนักกับปากคำเจ้าหน้าที่รัฐด้วยเหตุผลว่า “ไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลย” และให้น้ำหนักต่อคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนโดยให้เหตุผลว่า “ในชั้นศาลจำเลยมีเวลาคิดปรุงแต่งข้อเท็จจริงให้จำเลยพ้นผิด” หรือกรณีที่พยานโจทก์เบิกความเป็นคุณต่อจำเลย ศาลก็ไม่นำมาวินิจฉัย เช่น กรณีจำเลยที่ 15 เจ้าหน้าที่ กอ.รมน.ระบุว่าได้เข้าร่วมช่วยดับไฟ แต่ศาลก็ยังพิพากษาลงโทษมีความผิดฐานร่วมกันเผาทรัพย์ ที่สำคัญ ศาลใช้พยานหลักฐานที่เป็นภาพถ่ายประกอบคำรับสารภาพ หรือลายมือชื่อรับรองภาพถ่ายโดยเชื่อว่าเวลาดังกล่าวมีความชุลมุนต้องอาศัยภาพที่บันทึกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประกอบการพิจารณา นอกจากนี้เหตุการณ์เผาศาลากลางยังมีข้อเท็จจริงที่เป็นที่น่าเคลือบแคลงเช่น พยานผู้สื่อข่าวเบิกความว่าไฟเริ่มไหม้ที่ชั้นสองก่อน ขณะที่กำลังเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจ ถอนออกนอกพื้นที่แทนที่จะควบคุมเพลิง และก่อนเพลิงไหม้มีการยิงออกมาจากศาลากลาง ทำให้ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บ 5 คน หลังเหตุการณ์มีทหารอากาศ 1 นาย ทหารบก 1 นายถูกออกหมายจับแต่ภายหลังต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ทั้งสองมีหนังสือถึงพนักงานสอบสวนให้เพิกถอนหมายจับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น