ใครได้ใครเสีย โดย กาหลิบ
http://www.democracy100percent.blogspot.com/
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ใครได้ใครเสีย
โดย กาหลิบ
ศักดินา-อำมาตย์ไทยดีใจกันยกใหญ่ เมื่อได้ยินข่าวว่าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหรือ UNSC ลงมติไม่รับพิจารณาปัญหาสถานการณ์ชายแดนและเหตุปะทะหลายรอบระหว่างไทยและกัมพูชา แต่กลับแนะนำให้สมาคมประชาชาติตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน (ASEAN) เป็นผู้รับเรื่องแทน
เขาคงนึกว่าเป็นชัยชนะ จึงรีบแข่งกันออกข่าวกันละล่ำละลักในทำนองว่า กัมพูชาหน้าแตกสลายยเสียแล้วในองค์การสหประชาชาติ แล้วก็รีบส่งข่าวไปยังคนใหญ่บนตึกสูงว่าเป็นผลงานของตน
นี่คือธรรมชาติของระบอบศักดินา-อำมาตยาธิปไตยไทยในยามกระแสน้ำเชี่ยวใกล้เปลี่ยนแปลง ใครหาเสียงใส่ตัวอย่างไรได้ก็ต้องรีบทำ ถึงเวลาเขากระดิกนิ้วให้ยุบ ยึด หรือยืด (อายุรัฐบาล) ออกไป ตัวเองจะได้ส่วนแบ่งแห่งอำนาจนั้นบ้าง
ประเด็นคือเรื่องนี้เป็นชัยชนะของใครกันแน่?
เรารู้กันดีว่างานแบบนี้คือภารกิจของกระทรวงการต่างประเทศไทย ซึ่งมีสภาพจริงเป็นกระทรวงกิจการภายนอกของระบอบศักดินา-อำมายาธิปไตยมาตั้งแต่ต้น พี่น้องคนไทยในต่างประเทศที่จำเป็นต้องขอพึ่งบริการของสถานเอกอัครราชทูตไทย สถานกงสุลใหญ่ไทย หรืออื่นๆ จะรู้ซึ้งว่าข้าราชการในทุกระดับ ลูกจ้างและพนักงานของรัฐทุกหน้าที่ที่สังกัดกระทรวงนี้ เขามิได้มีหัวใจบริการมวลชนคนเดินดินแต่อย่างใดเลย
บ่อยครั้งที่คนไทยต้องสะเทือนใจกลับออกมาด้วยความรู้สึกว่าเป็นประชาชนชั้นสอง
ผลจากการนี้ทำให้การวิ่งเต้นแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เพื่อขอให้ UNSC มีมติเช่นนั้นเกิดขึ้น จะเรียกว่าเป็นผลงานทางการทูตเพื่อเอาใจผู้มีอำนาจในเมืองไทยก็ได้ สายพันธุ์อย่างนี้ก็ชัดเจน มิฉะนั้นเขาจะตั้งเอาคนอย่าง นายกิตติพงศ์ ณ ระนอง ก้นกุฏิของ นายกษิต ภิรมย์ เป็นเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติทำไมตั้งแต่ต้น
แต่ผลประโยชน์ที่เขาได้รับก็มีเพียงเท่านั้น
ในกรอบอาเซียนก็ไม่ได้แปลว่าความกระหายสงครามของระบอบไทยจะไม่ถูกฉีกหน้ากาก ตรงกันข้าม ขณะนี้ประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนเขากำลังมองระบอบโบราณของไทยอย่างรังเกียจ สื่อไทยหากมีจรรยาบรรณหลงเหลืออยู่ในตัวบ้าง ก็ควรเสนอความจริงให้คนไทยทั่วประเทศเขารู้ว่าเสียงข้างมากในอาเซียนวันนี้เป็นของฝ่ายกัมพูชา
การขุดความขัดแย้งชายแดนที่เก่าสุดกู่มาหาเรื่องจนเกิดการรบพุ่งกับกัมพูชา แปลว่าจากนี้ไป เจ้าของระบอบไทยก็สามารถเปิดสงครามกับเมียนมาร์ ลาว และมาเลเซียได้ทุกเมื่อ คนไทยส่วนมากยังไม่รู้ว่าเขตแดนทั้งสามด้านที่ติดต่อกับไทยล้วนมีกรณีพิพาทกันทั้งนั้น ไม่มีเว้นเลยแม้แต่ด้านเดียว
กระทรวงการต่างประเทศไทยเก่งขนาดไหน ก็ลองพิจารณาดู เพื่อนบ้านรอบไทยทั้งสี่ทิศล้วนมีปัญหากับไทยและเกลียดชังรัฐบาลไทยทั้งสิ้น
เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้ แถมด้วยความเห็นใจฝ่ายประชาธิปไตยที่แสดงออกชัดโดยฟิลิปปินส์กับบรูไนในฐานะสมาชิกอาเซียน เท่ากับว่าอย่างน้อยมีสมาชิกอาเซียนหกประเทศแล้วที่เขาพร้อมแสดงจุดยืนเช่นเดียวกับกัมพูชา
แล้วเวียดนามอีกเล่า ใครคิดว่าเขาจะหันมาเห็นใจรัฐบาลไทย คนๆ นั้นก็คงปัญญาอ่อน
สิริรวมแล้วก็ ๗ ประเทศ สิงคโปร์นั้นเขาบำเพ็ญตนเป็นพ่อค้าก็ปล่อยเขาไป อินโดนีเซียดำรงฐานะเป็นประธานอาเซียนในปีนี้อยู่ ก็ขอให้ทำหน้าที่เป็นประธานไป ไม่ต้องแสดงจุดยืน
แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังมิใช่ประเด็นหัวใจของเรื่อง
มติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ส่งเรื่องไปยังอาเซียนนั้น แท้ที่จริงมีความหมายว่าสถานะในกรรมสิทธิ์เหนือปราสาทพระวิหารมิได้เปลี่ยนแปลงไปเลย เพราะไม่ได้มีหลักการใหม่ใดๆ มามอบให้
ในนาทีนี้ องค์การสหประชาชาติจึงยังยืนยันว่า กรรมสิทธิ์เหนือปราสาทพระวิหารยังเป็นของชาวกัมพูชา และกระบวนการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกก็ควรจะดำเนินต่อไปตามที่ยูเนสโกเสนอ
ทหารหาญและพี่น้องประชาชนที่ระบอบโบราณของไทยบังคับให้ไปตาย ร่างกายพิการ และบาดเจ็บหนักบ้างเบาบ้างอยู่ที่ชายแดนด้านอำเภอกันทรลักษณ์ จึงเป็นความสูญเสียฟรี โดยที่ประเทศไทยไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลยแม้แต่น้อยนิดจากงานนี้
เจ็บใจไหมครับ คนไทยที่รักชาติอย่างแท้จริง ไม่ใช่รักชาติจนน้ำลายไหลทั้งหลาย
คราวหน้าเขาสั่งยิง เปลี่ยนเป้าหมายกันสักทีดีไหมท่าน?
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ใครได้ใครเสีย
โดย กาหลิบ
ศักดินา-อำมาตย์ไทยดีใจกันยกใหญ่ เมื่อได้ยินข่าวว่าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหรือ UNSC ลงมติไม่รับพิจารณาปัญหาสถานการณ์ชายแดนและเหตุปะทะหลายรอบระหว่างไทยและกัมพูชา แต่กลับแนะนำให้สมาคมประชาชาติตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน (ASEAN) เป็นผู้รับเรื่องแทน
เขาคงนึกว่าเป็นชัยชนะ จึงรีบแข่งกันออกข่าวกันละล่ำละลักในทำนองว่า กัมพูชาหน้าแตกสลายยเสียแล้วในองค์การสหประชาชาติ แล้วก็รีบส่งข่าวไปยังคนใหญ่บนตึกสูงว่าเป็นผลงานของตน
นี่คือธรรมชาติของระบอบศักดินา-อำมาตยาธิปไตยไทยในยามกระแสน้ำเชี่ยวใกล้เปลี่ยนแปลง ใครหาเสียงใส่ตัวอย่างไรได้ก็ต้องรีบทำ ถึงเวลาเขากระดิกนิ้วให้ยุบ ยึด หรือยืด (อายุรัฐบาล) ออกไป ตัวเองจะได้ส่วนแบ่งแห่งอำนาจนั้นบ้าง
ประเด็นคือเรื่องนี้เป็นชัยชนะของใครกันแน่?
เรารู้กันดีว่างานแบบนี้คือภารกิจของกระทรวงการต่างประเทศไทย ซึ่งมีสภาพจริงเป็นกระทรวงกิจการภายนอกของระบอบศักดินา-อำมายาธิปไตยมาตั้งแต่ต้น พี่น้องคนไทยในต่างประเทศที่จำเป็นต้องขอพึ่งบริการของสถานเอกอัครราชทูตไทย สถานกงสุลใหญ่ไทย หรืออื่นๆ จะรู้ซึ้งว่าข้าราชการในทุกระดับ ลูกจ้างและพนักงานของรัฐทุกหน้าที่ที่สังกัดกระทรวงนี้ เขามิได้มีหัวใจบริการมวลชนคนเดินดินแต่อย่างใดเลย
บ่อยครั้งที่คนไทยต้องสะเทือนใจกลับออกมาด้วยความรู้สึกว่าเป็นประชาชนชั้นสอง
ผลจากการนี้ทำให้การวิ่งเต้นแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เพื่อขอให้ UNSC มีมติเช่นนั้นเกิดขึ้น จะเรียกว่าเป็นผลงานทางการทูตเพื่อเอาใจผู้มีอำนาจในเมืองไทยก็ได้ สายพันธุ์อย่างนี้ก็ชัดเจน มิฉะนั้นเขาจะตั้งเอาคนอย่าง นายกิตติพงศ์ ณ ระนอง ก้นกุฏิของ นายกษิต ภิรมย์ เป็นเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติทำไมตั้งแต่ต้น
แต่ผลประโยชน์ที่เขาได้รับก็มีเพียงเท่านั้น
ในกรอบอาเซียนก็ไม่ได้แปลว่าความกระหายสงครามของระบอบไทยจะไม่ถูกฉีกหน้ากาก ตรงกันข้าม ขณะนี้ประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนเขากำลังมองระบอบโบราณของไทยอย่างรังเกียจ สื่อไทยหากมีจรรยาบรรณหลงเหลืออยู่ในตัวบ้าง ก็ควรเสนอความจริงให้คนไทยทั่วประเทศเขารู้ว่าเสียงข้างมากในอาเซียนวันนี้เป็นของฝ่ายกัมพูชา
การขุดความขัดแย้งชายแดนที่เก่าสุดกู่มาหาเรื่องจนเกิดการรบพุ่งกับกัมพูชา แปลว่าจากนี้ไป เจ้าของระบอบไทยก็สามารถเปิดสงครามกับเมียนมาร์ ลาว และมาเลเซียได้ทุกเมื่อ คนไทยส่วนมากยังไม่รู้ว่าเขตแดนทั้งสามด้านที่ติดต่อกับไทยล้วนมีกรณีพิพาทกันทั้งนั้น ไม่มีเว้นเลยแม้แต่ด้านเดียว
กระทรวงการต่างประเทศไทยเก่งขนาดไหน ก็ลองพิจารณาดู เพื่อนบ้านรอบไทยทั้งสี่ทิศล้วนมีปัญหากับไทยและเกลียดชังรัฐบาลไทยทั้งสิ้น
เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้ แถมด้วยความเห็นใจฝ่ายประชาธิปไตยที่แสดงออกชัดโดยฟิลิปปินส์กับบรูไนในฐานะสมาชิกอาเซียน เท่ากับว่าอย่างน้อยมีสมาชิกอาเซียนหกประเทศแล้วที่เขาพร้อมแสดงจุดยืนเช่นเดียวกับกัมพูชา
แล้วเวียดนามอีกเล่า ใครคิดว่าเขาจะหันมาเห็นใจรัฐบาลไทย คนๆ นั้นก็คงปัญญาอ่อน
สิริรวมแล้วก็ ๗ ประเทศ สิงคโปร์นั้นเขาบำเพ็ญตนเป็นพ่อค้าก็ปล่อยเขาไป อินโดนีเซียดำรงฐานะเป็นประธานอาเซียนในปีนี้อยู่ ก็ขอให้ทำหน้าที่เป็นประธานไป ไม่ต้องแสดงจุดยืน
แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังมิใช่ประเด็นหัวใจของเรื่อง
มติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ส่งเรื่องไปยังอาเซียนนั้น แท้ที่จริงมีความหมายว่าสถานะในกรรมสิทธิ์เหนือปราสาทพระวิหารมิได้เปลี่ยนแปลงไปเลย เพราะไม่ได้มีหลักการใหม่ใดๆ มามอบให้
ในนาทีนี้ องค์การสหประชาชาติจึงยังยืนยันว่า กรรมสิทธิ์เหนือปราสาทพระวิหารยังเป็นของชาวกัมพูชา และกระบวนการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกก็ควรจะดำเนินต่อไปตามที่ยูเนสโกเสนอ
ทหารหาญและพี่น้องประชาชนที่ระบอบโบราณของไทยบังคับให้ไปตาย ร่างกายพิการ และบาดเจ็บหนักบ้างเบาบ้างอยู่ที่ชายแดนด้านอำเภอกันทรลักษณ์ จึงเป็นความสูญเสียฟรี โดยที่ประเทศไทยไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลยแม้แต่น้อยนิดจากงานนี้
เจ็บใจไหมครับ คนไทยที่รักชาติอย่างแท้จริง ไม่ใช่รักชาติจนน้ำลายไหลทั้งหลาย
คราวหน้าเขาสั่งยิง เปลี่ยนเป้าหมายกันสักทีดีไหมท่าน?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น